เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 32
SPIN-OFF บทที่ 32
ข้าพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
            น้ำตาเม็ดใหญ่กำลังไหลผ่านแก้มของเฟเรสและหยดแหมะอยู่จริงๆ
            ถ้าให้พูดตามตรงละก็ ข้าประหลาดใจจริงๆ
            ข้าเคยนึกว่าเฟเรสคงจะตกใจหากเปิดเผยเรื่องที่ตั้งครรภ์ให้รู้ แต่ไม่เคยนึกเลยว่าเขาจะร้องไห้ออกมาแบบนี้
            “คือ…ร้องไห้ทำไมเล่า”
            ระหว่างที่ข้าไม่รู้จะพูดอะไรและกำลังลนลาน เฟเรสก็ยังน้ำตาร่วงอยู่อย่างนั้น
            สิ่งเดียวที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนใบหน้าที่เคยแข็งทื่อมีเพียงน้ำตา
            ‘คงจะสับสนมากเลยสินะ’
            ข้าพอจะคาดเดาได้ประมาณหนึ่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา
            ต่อหน้าเฟเรสที่เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้าสามารถทำได้มีเพียงช่วยเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลริน
“เฟเรส”
เฟเรสกะพริบตาทีหนึ่งหลังจากข้าเรียก
            “ข้าจะไม่ห้ามไม่ให้ร้องไห้หรอกนะ”
            น้ำตาอีกหยดหนึ่งที่ไหลกลิ้งลงมาระหว่างนั้นทำให้นิ้วข้าเปียก
            “เพราะว่ามันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะว่าดีใจนี่ ใช่ไหม?”
            ขนตายาวและดำขลับของเฟเรสพลันสั่นแรงขึ้นอีกระดับหนึ่ง
“เฮ้อ” ลมหายใจที่หยุดชะงักไปทะลักออกมา เฟเรสถอนหายใจสั้นๆ พร้อมกับยิ้ม
            จากนั้นก็ค่อยๆ ฝังใบหน้าลงบนหัวเข่าของข้า
            “เจ้าดีเกินไปสำหรับข้าจริงๆ เทีย”
            เสียงทุ้มต่ำฝังอยู่ในชายชุดแต่งงานจนเกิดเป็นเสียงอู้อี้
            “ข้า ข้าจะเป็นเด็กดีนะ”
            จะพูดคำนั้นอีกกี่รอบกันแน่
            ข้าหัวเราะคิกคัก ลูบเส้นผมสีดำสุขภาพดีพลางกล่าวอย่างแผ่วเบา
            “รู้แล้ว เจ้าจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ”
            “รู้แล้วเหรอ? ได้ยังไงกัน?”
            “เพราะว่าเจ้าเป็นคนแบบนั้นไง”
            เฟเรสเงยหน้าขึ้นแล้วแหงนมองข้า
            ดวงตาแบบที่ไม่คุ้นเคยที่ยังมีรอยเปียกชื้นหลงเหลืออยู่ดูสวยดีเหมือนกัน
            “ที่ผ่านมาข้าไม่รู้เลย เจ้าขี้แยจังนะ”
            เฟเรสหัวเราะคิกเมื่อได้ยินคำพูดที่แฝงการหยอกเย้าของข้า
            หัวไหล่ที่เต็มไปด้วยความแข็งเกร็งก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน
            ข้าดึงมือของเฟเรสมาแนบบนหน้าท้องอีกครั้งแล้วเอ่ยถามอย่างเซ้าซี้
            “แล้วเป็นไง? รู้สึกไหม?”
“…อืม”
            ข้าสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วที่แข็งกระด้างด้วยผิวหนังด้านที่กำลังเคลื่อนไหวผ่านผืนผ้า
            สัมผัสนั้นระมัดระวังมาก
            “ถึงจะยังเล็กมากแต่ข้าสัมผัสได้”
            ขณะกล่าวเช่นนั้นดวงตาคมกริบค่อยๆ พับติดกันและยกเป็นเส้นโค้ง
            “องอาจผ่าเผยมากเลยนะ อยู่ตรงนี้”
            พอได้ยินเฟเรสกล่าวอย่างอ่อนโยน หัวใจของข้าก็เริ่มเต้นตึกตักเหมือนครั้งแรกอีกครั้ง
            เพราะแม้ว่าจะได้รับการยืนยันว่าตั้งครรภ์ และผ่านประสบการณ์แพ้ท้องมาแล้วก็ตาม แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ความจริง
            แต่พอเฟเรสบอกว่าสัมผัสได้ถึงพลังของลูกแบบนี้ ข้าก็รู้สึกวางใจราวกับได้รับการยืนยันอีกครั้ง
            “นั่นสินะ เรื่องอื่นข้าไม่รู้หรอก แต่ถ้าเขาเหมือนเจ้ากับข้าละก็ จะต้ององอาจผ่าเผยแน่นอน”
            เฟเรสไม่ได้ตอบอะไร
            ยังเอาแต่มองท้องน้อยของข้าอย่างใจจดใจจ่ออยู่เหมือนเดิม
            เขาคงตกใจมากจริงๆ สินะ
            ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นเขาเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ได้เห็นของน่าสนใจแบบนี้ หลังจากที่ได้เห็นแต่ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอยู่เสมอ
            “รู้สึกแปลกมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
            ไม่รู้ทำไมถึงได้มีเสียงหัวเราะคิกคักออกมาด้วย
            “ที่จริงข้าเองก็ยังรู้สึกเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องลองดูสักตั้ง พวกเรามาเป็นพ่อกับแม่ที่ดีให้เด็กคนนี้กันเถอะนะ เฟเรส”
“พ่อ…” เฟเรสพึมพำออกมาอย่างเหม่อลอย
            ดูท่าจะยังทำตัวไม่ถูกอย่างสิ้นเชิง
            เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเฟเรสไม่เคยพูดคำว่า ‘พ่อ’ ออกจากปากเลยนี่นะ
            เฟเรสที่เป็นเช่นนั้นทั้งน่าสงสารและและยังน่ารักไปในเวลาเดียวกัน
            ข้าจับแขนของเฟเรสที่ยังคุกเข่าอยู่แล้วดึงให้ลุกขึ้น
            “จะอยู่แบบนั้นไปจนถึงเมื่อไร มานั่งตรงนี้”
            เขาขยับลุกตามที่ข้าดึงอย่างว่าง่าย
            หลังจากเฟเรสนั่งลงด้านข้าง ข้าก็ตั้งใจว่าจะให้เขาพักผ่อนอย่างสบายใจเสียหน่อย
            แต่รู้สึกตัวอีกทีร่างกายของข้าก็ลอยหวือขึ้นแล้ว
“เฟเรส!”
เฟเรสที่ไม่รู้ว่าได้สติกลับมาเมื่อไรยกตัวข้าขึ้นไปนั่งบนตักตนเองอย่างง่ายดาย
            โดยไม่ทันตั้งตัว ข้าก็นั่งหันหน้าเข้าหาเฟเรสโดยที่มีระยะห่างกันไม่ถึงหนึ่งคืบแล้ว
            แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใหญ่
            ดวงตาอันล้ำลึกที่มีเงาสะท้อนกำลังจ้องมาที่ข้า
            ข้ามองเขาอย่างลุ่มหลง ก่อนจะพูดขึ้น
            “ข้าพูดจากใจเลยนะ ข้าอยากให้ลูกหน้าเหมือนเจ้า”
            “เหมือนข้า?”
            “อืม ก็เจ้าสวยมากนี่นา”
            ได้ยินคำพูดของข้า เฟเรสที่กะพริบตาอย่างแรงก็ยิ้มออกมาน้อยๆ พลางส่ายหน้า
            “แต่ข้าอยากให้หน้าเหมือนเทียนะ”
            “ทำไมล่ะ?”
            “เพราะว่าถ้าเหมือนกับเจ้า” เฟเรสเสยผมตรงหน้าที่ตกลงมาของข้าขึ้นไปแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ก็จะงดงามที่สุดในโลกยังไงล่ะ”
            “อะ อะไรเนี่ย จู่ๆ ก็”
            ข้าปรายตามองเฟเรสที่พูดคำหวานหูออกมาอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่พบความซุกซนบนใบหน้าที่ยิ้มอย่างสงบเลยแม้แต่นิดเดียว
            เขาคิดอย่างนั้นจากใจจริง
            หัวใจรู้สึกคันยุบยิบ และค่อยๆ พองโตขึ้น
            ข้าค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ บิดหูของเฟเรสเบาๆ ไม่ให้ถึงเจ็บ จากนั้นจุมพิตลงบนริมฝีปากแล้วกล่าวขึ้น
            “ไม่ต้องหว่านเสน่ห์ขนาดนั้นก็ได้ เพราะข้าหลงเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว”
            ริมฝีปากที่แตะกันฉีกยิ้มออกมาแทนคำตอบ
            เฟเรสสอดลิ้นเข้ามาราวกับรออยู่แล้ว
            การจูบค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น
            คล้ายว่าลมหายใจและไออุ่นจากร่างกายที่สอดประสานกัน กำลังผูกพวกเราให้แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันยิ่งขึ้น
            “แฮ่ก”
            หลังจากการจูบกันอย่างต่อเนื่องจนไม่มีเวลาพักหายใจจบลง พวกเราก็เอาหน้าผากชนกันและปรับลมหายใจ
“อุ๊บ”
            แล้วจู่ๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“…ทำไมเหรอ?”
            “อะแฮ่ม รู้สึกตลกขึ้นมาอีกน่ะสิ แมรี่บลูงั้นเหรอ”
            “ช่วยลืมมันไปเถอะนะ” ใบหน้าของเฟเรสพลันแดงก่ำ
            แล้วข้าก็รู้สึกอยากแกล้งเฟเรสที่เขินอายให้มากกว่านี้
            “ถ้าเกิดว่าข้าบอกว่าจะไม่แต่งงานขึ้นมาจริงๆ เจ้าจะทำยังไง? ถ้าข้าบอกว่าความรักที่มีให้เจ้ามันจืดจางแล้วขึ้นมา?”
            “ถ้าอย่างนั้น…” ใบหน้าของเฟเรสตึงเครียดขึ้น
            ความคิดหลายอย่างแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
            เขาอ้าปากราวกับอยากพูดอะไรแต่ไม่นานก็หุบกลับไปทันที ดูเหมือนจะรู้สึกว้าวุ่นมากเลยทีเดียว
            อืมมม แกล้งอีกสักนิดดีไหมนะ
            ข้าซ่อนรอยยิ้มเย้าหยอกพลางกล่าวขึ้นมาราวกับพูดกับตนเอง
            “อ่า แบบนี้ก็แย่แล้วสิ ถ้าหากมีผู้ชายคนอื่นมาบอกว่าชอบข้าขึ้นมา จะทำยังไงดีล่ะ”
            นึกว่าเฟเรสจะแสดงท่าทีว้าวุ่นใจสุดๆ อีกครั้งเสียอีก
            แต่คราวนี้การตอบสนองกลับไม่เหมือนเดิม
            หว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยคลี่ออกทันควัน
            “ถ้ามีคนแบบนั้นโผล่ออกมาละก็ ไม่ว่ายังไง…”
            ไม่รู้ว่าคนที่ว้าวุ่นใจคนนั้นไปไหนแล้ว เหลือแต่เฟเรสที่ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
            เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ขนหัวลุก ราวกับจู่ๆ อุณหภูมิรอบตัวก็ลดลงหลายองศา
            “มันไม่ดีต่อสตรีมีครรภ์ เพราะงั้นข้าไม่พูดดีกว่า”
            “งะ งั้นเหรอ อย่างนี้นี่เอง”
            ข้าแค่จะล้อเล่นเท่านั้นเองนะ
            รู้สึกเหมือนมีรังผึ้งติดอยู่ตรงปลายของท่อนไม้ที่ข้าใช้แหย่เล่นฆ่าเวลา
            เฟเรสที่ยิ้มด้วยใบหน้าแปลกพิกลฝังหน้าลงมาในอ้อมกอดของข้า
            “ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกเทีย เพราะจะไม่มีวันมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด”
            เขากอดข้าแน่นขึ้นพลางกล่าว
            จะไม่มี หรือจะทำให้หายไปกันแน่?
            แม้จะอยากถามเพิ่มอีก แต่สุดท้ายข้าก็ตัดสินใจปล่อยผ่านไป
            เพราะว่าไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ของข้ากับเฟเรสได้นี่นะ
            หากเป็นโลกใบอื่นข้าเองก็ไม่รู้หรอก
            แต่อย่างน้อยในชีวิตนี้ก็จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
“ใช่แล้วละ ใช่แล้ว”
            ข้าลูบท้ายทอยของเฟเรสด้วยความรู้สึกที่เหมือนกำลังปลอบโยนสุนัขตัวใหญ่ที่ทำตัวเหมือนเด็ก
“เทีย”
“หืม?”
“ขอบใจนะ”
            ตอนนี้เฟเรสกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันนะ
            จู่ๆ ข้าก็คิดแบบนั้นขึ้นมาพร้อมกับที่กอดตอบเขา
“ข้าก็เหมือนกัน”
            แม้จะต่างจากที่ข้าตั้งใจว่าจะแจ้งข่าวในสถานที่ที่อบอุ่นและโรแมนติกไปบ้าง แต่บางทีแบบนี้อาจจะเหมาะกับพวกเรามากกว่าก็ได้
            ความรู้สึกเต็มอิ่มราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างช่างสมบูรณ์แบบทำให้รอยยิ้มไม่อาจจางหายไป
“…อุ๊ก!”
จนกระทั่งเฟเรสพะอืดพะอมอีกครั้ง
***
            ในที่สุดเฟเรสก็ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการ ‘แพ้ท้องแทน’
            ตัวข้าที่ไม่รู้ว่ามีอาการแบบนั้นอยู่ด้วยรู้สึกมึนงงเป็นอย่างยิ่ง แต่เฟเรสแตกต่างออกไป
            เขาเบิกตาทั้งสองข้างเป็นวงกลมราวกับงงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาในทันที
            ‘อย่างน้อยก็มีเรื่องที่ข้าสามารถทำแทนได้ด้วย ค่อยยังชั่วนะ’
            บางทีข้าคงคว้าผู้ชายที่ไม่มีคนที่สองในโลกมาได้จริงๆ
            ค่อยยังชั่วเพราะยาที่ข้ากินบรรเทาอาการแพ้ท้องออกฤทธิ์กับเฟเรสเป็นอย่างดีเช่นกัน
            หลังจากกินยาไปได้ไม่นานนัก ไม่ว่าจะใบหน้าที่ซีดเผือด และอาการพะอืดพะอมเมื่อได้กลิ่นอาหารก็หายไป
            ด้วยรู้ดีกว่าการแพ้ท้องมันเป็นเรื่องที่ทรมานมากเพียงใด ข้าก็เลยคิดว่าโล่งอกไปทีจริงๆ
            แต่ว่า
            ‘มันจะโล่งอกได้จริงๆ น่ะเหรอ’
            ข้าละสายตาที่จ้องถ้วยชาอย่างเหม่อลอย แล้วกวาดตามองรอบข้าง
            “วันนี้อาหารอร่อยมากเป็นพิเศษเลยนะ”
            “ฝ่าบาท ทำไมถึงกินแต่ขนมปังล่ะพ่ะย่ะค่ะ กินเนื้อสักหน่อยสิ”
            “อ่า ข้าไม่เป็นไร พอดีท้องไม่ค่อยดีน่ะครับ ท่านชายแคลอฮันกินเยอะๆ นะครับ”
            รู้งี้กินข้าวแค่พวกเราสองคนตามที่วางแผนไว้ก็ดี
            ความรู้สึกเสียใจภายหลังพลันโถมเข้ามา
            ตอนนั้นเอง ข้าก็ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยจากที่นั่งด้านข้างชวนคุยขึ้น
            “เทีย คิดอะไรอยู่ถึงได้จดจ่อถึงขนาดนั้น”
“อ๊ะ ท่านปู่”
            ข้าขยับมือที่หยุดชะงักแล้วหั่นสเต็กต่อจนเสร็จ
            “ไม่มีอะไรค่ะ มัวแต่คิดเรื่องเตรียมงานแต่งน่ะค่ะ”
            “ไม่ใช่ว่าวันนี้ลองสวมชุดแต่งงานเป็นรอบสุดท้ายหรอกเหรอ?”
            ชานาเนสที่นั่งเยื้องๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามขึ้น
            “ค่ะ ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้เสร็จทั้งหมดจริงๆ แล้ว”
            “ลูกสาวพ่อจะแต่งงานแล้วเหรอเนี่ย”
            ท่านพ่อที่สนทนากับเฟเรสที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวด้วยน้ำเสียงหมองหม่น
            “ตอนที่เทียเกิดแล้วเข้าสู่อ้อมกอดของพ่อเป็นครั้งแรกยังเหมือนเมื่อวานอยู่เลยนะ”
            ชั่วขณะนั้น ข้ากับเฟเรสก็แลกเปลี่ยนสายตากันโดยไม่พูดอะไร
            การที่วันนี้พวกเรามากินข้าวเย็นกับทุกคนในครอบครัวแทนการเดทกันสองต่อสองเป็นความคิดของเฟเรส
            หรือพูดให้ชัดเจนก็คือ เป็นเพราะคำพูดที่ว่า ‘เราไม่ควรบอกทุกคนด้วยตนเองก่อนจะถึงงานแต่งงานเหรอ?’
            ข้าเองก็เห็นด้วย
            รวมถึงวันนี้ยังเป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะแม้แต่เฟเรสก็ยังมารวมตัวอยู่ที่เดียวกัน
“อืมม”
            แต่ถึงอย่างนั้น พอจะพูดออกไปจริงๆ ข้าก็ยังตื่นเต้น
            เฟเรสจับมือข้าเงียบๆ
            เอาละ เราทำได้
            “คือว่า ข้ามีเรื่องอยากจะบอกทุกคนค่ะ”
            สายตาของทุกคนพุ่งตรงมาที่ข้า
            ท่านปู่ที่มีใบหน้าเมตตาอารี ท่านพ่อที่กำลังรำลึกถึงช่วงเวลาที่ข้ายังเด็กแล้วขอบตาเปียกชื้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ชานาเนสที่มองแวบเดียวอาจจะดูเหมือนสีหน้าไร้อารมณ์แต่ที่จริงแล้วอ่อนโยน ไปจนถึงฝาแฝดที่กำลังทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
            ข้ากลืนน้ำลายทีหนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูด
“ข้าท้องค่ะ”
เอี๊ยด
มีดที่ท่านพ่อถืออยู่ขูดจานเป็นทางยาว ส่งเสียงหวีดร้องบาดหูออกมา
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		