เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 29
SPIN-OFF บทที่ 29
โอ๊ะ
            ความรู้สึกว่าพลาดแล้วพลันผุดขึ้นบนใบหน้าของสามทหารเสืออย่างไม่อาจเก็บซ่อนได้
            สำหรับจักรพรรดิเฟเรสผู้ไม่หวาดกลัวสิ่งใด เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียนับเป็นเกล็ดมังกรเพียงหนึ่งเดียว
            แต่ว่าเมื่อครู่นี้ดันไปแตะต้องมันเสียแล้ว
            “ฝ่าบาท คำพูดของเทดโร่วฟังผ่านๆ ไปก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เจ้านั่นจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานหรือความรักกันพ่ะย่ะค่ะ”
            “เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเสียใจกับการแต่งงานอย่างนั้นเหรอ เรื่องแบบนั้นน่ะไม่มีทางเป็นไปได้ ฝ่าบาทรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
            พวกเขาพยายามปลอบเฟเรสที่ดูเหมือนกำลังร่วงลงไปในเหวลึกด้วยความเร็วสูง
            แต่มันก็สายเกินไป
            เฟเรสที่มีภาพที่ฟีเรนเทียถอนหายใจติดแน่นอยู่ในจิตใจอยู่แล้ว เขาเริ่มมีสีหน้าซีดเผือดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้ยินประโยคที่ว่านางอาจจะเสียใจกับการแต่งงาน
            เป็นเรื่องแล้วละ
            เหล่าคนสนิท โดยเฉพาะเทดโร่วผู้กล่าวเรื่องแมรี่บลูออกมา รู้สึกอยากเย็บปากของตนเองเสียให้สิ้นเรื่อง
            “เสียใจที่แต่งงานอย่างนั้นเหรอ…”
            เฟเรสพึมพำออกมาอีกครั้ง
            อาจเพราะสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยคล้ายว่าลืมกระทั่งการกะพริบตาไปแล้ว
            ‘เทดโร่ว เจ้านี่มัน…’
            ริกนีเต้ รูมันที่กัดฟันพลางจ้องเทดโร่วเขม็ง กลืนลมหายใจกลับเข้าไปเงียบๆ
            สำหรับเขา เฟเรสเป็นทั้งจักรพรรดิที่เขาจงรักภักดี และยังเป็นสหายที่สนิทสนมกันมาเป็นเวลานาน
            และเขาก็สัมผัสได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตั้งแต่สมัยที่เรียนอคาเดมี่แล้ว
            ผู้ที่ชื่อว่าฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียไม่ใช่แค่คนรักธรรมดาๆ สำหรับเฟเรส
            นางเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา
            ‘คงไม่ได้มีเรื่องอะไรจริงๆ หรอกใช่ไหม’
            เพียงแค่นึกถึงข้อสันนิษฐานนั้น ริมฝีปากก็พลันแห้งผาก
            ถ้าหากว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกำลังทบทวนเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานอีกครั้งจริงๆ ละก็
            ถ้าหากจู่ๆ นางที่มีนิสัยเถรตรงเช่นนั้นโพล่งออกมาว่าให้เลื่อนงานแต่งงานออกไปก่อนละก็
            ร่างกายของริกนีเต้ รูมันพลันสั่นสะท้านโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว
            ตอนนั้นเอง
กร๊อบ
            เสียงที่คล้ายกับอะไรบางอย่างปริแตกพลันดังก้องไปทั่วห้องทำงานอันเงียบงัน
            “เฮือก”
            “กะ เก้าอี้…”
            เป็นเสียงแตกร้าวที่ดังมาจากที่วางแขนของเก้าอี้ที่เฟเรสกำลังกำอยู่
            เก้าอี้ที่วางอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเก้าอี้ที่ขึ้นรูปจากไม้ซุงอันแข็งแรงโดยช่างฝีมือ
            โดยเฉพาะเก้าอี้ที่เฟเรสนั่งอยู่ตอนนี้ เขารู้มาว่ามันเป็นเก้าอี้ที่ใช้ไม้ทรีบ้าซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงทนทานจากภาคเหนือเป็นวัสดุ
            แต่ทว่าในตอนนี้ ของสิ่งนั้นกำลังถูกบดขยี้อยู่ในกำมือของเฟเรสราวกับขนมปังที่ปิ้งเสร็จสดๆ ร้อนๆ
            ริกนีเต้ รูมันกลืนน้ำลายดังเอื๊อกโดยไม่รู้ตัว
            ‘เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคือสายจูง’
            เป็นสายจูงเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายที่ชื่อว่าเฟเรสได้
            พูดกันตามตรง เฟเรสมีอุปนิสัยที่ไม่อาจเรียกได้ว่าใจดีแม้จะพูดจาดีก็ตาม
            แต่กระนั้นฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียกลับทำให้เขาเชื่อฟังได้
            แต่ถ้าหากนางปล่อยสายจูงนั้นทิ้งไปละก็
            ริกนีเต้หลับตาปี๋เมื่อจินตนาการถึงภาพอันน่าขนหัวลุก
            “แผนรับมือล่ะ”
            ไม่ใช่คำพูดที่ออกมาจากปากของเขา
            ริกนีเต้ รูมันเบิกตาทั้งสองข้างขึ้นด้วยความตกใจ
            เฟเรสค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้อย่างเชื่องช้า
            ที่วางแขนของเก้าอี้ซึ่งถูกดึงออกมาจากตัวเก้าอี้จนสูญเสียรูปทรงเดิมกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
            “คงต้องคิดแผนรับมือแล้ว”
            เมื่อได้ยินคำพูดที่เฟเรสพึมพำกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น สามทหารเสือรวมถึงริกนีเต้ต่างก็พยักหน้ากันอย่างขันแข็ง
            ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น งานแต่งงานนี้ก็ต้องจัดขึ้นให้ได้
            เป็นช่วงเวลาที่หัวใจของทุกคนรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว
***
            เฟเรสกำลังเดินอยู่ในป่า
            ผืนป่าที่แม้จะชื้นแฉะแต่ก็ชวนให้รู้สึกสดชื่นเพราะน้ำค้างในยามเช้า ทอดยาวออกไปไม่มีจุดสิ้นสุด
            ‘ที่นี่คือที่ไหนนะ’
            พระราชวังในความทรงจำของเขา ไม่มีป่าอันกว้างใหญ่ที่มีต้นไม้เก่าแก่สูงชะลูดแบบนี้
            แปลกประหลาด
            ทั้งที่เขาเอนตัวลงนอนในห้องนอนที่อยู่ในพระราชวังแท้ๆ
            แล้วก็กำลังคิดถึงเทียจนถึงวินาทีที่หลับไปแท้ๆ
            เฟเรสขยับฝีเท้าต่อไปพลางครุ่นคิด
            ไม่รู้ว่าเดินอยู่อย่างนั้นไปนานแค่ไหนแล้ว
            พลันมองเห็นแสงจากตรงที่ไกลๆ
            ในที่สุดก็เจอเส้นทางที่จะออกจากป่าเสียที
            ฝีเท้าของเฟเรสเร็วขึ้น
            มีเพียงความคิดที่ว่าต้องรีบออกจากป่าแห่งนี้แล้วไปพบเทีย
            ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตว่าตนเองกำลังหายใจหอบอย่างรุนแรง
            ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นในความจริงอย่างเด็ดขาด เพราะเฟเรสอยู่เกินขอบเขตของมนุษย์ทั่วไป
            “แฮ่ก”
            ในที่สุดก็ออกมาจากป่าได้เสียที
            แสงแดดสาดส่องลงมาจนแสบตา
            แต่ทว่าเฟเรสกลับหยุดชะงักอยู่กับที่ต่างจากการตัดสินใจในตอนแรกเริ่ม
            นั่นเพราะตรงกลางของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ที่แผ่ขยายออกไปทันทีที่ป่าสิ้นสุด มีอะไรบางอย่างที่สูงตระหง่านอยู่
            ต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่เสียจนบดบังทัศนวิสัย และไม่อาจคาดเดาได้ว่ากิ่งก้านเหล่านั้นแผ่ขยายออกไปจนถึงตรงไหน
“…ต้นไม้โลก?”
            เฟเรสรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ  ว่าเขาได้พบกับต้นไม้ต้นนั้นที่มีตัวตนอยู่แต่ในเรื่องเล่า และไม่เคยมีใครพบเห็นโดยบังเอิญแล้ว
            ภาพในหัวพลันเลือนราง
            ต่อหน้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น
            แต่เฟเรสก็ไม่ได้หนีไป
            เขาค่อยๆ ก้าวเดินไปทางต้นไม้โลก
ครืนนน!
            สายลมพัดผ่านมาจากที่ไหนสักแห่ง กิ่งก้านของต้นไม้โลกพลันส่ายไหวจนเกิดเสียงที่คล้ายกับเสียงฟ้าร้องดังขึ้น
            ราวกับกำลังตักเตือนเขา
            แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจหยุดฝีเท้าของเฟเรสได้
            กลับกลายเป็นว่าการก้าวเดินของเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ
            เขามีความมั่นใจ
            มั่นใจว่าต้นไม้โลกจะไม่ทำร้ายตน
            หลังจากเดินอยู่อย่างนั้นไปสักพักใหญ่จวบจนกระทั่งหอบหายใจอย่างแรง เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้โลกได้เสียที
            จากนั้นก็ถูกสะกด
            ตรงหน้าลำต้นของต้นไม้โลกที่ดูคล้ายกับหน้าผาแตกร้าวอันหยาบกร้าน และใต้ร่มเงาที่คล้ายกับมงกุฎอันยิ่งใหญ่
            รู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปช่วงเวลาสมัยเด็ก
            กลับไปยังวันนั้น วันที่เขาได้พบกับเทพธิดาที่คล้ายว่ากำลังนั่งหัวเราะก๊ากอยู่บนกิ่งของต้นไม้โลกต้นนั้น ที่อยู่กลางป่าที่เขาเข้าไปพักผ่อนเพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง
            เฟเรสค่อยๆ ยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า
ครืนนน!
            ต้นไม้โลกสั่นแรงขึ้นอีกระดับหนึ่งคล้ายว่าจะตักเตือน
            เจ้ารับมือไหวไหม?
            ราวกับว่ากำลังถามเช่นนั้น
            จู่ๆ ก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนริมฝีปากของเขาเงียบๆ
            เขากางมือออกอย่างเต็มที่ แล้วยื่นไปทางต้นไม้โลก
            และในที่สุด ก็สัมผัสมัน
“เฮือก!”
            เขาสะดุ้งเฮือกอย่างแรงก่อนจะลุกขึ้น
            ทันทีที่กวาดตามองไปรอบด้าน ห้องนอนของจักรพรรดิอันคุ้นเคยก็สะท้อนเข้ามาในสายตา
“เฮ้อ” ทั่วทั้งร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
            เฟเรสยกมือขึ้นลูบหน้า
ลมหายใจของเขาที่ตกลงบนฝ่ามือหอบแรงเหมือนกับในความฝัน
            ลำคอแห้งผาก
            เขาดื่มน้ำที่วางอยู่ข้างเตียงนอนเข้าไปอย่างไม่มีสติ
            จากนั้นนัยน์ตาสีแดงก็จ้องฝ่ามือของตนเองอยู่พักใหญ่
            เป็นมือข้างนั้น ข้างที่สัมผัสกับต้นไม้โลกในความฝัน
            ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
            “อืมม” เฟเรสส่งเสียงครางต่ำออกมา
            รู้สึกคลื่นไส้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
            รู้สึกท้องอืดเพราะดื่มน้ำไวเกินไปอย่างนั้นเหรอ
            นอกจากตอนที่ถูกพิษร้ายแรง ร่างกายของเขาไม่เคยป่วยเป็นอะไรเลยแม้แต่หวัดเบาๆ
            หรือว่ามีอะไรอยู่ในน้ำ
            เฟเรสจ้องน้ำดื่มใสสะอาดที่บรรจุอยู่ในขวดแก้วครู่หนึ่ง จากนั้นดึงเชือกที่อยู่ข้างเตียงเพื่อเรียกหาหมอหลวง
            ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่รอให้ข้ารับใช้เข้ามาในห้องนอน เฟเรสหลับตาแน่นเพราะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วพึมพำออกมาเบาๆ
            “ฝันนั่นมันคืออะไรกันแน่”
***
            “เฟเรสมาจะที่นี่อย่างนั้นเหรอ?”
            “ใช่ครับท่านพี่ แจ้งมาว่าจะมากินข้าวเย็นด้วย แล้ววันนี้ก็จะค้างคืนที่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียครับ”
            “อืม ได้สิ เข้าใจแล้ว”
            ข้าพยักหน้าเบาๆ
            เดิมทีวันนี้เป็นวันที่ข้าต้องไปค้างคืนที่พระราชวัง
            แต่เจ้าตัวกลับตั้งใจมาที่นี่เองเลยเหรอเนี่ย
            ถึงแม้การปรับเปลี่ยนกำหนดการที่กำหนดเอาไว้แล้วจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมือนกับเขาเลยก็เถอะ
            ‘คงจะเปลี่ยนใจขึ้นมาอย่างกะทันหันละมั้ง’
มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับข้า เพราะจะได้มีเวลาเพิ่มขึ้นในการทำงานของเจ้าตระกูลที่ผัดออกไปตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
            ข้าปล่อยผ่านเลยไปง่ายๆ เช่นนั้น พลางเอื้อมมือออกไปหยิบของหวานที่วางอยู่ด้านข้าง
            “ตอนนี้ยาที่เอสทีร่าเคยให้ไว้ออกฤทธิ์แล้วสินะ”
            วันนี้สภาพร่างกายดีมากตั้งแต่เช้าที่ลืมตาขึ้น
            อาจเพราะได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ข้าจึงรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมากและมีพละกำลังเหลือล้น
            และสิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกใจที่สุดก็คือท้องเริ่มหิวแล้ว
            จนถึงขั้นทำให้รู้สึกว่าการที่กลืนได้แต่น้ำเปล่ามาตลอดเพราะอาการแพ้ท้องเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
            ข้าไม่ได้กินจนอิ่มท้องทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวันมานานแล้ว และเพียงเท่านั้นยังไม่พอ ตอนนี้ข้าถึงกับกำลังกินของหวานอยู่ด้วย
            “ประหลาดจริงๆ เลยเนอะ”
            นี่ข้าหายแพ้ท้องแล้วเหรอ?
            ข้าลูบคลำท้องน้อยอย่างเคยชินพลางโคลงศีรษะไปมา
            “ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วไปที”
            แม้จะเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากเมื่อเทียบกับหญิงมีครรภ์คนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ข้าลำบากมากเหลือเกิน
            ว่ากันตามตรงข้าก็กังวลอยู่ว่าจะสามารถอดทนไปได้ตลอดรอดฝั่งไหม
            “รู้จักเป็นห่วงแม่แล้วเหรอเนี่ย?”
            คำพูดที่พลั้งออกไปโดยไม่ตั้งใจ ข้าเองยังรู้สึกว่าไร้สาระจนต้องยิ้มออกมา
            เด็กทารกที่ยังมีขนาดเท่าเยลลี่อันเล็กๆ จะมีแรงอะไรได้ล่ะ
“อ่า ดีจัง”
            ช่วงเวลาตอนนี้ที่รู้สึกสบายตัวอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแสนนาน ช่างคล้ายกับน้ำผึ้งอันหอมหวาน
            ข้าหยิบของหวานขึ้นมากินทีละชิ้นพลางทำงานไปด้วยอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้านนอกหน้าต่างก็มืดลงแล้ว
            ขณะที่จู่ๆ ก็ตระหนักถึงเรื่องนั้นได้นั่นเอง
ก๊อกก๊อก
            เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังก้องไปทั่วห้องทำงานเจ้าตระกูลราวกับรออยู่แล้ว
            เวลาเดียวกับที่ข้าหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
            เพราะข้าคาดเดาได้ว่าคนที่อยู่นอกประตูคือใคร
            “เข้ามาสิเฟเรส”
            “สวัสดีเทีย”
            อ่า หน้าตาดีจัง
            พอเห็นเฟเรสที่เดินยิ้มเข้ามา หัวใจก็พลันเต้นตึกตึก
            ถึงแม้เขาจะเป็นคู่หมั้นของข้า ไม่สิ เป็นสามีของข้าในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าเขาหน้าตาดีจริงๆ ในทุกครั้งที่เห็นอยู่ดี
            “ว่าแต่พวกนั้นคืออะไรน่ะ”
            เฟเรสกำลังหอบอะไรบางอย่างไว้
            “ข้าเอาของขวัญมานิดหน่อยน่ะ”
            “ของขวัญ?”
            ข้านั่งลงบนโซฟาตามที่เฟเรสลากไป จากนั้นรับของที่เขายื่นมาให้ทีละอย่าง
            “นี่เป็นผังที่นั่งในงานแต่งงานฉบับเสร็จสมบูรณ์”
            “ว้าว นี่เจ้าทำมันเสร็จคนเดียวเลยเหรอ?”
            ผังที่นั่งที่มีขนาดใหญ่จนวางได้เต็มโต๊ะมีรายนามของแขกผู้มาร่วมงานถูกเขียนไว้อย่างแน่นขนัดโดยที่ไม่ตกหล่นเลยแม้แต่ชื่อเดียว
            “ไม่มีจุดที่ข้าต้องแก้ไขแล้วแฮะ”
            เป็นผังที่นั่งที่ข้าไม่สามารถทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้เพราะหมดสติไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
            แม้จะไม่รู้ว่าแคทเธอรีนไปแต่งเรื่องไว้ว่าอะไร แต่ผังที่นั่งที่จัดการเสร็จแล้วในมือของเฟเรสนั้นไม่มีจุดให้จับผิดอีกแล้ว
            “แล้วก็ข้าลองเรียบเรียงระเบียบวาระที่จะนำขึ้นการประชุมใหญ่ตลอดระยะเวลาหลายเดือนข้างหน้ามา”
            แฟ้มเอกสารปึกหนาถูกวางทับลงมาบนผังที่นั่ง
            “นี่เจ้าเรียบเรียงพวกนี้มาหมดเลยเหรอ?”
“อืม”
“น่าจะใช้เวลานานมากเลยนะ?”
“เพื่อเจ้าอะไรก็ทำได้”
            เฟเรสฉีกยิ้มที่คล้ายกับภาพวาดอันเป็นเอกลักษณ์พลางตอบกลับ
            “อะไรเนี่ย ซึ้งใจนะ”
            “แล้วก็นี่”
            ทันทีที่วางแฟ้มเอกสารลง กล่องใบเล็กก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้าข้า
“นี่อะไรเหรอ?”
“ลองเปิดดูสิ”
            ข้าแกะริบบิ้นที่ถูกมัดอย่างประณีตออกโดยไม่รีรอแล้วเปิดกล่องออก
            “คุกกี้…ช็อกโกแลต?”
            สิ่งที่วางอยู่เต็มภายในกล่อง ก็คือคุกกี้ชิ้นใหญ่ที่มีช็อกโกแลตก้อนโตฝังอยู่อย่างแน่นหนา
            เป็นคุกกี้ที่เหมือนกับอันที่พวกเราเคยแบ่งกันกินในวังเล็กที่แสนรกร้างเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
            หรือว่า เจ้าสิ่งนี้
            “ทำเองเหรอเฟเรส?”
“…อืม”
            เขาพยักหน้าลงเบาๆ
            แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด สีหน้าถึงดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
            ดูเหมือนว่าเขาจะเหงื่อออกอย่างน่าประหลาดด้วย
            “เจ้าเป็นอะไรไหม?”
            เฟเรสยกมุมปากที่สั่นระริกขึ้นไปเป็นรอยยิ้มแทนคำตอบ
            “เมื่อก่อนเคยสัญญาไว้นี่นา ว่าข้าจะอบคุกกี้ให้ด้วยตน…อึก”
            “เฟเรส?”
            ข้าเดินเข้าไปข้างเขาด้วยความตกใจ
            แต่ทว่าสีหน้าของเฟเรสก็มีแต่ย่ำแย่ลงอีกขั้นเท่านั้น
            “ไม่สบายตรงไหนเหรอ?”
“ขอโทษ”
            “ไม่ ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องขอโทษเลย”
            ควรต้องเรียกเอสทีร่ามาไหมนะ?
            ขณะที่ข้าคิดเช่นนั้นพลางมองเฟเรสที่พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าอย่างยากลำบากจนทำให้คนมองรู้สึกเห็นใจนั่นเอง
            “ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เช้าแล้ว…อุ๊บ!”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		