เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 45
SPIN-OFF บทที่ 45
ชาห์นรู้สึกไม่เชื่อหูตนเอง
               “ข้า…จะตายอย่างนั้นเหรอคะ?”
               ทำไมข้าถึงตายล่ะ?
               ไม่เข้าใจเลย
               ข้าจะตายถ้าออกจากป่าไปเนี่ยนะ
               ฝันบอกเหตุบอกอย่างชัดเจน
               มันบอกว่านางมีโชคชะตาที่ต้องเดินทางออกจากป่า ตกหลุมรักชายที่ชื่อว่าแคลลอฮัน และคลอดบุตรสาวที่ชื่อว่าฟีเรนเทีย
               “ท่านแม่คงดูผิดแล้วละค่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก”
               ชาห์นส่ายหน้า ไม่ยอมรับคำพูดนั้น
               “ช่วยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดหน่อยได้ไหมคะ ว่าท่านแม่เห็นอะไรกันแน่”
               โซอูรามองใบหน้าของบุตรสาวที่เคร่งขรึมยิ่งกว่าตอนไหนๆ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างโอดครวญ
               “ข้าได้รับข่าวการตายของเจ้าในฤดูหนาวของปีหนึ่ง เป็นข่าวที่มาพร้อมกับผู้ที่มาหาข้าจากด้านนอกของป่า”
               “ตะ แต่นั่นก็อาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปนานแล้วก็ได้นี่คะ”
               “เขาบอกว่าเจ้ามีบุตรสาวที่ยังเล็กมากด้วย เจ้าจะตายหลังจากคลอดเด็กคนนั้นได้ยังไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ”
               “นี่ข้า…จะตายหลังจากคลอดเทียได้ไม่ถึงหนึ่งปีอีกเหรอคะ?”
               “รู้กระทั่งชื่อของเด็กคนนั้นแล้วเหรอ”
               เสียงของโซอูรามีความโกรธเกรี้ยว
               บุตรสาวของชาห์นนับเป็นหลานสาวของโซอูราด้วยก็จริง
               แต่ชื่อของเด็กที่ยังไม่ทันจะได้เกิดมานั้น ก็เป็นได้แค่เสียงระคายหูที่ไม่ชวนฟังเท่านั้น
               “ลืมชื่อนั้นไปเสีย เพราะเจ้าจะไม่มีวันได้คลอดเด็กคนนั้นออกมาหรอก”
               “ท่านแม่ ทำไมพูดเช่นนั้น…”
               ชาห์นพยายามจะคัดค้าน
               ต่อให้อีกฝ่ายเป็นมารดาของนางก็ตาม แต่ชาห์นก็ยังโกรธจนพยายามห้ามไม่ให้นางพูดอะไรที่น่ากลัวเช่นนั้นออกมา
               แต่จู่ๆ เบื้องหน้าก็พลันพร่ามัว
               เวลาเดียวกับที่ทิวทัศน์ของบ้านที่กำลังคุยกันอยู่เปลี่ยนไป
               นางกลับมายังเตียงนอนหลังนั้นที่เห็นในฝันเมื่อครู่ก่อน
               กลับมายังสถานที่ที่นางและแคลอฮันที่กอดเทียอยู่ในอ้อมแขนเคยยิ้มอย่างมีความสุขท่ามกลางแสงแดดอันแสนอบอุ่น
               แคลอฮันยังอยู่ข้างชาห์นเหมือนเดิม
               เขาอยู่ข้างๆ ตรงนั้น จับมือของนางไว้แน่นและกำลังร้องไห้
               “ชาห์น…”
               เขาแนบใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาที่เย็นจนหนาวเหน็บลงมาบนหลังมือ
               “ได้โปรด อย่าทิ้งข้าไปเลยนะ”
               เขาร้องสะอื้นสะอื้น
               ชาห์นอยากจะพูดกับเขาที่กำลังทุกข์ระทม
               หยุดร้องได้แล้ว ข้าไม่เป็นอะไร
               แต่กลับไม่มีเสียงใดดังออกมา
               ดังนั้นนางจึงพยายามบีบมือเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่สิ่งที่ขยับเขยื้อนกลับมีเพียงนิ้วมือไม่กี่นิ้วเท่านั้น
               ดูเหมือนแม้แต่เรื่องนั้นก็เกินกำลัง การหายใจเริ่มลำบากขึ้นเรื่อยๆ
               “ได้โปรดละ อ่า ได้โปรดนะ…ชาห์น ไม่นะ”
               แคลอฮันอ้อนวอนเหมือนเด็กน้อย
               พร้อมกับใช้สองมือกุมใบหน้าและพรมจูบนับไม่ถ้วนลงไปเพื่อรั้งนางไว้ข้างกาย
               น้ำตาที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครไหลพรากบนใบหน้าของชาห์น
               นางพยายามจะบอกว่าข้าก็ไม่อยากจากท่านไปเช่นกัน
               แม้จะเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ อย่างน้อยแค่ขยับปากให้เห็นก็ยังดี
               นางอยากบอกเช่นนั้นกับเขาที่กำลังโศกเศร้า
               ชาห์นเอื้อมมือออกไปตามสัญชาตญาณและคว้าชายเสื้อของแคลอฮันเอาไว้
               ในชั่วขณะนั้นเอง
               “เฮือก!”
               สิ่งที่นางกำอยู่ในมือคือพนักพิงของเก้าอี้แข็งๆ
               ชาห์นกลับมายังปัจจุบัน กลับมายังบ้านที่อยู่กลางป่าแล้ว
               “ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
หลังจากจับจ้องชาห์นที่เหม่อมองอากาศและร้องไห้ออกมาในระหว่างที่กำลังสนทนากัน โซอูราก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
               ชาห์นที่ไม่รู้สึกตัวไปชั่วครู่เช็ดน้ำตาอย่างแรง
               “ทำไม…ทำไมข้าถึงได้…”
               ในอนาคตที่ได้เห็นเพียงแวบเดียวนั้น เห็นได้ชัดว่าตนกำลังจะตายอยู่จริงๆ
               รู้สึกกลัว
               นางรู้สึกหวาดกลัวและอยากหนีไป
               โซอูราอ่านความคิดของชาห์นออกจึงกล่าวขึ้น
               “ในเมื่อเจ้าได้รู้เรื่องนั้นแล้ว ก็แค่หลีกเลี่ยงมันพอ”
               ชาห์นเงยศีรษะขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
               “เหมือนอย่างตอนที่หลีกเลี่ยงอุทกภัยที่กวาดล้างทั้งหมู่บ้านจนพรากชีวิตคนจำนวนมากไป รอบนี้เจ้าแค่ทำเช่นนั้นก็พอ แค่เลือกทางเดินอื่นก็พอ”
               ชาห์นไม่ได้พูดอะไร
               ทำเพียงมองโซอูราตรงๆ ด้วยสายตาว่างเปล่าเท่านั้น
               “…กลับห้องเจ้าไปได้แล้ว ข้าเหนื่อย ไว้ค่อยคุยกันอีกครั้งหลังจากตื่นนอนเถอะ”
               ชาห์นทำตามคำสั่งผู้เป็นมารดา
               ตึก ตึก
               นางเดินกลับเข้าห้องตัวเองไปด้วยฝีเท้าที่ไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะปิดประตูลง
               โซอูรายืนอยู่หน้าประตูห้องของชาห์นที่ปิดลงเงียบๆ ต่อครู่หนึ่ง ก็กลับเข้าห้องของตนเองไปเช่นกัน
               จากนั้นก็พาร่างอันเหน็ดเหนื่อยนอนลง
               แต่อีกด้านหนึ่ง นางก็รู้สึกสบายใจอย่างเห็นได้ชัด
               หากชาห์นแสดงความดื้อรั้น โซอูราก็ตั้งใจว่าจะออกคำสั่งในฐานะหัวหน้าเผ่าชาราห์ไม่ใช่มารดา
               นางจะรั้งบุตรสาวไว้ที่นี่ แม้นั่นจะทำให้ชาห์นไม่มีสิทธิ์ได้ออกไปนอกป่าตลอดชีวิตก็ตาม
               นั่นคือวิธีปกป้องชาห์นที่โซอูราคิดได้
               โซอูราที่ผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้สึกตัวราวกับหมดสติ ลืมตาขึ้นอีกครั้งในตอนเช้า
               นางจัดเสื้อผ้ายับยู่ยี่ให้เข้าที่แล้วลุกขึ้นยืน
               ภายในบ้านยังคงเงียบสงบ
               เมื่อวานเพิ่งเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ดังนั้นการที่ชาห์นจะยังไม่ออกมาจากห้องนอนก็นับเป็นเรื่องปกติ
               โซอูราเปิดประตูห้องของชาห์นที่ยังปิดแน่นสนิทเหมือนตอนที่เห็นเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวานออก
               “ชาห์น”
               นางตั้งใจจะปลุกชาห์นให้ลุกขึ้นมากินข้าว
               แต่โซอูราก็ต้องหยุดชะงักอยู่ตรงนั้นราวกับถูกตอกตะปูไว้
               “…ชาห์น”
               เห็นได้ชัดว่าชาห์นยังนอนอยู่บนเตียง
               แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนนางไม่ได้อยู่ตรงนี้
               ไม่ว่าจะเรียกชื่อกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเขย่าไหล่กี่หน ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
               ชาห์นไม่ตื่นจากการหลับใหล
***
               ผ่านไปสามวันแล้วที่ชาห์นนอนหลับไม่ตื่น
               ภายในห้องอันเงียบสงัดที่ได้ยินเพียงเสียงหายใจของบุตรสาว โซอูรานั่งจ้องไปทางเตียงนอนอย่างใจลอย
นางมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แทนการมีสายตาปกติเหมือนคนทั่วไป
               นั่นก็คือพลังของโซอูรา
               และในตอนนี้โซอูราก็กำลังพิเคราะห์สภาพอารมณ์ของชาห์นที่กำลังฝัน
               ชาห์นกำลังมีความสุขอยู่ภายในห้วงฝันที่มองเห็นอนาคต
               มีบางคราวที่ปรากฏให้เห็นเค้าลางของความเศร้าและเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เพียงแค่นั้น
               อิสระ ปลื้มปริ่ม อิ่มใจ รักใคร่
               อารมณ์เหล่านั้นทำให้โซอูรารู้สึกเหมือนกำลังมองดูทุ่งดอกไม้ที่บานสะพรั่ง
               “มันดีอะไรนักหนา ถึงได้ชอบถึงขนาดนั้น”
               โซอูราตำหนิบุตรสาวที่กำลังนอนหลับ
               “พอข้าห้ามไม่ให้ออกจากป่าก็หนีเข้าไปในความฝันสินะ”
               โซอูราเอ่ยพึมพำอย่างว้าเหว่ ก่อนหันศีรษะไปทางประตูอันเงียบสงบด้านนอก
               “เข้ามาสิ อานาอี”
               อานาอีผู้ที่ปกติจะยืนคุ้มกันโซอูราและตามติดนางเป็นเงาในทุกที่ ในวันนี้ก็กำลังปกป้องนางอยู่ด้านข้างเช่นเคย
               “ไม่ต้องเป็นห่วงชาห์นนะอานาอี นางเพียงแค่นอนหลับลึกเท่านั้น”
               “จะตื่นขึ้นมาได้…ใช่ไหมคะ?”
               อานาอีที่บัดนี้มีอายุสิบปีปลายๆ แล้ว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันหนักอึ้งที่ไม่เหมาะสมกับอายุ
               “น่าจะเป็นเช่นนั้นนะ”
               โซอูราตอบกลับเงียบๆ
               อานาอีมีพละกำลังมหาศาลที่ทำได้กระทั่งดึงต้นไม้ออกมากวัดแกว่ง แต่นางกลับไร้กำลังโดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าโชคชะตาของคนสองคนที่สำคัญที่สุด
               นางรู้สึกปวดใจที่ตนเองไม่สามารถช่วยทั้งโซอูราที่ยอมรับนางผู้ควบคุมพลังไม่ได้จนพลั้งมือฆ่าบุพการี และทั้งชาห์นที่บอกให้ตนเองเรียกนางว่าพี่สาวพร้อมกับยื่นมือมาหาก่อนได้เลย
               จู่ๆ โซอูราก็ถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด
               “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดไว้ใช่ไหมล่ะ อานาอี”
               รอยยิ้มขมขื่นผุดขึ้นที่ริมฝีปากของโซอูรา
               “ที่เคยบอกว่าพละกำลังที่เจ้ามีมันไม่ใช่พรแต่คือคำสาป ไม่รู้ทำไม บางครั้งข้ารู้สึกว่าคำพูดของเจ้าอาจจะถูกต้องก็ได้”
               “ท่านหัวหน้าเผ่า”
               “ทั้งพลังของข้า ทั้งพลังที่ไม่รู้จักความเจ็บปวดของเจ้า ทั้งพลังในการมองเห็นอนาคตตนเองของชาห์นด้วย”
               เพราะเผ่าชาราห์แต่ละคนมีพลังวิเศษอันน่าอัศจรรย์ต่างกันไป พวกเขาจึงยังมีชีวิตรอดอยู่ในป่าแห่งนี้ได้จนถึงป่านนี้
               สิ่งนั้นเป็นความภาคภูมิใจของโซอูราที่เป็นผู้นำเผ่ามาโดยตลอด
               ทว่าในตอนนี้ พลังเหล่านั้นมีแต่ทำให้นางรู้สึกคับแค้นใจก็เท่านั้น
               “บางทีพวกเราอาจจะเป็นคนบาปก็ได้นะ ดูจากการที่พวกเราถูกลงโทษอยู่เช่นตอนนี้”
               เมื่อเห็นสภาพอารมณ์ของชาห์นเปลี่ยนเป็นปลื้มปิติอีกครั้ง โซอูราก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาครั้งหนึ่ง
               นางคิดมาตลอดว่าค่าตอบแทนของพลังวิเศษที่สามารถมองเห็นอะไรมากมายคือดวงตาที่มืดบอดทั้งสองข้าง
               แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าราคาที่จ่ายไปนั้นจะยังไม่เพียงพอ
               โซอูราตระหนักถึงมันได้ในที่สุด
***
               ดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ท้องฟ้าเป็นสีครามสดใส
               โซอูราเดินไปเปิดประตูห้องของชาห์นด้วยฝีเท้ารีบเร่ง
               ด้วยเหตุนั้นเอง ชาห์นที่นั่งมองไปนอกหน้าต่างอยู่บนเตียงจึงหันศีรษะกลับมา
               “ท่านแม่”
               ชาห์นคลี่ยิ้ม ใบหน้าผอมซูบเพราะไม่ได้กินหรือดื่มอะไรมาตลอดหลายวัน
               “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
               โซอูราเกร็งมือข้างที่กำลูกบิดประตู
               ชาห์นแค่เอ่ยทักทายเท่านั้น แต่นางก็สัมผัสได้
               แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มเหมือนเดิม แต่ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ชาห์นก็ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว
               สดใสแต่ปล่อยวาง
               ราวกับคนที่กลับมาหลังจากได้เห็นบั้นปลายชีวิต
               “ดูเหมือนจะได้เห็นอะไรหลายอย่างเลยสินะ”
               “ฮ่าฮ่า ข้านอนหลับไปนานเลยใช่ไหมคะ”
               คำพูดนั้นราวกับตนเองแค่นอนกลางวันไปอย่างเต็มอิ่มเพราะเหนื่อยล้าเท่านั้น
               “ดูเหมือนพลังของข้าจะพัฒนาไปอีกขั้นแล้วละค่ะ ข้ารู้สึกเหมือนมองเห็นอะไรได้เยอะขึ้น แล้วก็กว้างไกลยิ่งกว่าเมื่อก่อนมากเลย ต่อให้ไม่ได้นอนหลับอยู่ก็ตาม”
               “นั่นมัน…!”
               “ข้ารู้ค่ะ ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย”
               ชาห์นยิ้มอย่างขมขื่น
               “ดูเหมือนจะเป็นเพราะข้าตัดสินใจที่จะเสียสละอะไรมากขึ้นสินะคะ”
               “ชาห์น สุดท้ายเจ้าก็”
               ใบหน้าของโซอูราบิดเบี้ยวไปด้วยความทุกข์ระทม
               “ข้าว่าจะเชื่อฟังคำพูดของท่านแม่แล้วค่ะ ถ้าหลบเลี่ยงก็จบ ถ้าเลือกทางอื่นก็ไม่เป็นอะไร ในเมื่อท่านแม่ก็บอกเช่นนั้นแล้ว อีกอย่างข้าก็กลัวตายด้วย”
               ชาห์นเกาแก้ม
               “ข้าร้องไห้ไปพักหนึ่งเลยค่ะ น่าขันใช่ไหมล่ะค่ะ มันเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยแท้ๆ แต่ข้ากลับรู้สึกเศร้า รู้สึกว้าเหว่ รู้สึกเหมือนตัวคนเดียวราวกับคนที่สูญเสียทุกอย่างไปจนร้องไห้ฟูมฟาย ข้าร้องจนนอนหลับไปเลยค่ะ”
               “…เจ้าเห็นถึงตรงไหนกันแน่”
               “ทั้งหมดเลยค่ะ ข้าเห็นทั้งหมด”
               ชาห์นตอบกลับ คำพูดของนางฟังดูชอบกล
               “และข้าก็ได้รู้ค่ะท่านแม่ ว่าข้าเป็นคนที่โชคดีมากๆ เลย”
               ถึงกับมีความตื่นเต้นอยู่ในน้ำเสียงด้วย
               “โชคดีอย่างนั้นเหรอ แม้ว่าเจ้าจะต้องตายเนี่ยนะ?”
               “แต่ว่าท่านแม่คะ ข้าได้รับโอกาสในการเลือกแล้วไม่ใช่เหรอคะ ได้เห็นอนาคต ได้สัมผัสมัน และเป็นโอกาสให้ข้าได้เลือกระหว่างสองสิ่งนี้”
               ชาห์นยิ้มอย่างมีความสุขจากใจจริง
               “ตอนนี้ข้ารู้แล้วค่ะ ว่าคนคนนั้นรักข้ามากเพียงใด และเขายิ้มยังไงตอนที่อยู่เคียงข้างข้า”
               ทั้งการก้าวเดินอันแข็งทื่อที่ไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นได้ ทั้งอุณหภูมิของนิ้วมือที่สอดประสานกัน
               ทุกอย่างยังทิ้งร่องรอยไว้อย่างชัดเจน
               “ข้าไม่รู้หรอกค่ะว่าข้าจะมีเวลาอีกกี่ปี แต่ข้าก็ยังอยากทำให้คนผู้นั้นมีความสุขค่ะ ข้าอยากทำให้เขามีรอยยิ้มแบบนั้น”
               หลังจากตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน ชาห์นก็ตัดสินใจได้
               เป็นการตัดสินใจที่ง่ายดาย ทั้งยังเป็นธรรมชาติเสียจนดูไร้ค่า
               “ข้าจะไปค่ะท่านแม่”
               เพราะว่านางตกหลุมรักกับโชคชะตาไปเสียแล้ว
               “ข้าจะไปค่ะ ไปอยู่เคียงข้างคนผู้นั้น”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		