เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 33
SPIN-OFF บทที่ 33
“ท้อง…?”
            เสียงพึมพำของใครบางคนดังสะท้อนไปทั่วห้องอาหารที่เงียบสงัด
อืมม
            ก็เคยคิดอยู่หรอกว่าทุกคนจะตกใจ แต่บรรยากาศมันตึงเครียดกว่าที่คิดไว้
            สมแล้วที่เป็นคนในครอบครัวของข้า
            พอมองไปด้านข้างก็พบว่าเฟเรสที่นั่งอยู่ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหม่า ไม่เป็นตัวเองสักนิด
            ทั้งที่เป็นคนเสนอให้บอกกับครอบครัวก่อนแท้ๆ
            จักรพรรดิหนุ่มที่ชักนำเหล่าขุนนางนับร้อยชีวิตให้ทำตามประสงค์ของตนเองอย่างชำนาญทุกครั้งที่มีการประชุมใหญ่ ในตอนนี้กลับเงียบพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว
            “ใช่ค่ะ ประมาณแปดสัปดาห์ได้แล้วค่ะ”
            ข้าจงใจพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ และพยักหน้าไปพร้อมกัน
เคร้ง
            ได้ยินเสียงอุปกรณ์การกินสักอย่างที่มีน้ำหนักร่วงหล่นลงบนจาน
            เสียงนั้นมาจากท่านปู่ที่ลุกพรวดจนเก้าอี้เกือบจะหงายไปด้านหลัง
            ดวงตาทั้งสองข้างของท่านปู่ที่ใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างเพลิดเพลินและสงบสุขหลังจากมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้กับข้า มีเปลวเพลิงสีฟ้ากำลังลุกโชนอย่างที่ไม่มีมานานแล้ว
            “เจ้าหมอนี่!” ท่านปู่ชี้นิ้วที่สั่นระริกไปทางเฟเรสแล้วตะโกนขึ้น “ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน! เจ้า เจ้า!”
            ดูเหมือนความจริงที่ว่าเฟเรสมีฐานะเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรจะถูกลบออกไปจากสมองของท่านปู่จนหมดเกลี้ยงแล้ว
            ต่อให้เป็นหลานเขยก็เถอะ แต่การใช้คำเรียกนั้นกับเฟเรสมันก็เกินไปหน่อยไหมนะ
            ควรต้องห้ามหรือเปล่า
            ความคิดนั้นผุดขึ้นมา แต่เหนือความคาดหมาย เฟเรสกลับนั่งอยู่นิ่งๆ
            ไม่สิ เขาทำเพียงหลุบตามองด้านล่างด้วยสีหน้าที่บอกว่าไม่ว่าจะทำโทษยังไงก็จะยอมรับแต่โดยดี แล้วกล่าวว่า
            “…เป็นแบบนั้นไปแล้วครับ ท่านปู่”
“ว่าไงนะ? เป็นไปแล้ว?”
            ดูเหมือนท่าทางเช่นนั้นของเฟเรสจะยิ่งเติมเชื้อไฟให้ความโกรธของท่านปู่ขึ้นไปอีก
            “ข้ามองออกมาตั้งแต่แรกแล้ว! มองออกมาตั้งแต่ที่เจ้านี่เดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างเทียแล้ว! ไอ้เด็กที่เหมือนสุนัขป่าตัวนี้!”
            ขืนปล่อยไว้แบบนี้คงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่
            ข้าแอบย้ายแก้วไวน์ที่วางอยู่ตรงหน้าท่านปู่มาไว้ตรงหน้าตัวเอง
เพราะกังวลว่าความโกรธอาจจะพลุ่งพล่านเสียจนสาดไวน์ใส่หน้าของเฟเรสก็ได้
ไม่ต่างไปจากที่คิด
            สายตาของท่านปู่มองปราดมาบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
            ตรงหน้ามีแก้วที่มีน้ำเปล่าครึ่งแก้ววางอยู่ แต่ดูเหมือนของสิ่งนั้นจะยังไม่สมใจ
            ตอนนั้นเอง สิ่งที่เข้ามาในสายตาของท่านปู่ก็คือราล์ฟ สุนัขที่กำลังเล่นอยู่ตัวเดียวด้านหลังโต๊ะ
            ถึงแม้ว่าจะยังโตไม่เต็มที่ แต่สายพันธุ์ของมันก็มีความเชี่ยวชาญในด้านล่าเหยื่อและเฝ้ายามเป็นพิเศษ
            ท่านปู่ชี้ไปที่เฟเรส แล้วออกคำสั่งกับราล์ฟที่ลุกขึ้นเพราะตกใจเสียงดังกึกก้องที่แผดออกมาอย่างกะทันหัน ขณะที่มันกำลังนอนอยู่สบายๆ
“กัดมัน!”
            แต่ว่าไม่มีทางที่เจ้าหนูที่ขี้กลัวแต่กำเนิดโดยไม่เกี่ยวกับสายพันธุ์จะทำเช่นนั้นได้
            ราล์ฟที่มองท่านปู่กับเฟเรสสลับกันด้วยดวงตากลมโตร้อง ‘หงิงๆ’ ออกมา แล้วเข้าไปหลบด้านหลังขาของท่านปู่แทน
            “ให้ตาย” สุดท้ายแล้วท่านปู่ก็ยันหน้าผากแล้วนั่งลงบนเก้าอี้จนได้ยินเสียงดังตุ้บ
            แต่อย่างไรก็ตาม ความโกรธก็ยังคงอยู่ ท่านปู่จึงจ้องเฟเรสเขม็งพลางทำท่าจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมาอีก
            “เจ้า ไอ้หมอนี่…!”
            “ท่านพ่อ พอเถอะค่ะ” เป็นน้ำเสียงอันเยือกเย็นของชานาเนส
            “เด็กจะตกใจเอานะคะ”
            “ดะ เด็ก?”
            แรงกดดันของท่านปู่ลดลงในพริบตา พร้อมกับที่มีสีหน้าราวกับเสียใจภายหลัง
            จากนั้นก็เอ่ยถามข้าที่นั่งเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่งเฝ้าสังเกตสถานการณ์อย่างระมัดระวัง
            “ตะ ตกใจมากหรือเปล่าเทีย”
            “ไม่เป็นไรค่ะ ท่านปู่”
            อันที่จริงแล้วข้าไม่ได้ตกใจเลย เพราะว่าข้าคาดการณ์ปฏิกิริยาอันรุนแรงของท่านปู่เอาไว้ระดับหนึ่งแล้ว
            ชานาเนสมองท่านปู่ที่เป็นเช่นนั้นพลางส่ายหน้ารอบหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้น
            “เทียก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าก็ต้องคิดถึงเหลนของท่านพ่อที่อยู่ในท้องเทียด้วยสิคะ”
“เอ๋? อ๋า นั่นสินะ…”
            แม้จะตอบรับเช่นนั้น แต่ท่านปู่ก็ยังดูมึนงง
            แม้จะมีการตอบสนองที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดเมื่อได้ยินคำว่า ‘ท้อง’ แต่ดูเหมือนจะยังไม่ทันตระหนักถึงความจริงที่ว่าที่กำลังเติบโตอยู่ในตัวข้านั่นก็คือเหลนของตนเอง
            “โฮ่ โฮ่โฮ่ เหลนอย่างนั้นเหรอ…” รอยยิ้มค่อยๆ กระจายไปบนหน้าของท่านปู่
            “ใช่แล้ว เทียของพวกเรา…โฮ่โฮ่”
ดีละ
            ผ่านจุดวิกฤติไปได้แล้ว
            “เกิดงานมงคลซ้อนที่ลอมบาร์เดียแล้วสินะเนี่ย ยินดีด้วยนะเทีย”
            ผู้มีเหตุผลคนสุดท้ายของลอมบาร์เดีย คือชานาเนสยิ้มพร้อมกับแสดงความยินดีแก่ข้าและเฟเรส
            “ฝ่าบาทก็คงจะดีใจมากเลยสินะเพคะ”
            “ขอบคุณครับชานาเนส ข้าเองก็…ยังรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงอยู่เลย”
            “ปกติแล้วก็เป็นเช่นนั้นแหละเพคะ เพราะว่ามองจากภายนอกแล้วยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นเลย ได้โปรดช่วยเหลืออยู่เคียงข้างเทียด้วยนะเพคะ ฝ่าบาท”
            “ครับ ข้าจะทำเช่นนั้น”
            ด้านตรงข้ามกับบริเวณที่มีบทสนทนาอันอบอุ่นส่งกลับไปมา ดูเหมือนว่าสองแฝดจะยังไม่อาจหลุดพ้นจากความตกใจได้
“ท้อง…”
            “…หลาน?”
หืมม
            ทางนี้คงยังต้องใช้เวลาอีกหน่อย
            อันที่จริง ยังมีอีกคนหนึ่งที่ข้าให้ความสนใจอยู่ตลอดเวลา
            ข้าแสร้งทำเป็นกลั้วปากเบาๆ ด้วยน้ำเปล่าพลางสังเกตท่านพ่อที่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
            โชคดีที่ท่านพ่อนั่งประสานมืออยู่นิ่งๆ ราวกับไม่มีความคิดที่จะเขวี้ยงช้อนส้อมใส่เฟเรส
            โกรธไหมนะ?
            ไม่ได้มีท่าทางแบบที่จะตะโกนออกมาเหมือนอย่างท่านปู่ หรือจ้องเฟเรสเขม็งนี่นะ
            แต่ว่าการคาดการณ์ของข้าพลาดเป้าไปอย่างจัง
            ท่านพ่อค่อยๆ ละสายตาออกจากโต๊ะแล้วมองข้า
            ด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของคนมองรู้สึกผ่อนคลาย
            “ยินดีด้วยนะ เทีย”
            ไม่ใช่รอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นมา
            เป็นความยินดีที่แสนบริสุทธิ์ไม่แพ้ริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดขึ้นรอบดวงตา
            “ขะ ขอบคุณค่ะ ท่านพ่อ”
            “ถึงจะกังวลนิดหน่อยที่อาจจะไม่ได้มีเวลาสนุกกับช่วงที่เพิ่งแต่งงานก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นลูกสาวของพ่อก็คงจะผ่านมันไปได้อย่างกล้าหาญเหมือนอย่างที่เป็นเสมอนั่นละนะ”
            ท่านพ่อกำลังเชื่อมั่นในตัวข้า
            ทันใดนั้น คนที่ได้สติกลับคืนมาในทันใดกลับเป็นฝ่ายข้าเสียเอง
            ข้าที่นั่งอยู่อย่างผ่อนคลายเปลี่ยนมานั่งด้วยท่าทางที่เหมาะสมแล้วตอบกลับว่า
            “ค่ะ แน่นอนค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ”
            สมกับเป็นท่านพ่อของข้า
            แม้จะมีด้านที่อ่อนแอ แต่ในช่วงเวลาสำคัญจะเป็นคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร
            ข้าก็ต้องเป็นผู้ปกครองแบบนั้นให้กับลูกของตนเองให้ได้
            ราวกับเข้าใจความคิดทั้งหมดของข้า ท่านพ่อยิ้มออกมาอีกครั้ง
            “ดีแล้ว ดี ข้ากินข้าวเสร็จแล้ว คงต้องขอตัวลุกก่อนแล้วละ”
            “เอ๋ เร็วจังเลยค่ะ?”
            “เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ เทีย”
            “ค่า ราตรีสวัสดิ์นะคะท่านพ่อ”
            จะจบแบบนี้เลยเหรอ?
            หัวใจพลันรู้สึกผ่อนคลายราวกับทำการบ้านชิ้นใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว
            เห็นไหม ทุกอย่างก็จบลงด้วยดีนี่นา
            ข้าตั้งใจจะกระซิบกับเฟเรสเช่นนั้น
            พลันได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของท่านพ่อที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเลื่อนเก้าอี้เบาๆ
            “ฝ่าบาทมาคุยกับกระหม่อมสักประเดี๋ยวเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
            อ๊ะ จบแค่ข้าคนเดียวนี่เอง
***
            เฟเรสเดินตามแคลอฮันเข้าไปในห้องรับแขกที่ค่อนข้างมืดสลัว
            เป็นพื้นที่ที่เข้มงวดซึ่งไม่มีของไม่จำเป็นเลยสักชิ้นเดียว ต่างจากบุคลิกที่นุ่มนวลและอ่อนโยนของแคลอฮันในยามปกติ
            “ดื่มกันสักแก้วดีหรือไม่”
            แคลอฮันหยิบขวดสุราที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพลางเอ่ยถาม
            สุราที่ไหวกระเพื่อมเป็นสีเหลืองอำพันเพราะตกกระทบกับแสงอันเลือนรางนั้น เป็นสุราดีกรีแรงที่เฟเรสเองจะดื่มเป็นครั้งคราว
            ตอนอยู่คนเดียวจะดื่มสุราแบบนี้อย่างนั้นเหรอ
            ด้วยเพราะแคลอฮันมักจะขอไวน์ที่มีรสชาติหวานและดีกรีเบาอยู่เสมอบนโต๊ะอาหารเวลาที่รับประทานอาหารร่วมกัน เฟเรสจึงประหลาดใจเล็กน้อยพลางพยักหน้าลงอย่างเชื่องช้า
            สุราถูกเติมลงในแก้วคริสตัลโดยปราศจากบทสนทนา
            เฟเรสรับสุราที่แคลอฮันมอบให้มาดื่มอย่างสงบเสงี่ยม
            ไม่มีทางรู้เลยว่าความรู้สึกแสบร้อนในลำคอเป็นเพราะสุราดีกรีแรง หรือเป็นเพราะความประหม่ากันแน่
            “ข้าขอแสดงความยินดีด้วยครับ ฝ่าบาท”
            “อ่า ครับ ขอบคุณครับท่านชายแคลอฮัน”
            แต่กระนั้นความอึดอัดที่คล้ายว่ากำลังบีบรัดลำคอก็ยังไม่หายไป
            นั่นเป็นเพราะว่าหากจะทำเพื่อแสดงความยินดี ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเรียกตนเองให้ตามมาแบบนี้
            ไม่ต่างไปจากที่คิด
            แคลอฮันที่ดื่มสุราหมดในคราวเดียวกลิ้งแก้วอันว่างเปล่าในมือของตนเองพลางเปิดปากพูดอย่างเยือกเย็น
            “ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเด็กจะไม่ใช่ลูกสาวนะครับ”
“ครับ…?”
            ในคราวนี้ สมองของเฟเรสเบลอไปแล้ว
            หวังว่าจะไม่ใช่ลูกสาวอย่างนั้นเหรอ
            เป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมกับแคลอฮันที่เห็นว่าลูกสาวของตนเองสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกใบนี้เลย
            “หมายความว่ายังไงเหรอครับ ท่านชายแคลอฮัน”
            “ไม่คิดเช่นนั้นเหรอ ลองคิดภาพดูนะครับ”
            แคลอฮันวางแก้วลงบนโต๊ะ
            “ลูกสาวที่หน้าเหมือนเทียเปี๊ยบได้เจอกับไอ้ลูกหมาตัวน้อย ไม่สิ ได้เจอเด็กคนหนึ่งแล้วกลายเป็นเพื่อนกันก่อนอายุสิบขวบ เด็กชายคนนั้นคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายเสมอ และทันทีที่ลูกสาวบรรลุนิติภาวะก็แอบไปหมั้นกันโดยที่ไม่ขออนุญาตจากพ่อก่อน”
เอื๊อก
            เสียงกลืนน้ำลายของเฟเรสดังมากเป็นพิเศษ
            “ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะตั้งหลักและโบยบินหลังจากเหน็ดเหนื่อยมานาน ถ้าจู่ๆ ก็เกิดมีลูกขึ้นมาก่อนที่จะได้เข้าพิธีแต่งงานขึ้นมาละก็…ไม่ควรจะต้องมีเรื่องโชคร้ายแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
            “ทะ ท่านชายแคลอฮัน”
            “ว่าไหม ฝ่าบาท?”
            เฟเรสไม่มีอะไรจะพูด
            “ขอโทษครับ” เขาทำได้เพียงกล่าวขอโทษพร้อมกับก้มศีรษะลงอย่างหนักอึ้ง
            แคลอฮันมองเฟเรสที่เป็นเช่นนั้นด้วยสายตาตึงเครียด
            แต่ความเงียบงันที่หนักอึ้งก็ไม่ได้ยาวนานมากนัก
จ๊อกกก
            หลังจากเติมสุราลงในแก้วของตนเองอีกครั้ง แคลอฮันก็รินมันเพิ่มใส่แก้วที่ยังดื่มไม่หมดของเฟเรส
“ฝ่าบาท”
            “ครับ ท่านชายแคลอฮัน”
            “หลังจากผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ในที่สุดเทียก็คลอดออกมาได้ครับ”
            นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสที่มองอยู่สักที่หนึ่งบนโต๊ะมาโดยตลอดพลันหันไปหาแคลอฮัน
            ดวงตาที่หลุบมองสุราสีเหลืองอำพันกำลังรำลึกถึงความทรงจำที่ห่างไกลออกไปยิ่งกว่านั้น
            “ชาห์น ภรรยาของข้านั้นเจ็บท้องมากกว่าสองวันถึงจะคลอดออกมาได้ โดยที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลยครับ”
            รอยยิ้มว่างเปล่าผุดขึ้นบนริมฝีปากของแคลอฮัน
            “ภรรยาของข้ากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและเสี่ยงชีวิตคลอดลูกออกมา แต่ ณ ที่ตรงนั้น นอกจากการจับมือคู่นั้นเอาไว้ ข้าที่เป็นสามีก็เป็นแค่คนที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
            เขาถอนหายใจสั้นๆ ระหว่างพูด
            “จากนั้นชาห์นก็ไม่อาจเอาชนะภาวะที่ตามมาหลังการคลอดได้ และจากโลกนี้ไปก่อนจะถึงวันเกิดในปีแรกของเทียอีกครับ”
            “อ่า…”
            ใบหน้าของเฟเรสเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
            เขาลองเอาตนเองและเทียไปวางไว้ในจุดเดียวกับแคลอฮันและชาห์น
            ถ้าหากว่าไม่มีสิ่งที่ข้าสามารถทำได้เลย ในขณะที่เทียต้องบิดตัวไปมาท่ามกลางความเจ็บปวดละก็
            และถ้าหากว่านางไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้วละก็
            “เป็นเรื่องที่น่ากลัวใช่ไหมละครับ”
            แม้แคลอฮันจะกล่าวออกมาอย่างสงบนิ่งมากเหลือเกิน แต่เฟเรสก็ไม่ได้ตอบกลับ
            ทำเพียงใช้มือปิดปากของตนเองไว้เท่านั้น
            นั่นคือทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้
            “ข้าเชื่อมั่นในตัวลูกสาวข้าครับ” หลังจากดื่มสุราจนแก้วว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่ง แคลอฮันก็กล่าวขึ้น
            “ข้าเชื่อมั่นว่าลูกสาวที่ไม่เคยทำให้ข้าต้องทุกข์ใจเลยสักครั้งหลังจากเกิดมา ลูกสาวของข้าที่บุกเบิกเส้นทางข้างหน้าอย่างองอาจอยู่เสมอ ในคราวนี้ก็จะผ่านมันไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน และต้องเป็นเช่นนั้นด้วย”
            น้ำเสียงของแคลอฮันที่กล่าวจนจบหนักแน่นมากเป็นพิเศษ
            เฟเรสตระหนักได้แล้วว่าคำพูดคำนั้น ไม่ใช่สิ่งที่บอกกับเทีย แต่บอกกับเขา
            “ครับ เข้าใจแล้วครับท่านชายแคลอฮัน”
            ดวงตาของคนทั้งสองที่หากความรู้สึกที่พวกเขามีต่อเทียเป็นที่สองในโลกใบนี้ก็ไม่มีใครเป็นที่หนึ่งสบกันในที่สุด
            หลังจากสิ้นสุดบทสนทนาที่โต้ตอบกันอย่างเงียบๆ ในที่สุดแคลอฮันก็คลายใบหน้าที่แข็งกระด้างลง
            “ตอนนี้ทรงพอจะเข้าใจหัวใจของกระหม่อมที่ไม่สามารถยินดีให้กับข่าวดีได้มากขึ้นหน่อยหรือยังพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท?”
“น่าอับอายมากครับ”
            “ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ เพราะความรู้สึกที่ฝ่าบาทมีให้เทีย กระหม่อมเองก็รู้ดี ยิ่งไปกว่านั้น”
            แคลอฮันหัวเราะออกมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
            “ถ้าเป็นเด็กที่หน้าเหมือนเทียกับฝ่าบาทละก็ ในอนาคตน่าจะต้องลำบากมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืมม”
            ในที่สุด เฟเรสก็ดื่มสุราที่ถืออยู่เข้าไปในคราวเดียว
            คำพูดของแคลอฮันถูกต้อง
            แม้ความรู้สึกที่อยากให้ลูกหน้าเหมือนเทียจะยิ่งใหญ่ราวภูเขา แต่ในตัวลูกก็มีเลือดของเขาไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน
            ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ หากว่าลูกหน้าตาเหมือนเขาเปี๊ยบโดยที่ไม่มีส่วนที่คล้ายคลึงกับเทียเลยละก็
            ใบหน้าของเฟเรสเริ่มแข็งทื่อขึ้นอย่างช้าๆ
            เพราะหลังจากขบคิดเกี่ยวกับมันแล้ว จู่ๆ เขาก็ตระหนักถึงความจริงที่สำคัญมากถึงมากที่สุดได้
            เฟเรสวางแก้วสุราลง
            “ข้าอยากเป็นพ่อที่ดีครับ” จากนั้นก็ก้มหัวลงแล้วกล่าวขอร้องอย่างเต็มใจ “ได้โปรดช่วยสอนข้าด้วยครับ ท่านพ่อ”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		