เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 51
SPIN-OFF บทที่ 51
“ข้าเพิ่งเคยเห็นดอกไม้แบบนี้เป็นครั้งแรก บอมเนียเหรอ ชื่อก็ไพเราะจังเลยครับ”
               แคลอฮันพึมพำชื่อ ‘บอมเนีย’ ในปากอีกหลายครั้ง แล้วยิ้มออกมา
               “มันเป็นของที่ข้านำติดตัวมาด้วยตอนที่ออกมาจากบ้านเกิดน่ะค่ะ ที่บ้านของข้ามันเป็นดอกไม้ป่าที่ผลิบานอยู่ทั่วเลย”
               “ชาห์นนำมันมาจนถึงที่นี่ด้วยตัวเองเลยงั้นเหรอครับ?”
               “ใช่ค่ะ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรเท่าไร”
               “แต่ว่า…”
               “มันเป็นดอกไม้ที่สำคัญกับข้ามากค่ะ ข้าตั้งใจว่าจะหาพื้นดินสักแห่งที่มันจะสามารถเติบโตได้อย่างดีปลูกมัน”
               ชาห์นกล่าวเช่นนั้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
               “ชาห์น ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้หรือเปล่าครับ?”
               เสียงของแคลอฮันที่เอื้อนเอ่ยออกมาระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
               “ได้สิคะ แคลอฮันอยากรู้อะไรเหรอคะ?”
               “ทำไมชาห์น…ถึงจากบ้านเกิดมาเหรอครับ?”
               มันเป็นเรื่องที่เขาสงสัยมาโดยตลอดหลังจากที่ได้รู้จักนาง
               จากที่ได้ฟังเรื่องราว บ้านเกิดของชาห์นดูเหมือนจะอยู่ทางตอนใต้ของทวีป
               แล้วสาเหตุที่ทำให้นางออกจากที่ห่างไกลเช่นนั้นมายังลอมบาร์เดียแห่งนี้เพียงคนเดียวคืออะไรกัน
               “ถ้ามันเป็นคำถามที่ล้ำเส้นเกินไปก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ ชาห์นจะไม่ตอบก็ได้นะ”
               แคลอฮันรีบร้อนพูดเสริม
               “มีเรื่องที่ข้าจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อออกจากหมู่บ้านเท่านั้นอยู่น่ะค่ะ”
               ชาห์นตอบแคลอฮันอย่างสบายๆ
               “ชาห์นไม่กลัวบ้างเหรอครับ? ที่ต้องทิ้งสิ่งที่คุ้นเคยทั้งหมดไว้ข้างหลัง แล้วจากมายังที่ที่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเรื่องที่ท้าทายตัวเองมากเลยแท้ๆ”
               “กลัวสิคะ”
               คำตอบในครั้งนี้ของชาห์นก็ผ่อนคลายพอๆ กับรอยยิ้มของนาง
               “แต่ว่าเพราะมีเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องทำ เรื่องที่ข้าสามารถทำได้ ทั้งยังเป็นเรื่องที่ข้าอยากทำอยู่น่ะค่ะ”
               แคลอฮันจ้องนางที่พูดอย่างสงบนิ่งด้วยความเหม่อลอย
               เพราะชาห์นที่มีรูปร่างเล็กมากกลับดูยิ่งใหญ่ขึ้นมา
               แคลอฮันสองจิตสองใจครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดประเด็น
               “ที่จริง…มีกลุ่มการค้าที่ครอบครัวของข้าบริหารอยู่น่ะครับ”
               “กลุ่มการค้าเหรอคะ?”
               “ใช่ครับ แล้วในคราวนี้ข้าก็ได้รับโอกาสที่จะได้ลองทำงานในกลุ่มการค้านั้นมาน่ะครับ”
               “เป็นเรื่องที่น่ายินดีเลยนะคะ แคลอฮัน”
               “ครับ แต่ว่าข้าไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะสามารถทำมันออกมาได้ดีหรือเปล่า เพราะมันเป็นงานที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงมาก…”
               แล้วจู่ๆ ชาห์นที่กำลังรับฟังเรื่องราวอยู่นิ่งๆ ก็นึกถึงความฝันที่นางฝันเห็นเมื่อวานขึ้นได้
               ภาพที่เขากำลังทำงานอย่างกระตือรือร้นร่วมกับผู้คนมากมาย
               และแคลอฮันที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็กำลังพูดด้วยใบหน้าที่มีพลังชีวิตไม่แพ้ภาพนั้นเลย
               “แต่ว่า ข้าว่าจะลองกล้าหาญแบบชาห์นดูสักครั้งแล้วละครับ”
               ชาห์นอยากจะพูดให้กำลังใจแคลอฮันที่หยุดลังเลและกำลังจะก้าวเดินไปข้างหน้า
               จนกระทั่งจู่ๆ เบื้องหน้าก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท
               ตุ้บ
ภาพฉากต่างๆ มากมายแวบเข้ามาในสมองเวลาเดียวกับที่เสียงบัวรดน้ำตกลงพื้นดังขึ้น
               เป็นอนาคตของนางกับแคลอฮันที่เคยเห็นเมื่อตอนอยู่ในห้วงฝันอันยาวนาน
               แต่มันขุ่นมัวเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกต่างจากคราวก่อน
               ชาห์นรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ
               อนาคตของแคลอฮันกำลังเปลี่ยนไป
               เกิดทางแยกขนาดใหญ่ขึ้นจากการตัดสินใจในตอนนี้ของเขา
               ถ้าอย่างนั้นก็มีแค่อย่างเดียวที่นางต้องทำ
               นางแค่เปลี่ยนทางเลือกในตอนนี้ของแคลอฮันก็พอ
               ขอแค่นางพูดออกไปเพียงคำเดียวว่า ‘ข้าว่าอย่าฝืนมากเกินไปเลยจะดีกว่าค่ะ’ เรื่องก็สามารถคลี่คลายได้
               แต่นางไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
               ใบหน้าที่แดงระเรื่อราวกับฤดูใบไม้ผลิเพราะรวบรวมความกล้าได้ในที่สุด นางอยากรักษาใบหน้าที่มีความสุขนั้นเอาไว้
               “แคลอฮัน”
               ชาห์นเก็บบัวรดน้ำที่ทำหล่นไปชั่วครู่ขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
               “ข้าเชื่อค่ะ เชื่อว่าแคลอฮันจะสามารถทำงานนั้นได้เป็นอย่างดี”
               “…ขอบคุณนะชาห์น”
               ชาห์นหันหลังให้แคลอฮันที่ตอบอย่างเขินๆ แล้วลอบปรับลมหายใจ
               เส้นทางที่จะทำให้แคลอฮันมีความสุขไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียว
               และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางของตัวเอง
***
               แคลอฮันยุ่งขึ้นมาก
               เขาเริ่มทำงานที่กลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย และในตอนแรกก็ผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง
               แต่หลังจากผ่านมาหลายเดือน ตอนนี้เขาสนุกกับการได้ทำงานแล้ว
               เป็นเพราะมีโรมาเชีย ดิลลาร์ด หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดียที่เป็นทั้งอาจารย์และผู้ชี้แนะที่ยอดเยี่ยมอยู่ด้วยก็จริง แต่ต่อให้ไม่นับเรื่องนั้นก็ยังถือว่าแคลอฮันเรียนรู้งานได้รวดเร็ว
               “เป็นเพราะท่านแคลอฮันเลยนะครับ ช่วงนี้งานที่ข้าต้องจัดการก็เลยลดลง”
               โรมาเชีย ดิลลาร์ดกล่าวด้วยแววตาที่ราวกับมองดูลูกศิษย์ที่เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดี
               “เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรอกครับท่านหัวหน้ากลุ่มการค้า อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิครับ”
               แคลอฮันรู้สึกเก้อเขิน แต่โรมาเชีย ดิลลาร์ดส่ายหน้า
               “ข้าไม่ได้พูดเล่นนะครับ การจัดการงานอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นจุดเด่นของท่านแคลอฮันเลยครับ”
               การสัมผัสเงินก้อนโตและเคลื่อนย้ายคนจำนวนมาก นั่นแหละคืองานของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย
“ต่อให้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายก็ตาม แต่หากทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาหลายครั้ง สิ่งที่จะหายไปในชั่วพริบตาดุจเม็ดทรายที่ไหลผ่านร่องนิ่วก็คือผลกำไรของกลุ่มการค้านั่นแหละครับ”
เมื่อได้ยินคำชมที่กล่าวต่อมา ใบหน้าของแคลอฮันก็ยิ่งแดงขึ้น
“แต่แน่นอนว่าท่านยังขาดทักษะในการตัดสินใจที่แน่วแน่และเด็ดขาดอยู่นะครับ”
“ข้าจะ…พยายามนะครับ ท่านหัวหน้ากลุ่มการค้า”
โรมาเชีย ดิลลาร์ดตบไหล่แคลอฮันดังตุ้บตุ้บ พร้อมกับที่คิดในใจว่าช่วยไม่ได้ละนะ
แคลอฮันมีนิสัยชอบคิดมากและขี้กลัวแต่กำเนิด
               และเพราะเขารู้เรื่องนั้น ในบรรดาบุตรทั้งสี่คนของท่านเจ้าตระกูล เขาจึงค่อนข้างเป็นห่วงแคลอฮันมากเป็นพิเศษ
               “ข้าจะช่วยเองครับ”
               หลังจากที่แคลอฮัน ลอมบาร์เดียเริ่มเผยให้เห็นภาพลักษณ์ดีๆ ในกลุ่มการค้า ผู้คนที่ให้ความสนใจในระบบสืบทอดของลอมบาร์เดียก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
               หากแสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ การที่คนอื่นๆ จะมาติดตามแคลอฮันก็เหลือแค่เวลาเท่านั้นแล้ว
               “อ่า ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย…”
               แคลอฮันที่กำลังอ่านเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจราวกับจะฝังหน้าลงไปพลันลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมตัวบาง
               โรมาเชีย ดิลลาร์ดและพนักงานของกลุ่มการค้าที่ทำงานอยู่รอบๆ ต่างก็พยักหน้าให้อย่างคุ้นเคย
               เพราะแคลอฮันมักจะไป ‘เดินเล่น’ ทุกสองสามวัน แม้จะต้องแบ่งเวลาที่แสนยุ่งไปก็ตาม
               “เดี๋ยวกลับมานะครับ”
               แคลอฮันกล่าวเบาๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการทำงานของผู้อื่น ก่อนจะเดินออกมาจากอาคารของกลุ่มการค้า แล้วขยับฝีเท้าอย่างรวดเร็ว
จุดหมายปลายทางก็คือสวนสาธารณะอันเงียบสงบที่อยู่กึ่งกลางระหว่างร้านอาหาร ‘คลื่นน้ำสีคราม’ กับกลุ่มการค้า
เดินมาจนกระทั่งลมหายใจเริ่มติดขัด เขาก็มองเห็นชาห์นที่ออกมารอตรงสถานที่นัดพบก่อนแล้ว
นางหลับตาเพลิดเพลินกับแสงแดดอย่างอารมณ์ดีระหว่างรอเขาอยู่
ใจของแคลอฮันพลันเต้นแรงเมื่อเห็นภาพที่แสนงดงามนั้น
“ข้าเชื่อค่ะ เชื่อว่าแคลอฮันจะสามารถทำงานนั้นได้เป็นอย่างดี”
ชาห์นเป็นคนใจดีและอ่อนโยน เพราะงั้นมันอาจจะเป็นแค่คำพูดให้กำลังใจที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษก็ได้
แต่อย่างน้อยคำพูดแต่ละคำเหล่านั้นก็เป็นเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับแคลอฮัน
               ตอนที่เริ่มทำงานช่วงแรกๆ ทุกครั้งที่เขาอยากยอมแพ้ เขาจะได้รับความกล้าอีกครั้งเมื่อนึกถึงรอยยิ้มของชาห์น
               ‘ถ้าเรากล้ากว่านี้อีกหน่อยละก็’
               แคลอฮันกำหมัดแน่น
               ถ้าวันที่เรามีที่ยืนในกลุ่มการค้าได้อย่างมั่นคงและผ่าเผยมาถึงละก็
               ‘ถึงตอนนั้น’
               จินตนาการที่เพียงแค่นึกถึงก็แทบจะทำให้หัวใจระเบิด ทำให้แคลอฮันหน้าแดงขึ้นมา
“โอ๊ะ! แคลอฮัน! ทางนี้ค่ะ!”
หลังจากเห็นเขายืนอย่างใจลอยอยู่หน้าทางเข้าสวนสาธารณะ ชาห์นก็โบกมือให้อย่างแรง
“ชาห์น”
แคลอฮันรีบเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ชาห์น
“วันนี้ก็ยุ่งอีกแล้วเหรอคะ”
นางถามด้วยน้ำเสียงที่สดใสพอๆ กับอากาศในช่วงต้นฤดูร้อน
“ใช่ครับ ยุ่งนิดหน่อยมาตั้งแต่เช้าเลย”
“เห็นบอกว่าเป็นกลุ่มการค้าที่ครอบครัวบริหารอยู่ใช่ไหมคะ ลองขอความช่วยเหลือหน่อยดีไหม”
ดวงตาของแคลอฮันพลันสั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดที่ชาห์นกล่าวอย่างเป็นกังวล
เขารู้สึกละอายใจที่ตนเองไม่ได้เปิดเผยเรื่องทุกอย่างแก่นาง
รู้ทั้งรู้ว่าควรบอกความจริงกับนาง ว่าเขาชื่อ ‘แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย’ และบิดาของเขาเป็นเจ้าเมืองของเขตแดนนี้ แต่ปากกลับไม่ยอมพูดออกไป
“ตอนนี้ก็มีเพื่อน…ของท่านพ่อคอยช่วยเหลืออยู่ครับ”
“ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วค่ะ ช่วงนี้อากาศก็ร้อนด้วย ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ”
“…ครับ ชาห์น”
ริมฝีปากที่ตอบกลับอย่างนุ่มนวลพลันสั่นระริกขึ้นมาด้วยความดีใจ
ทั้งที่ก็ไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย แต่เขาก็ยังชอบคำพูดแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของนาง
“แต่ข้าน่าจะยุ่งกับการเตรียมงานเฉลิมฉลองไปอีกสักพักเลยครับ”
“ข้าได้ยินว่าจะมีพิธีอภิเษกสมรสขององค์ชายรัชทายาทสินะคะ”
แคลอฮันพยักหน้า
องค์ชายรัชทายาทโยบาเนสกำลังจะอภิเษกสมรสกับราวีนี่จากตระกูลอังเกนัสในอีกไม่นานนี้
ด้วยเหตุนั้นเอง จักรพรรดิจึงประกาศให้ทั้งอาณาจักรหยุดยาวเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และมีรับสั่งให้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองหลวง
“พวกลูกค้าในร้านก็พูดถึงแต่เรื่องงานเฉลิมฉลองทั้งนั้นเลยค่ะ เห็นว่าจะจัดติดต่อกันสามวันเลยใช่ไหมคะ?”
“ใช่ครับ แต่พอถึงวันงานเฉลิมฉลองข้าก็น่าจะพอมีเวลาให้ได้หายใจอยู่บ้าง…”
แคลอฮันสังเกตท่าทีของชาห์นครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมา
“ถ้าชาห์นสะดวกละก็ ไปเดินเล่นงานเฉลิมฉลองกับข้าไหมครับ?”
“…ได้สิคะ ไปด้วยกัน…”
ขณะที่ชาห์นกำลังตอบตกลงด้วยใบหน้าแดงระเรื่อนั่นเอง
ร่างของใครบางคนที่กำลังเดินผ่านสวนสาธารณะก็พลันปรากฏเข้ามาในสายตาของแคลอฮัน
เป็นพนักงานของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียที่นั่งประชุมอยู่ในห้องเดียวกันจนถึงเมื่อครู่ก่อน
เป็นอย่างที่คิด
พนักงานคนนั้นกำลังมองมาทางแคลอฮันพลางเอียงคอสงสัย
“ชาห์น! ปะ แป๊บนึงนะครับ…”
แคลอฮันเอาเสื้อคลุมที่ตนเองสวมอยู่คลุมลงบนศีรษะของชาห์นอย่างเร่งรีบเพื่อซ่อนใบหน้าของนางเอาไว้
“พะ พอมีร่มเงาแล้วอากาศค่อนข้างเย็นเลยนะครับ”
“ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อนนะคะ…”
ชาห์นบ่นพึมพำ แต่แคลอฮันมัวแต่ยุ่งอยู่กับมองไปด้านหลังของเสื้อคลุม
โชคดีที่พนักงานคนนั้นเอียงคออีกครั้งก็เดินต่อไปตามทางของตัวเอง
ดูเหมือนเขาน่าจะคิดว่าตนเองแค่มองผิดไป
“เฮ้อ…”
แต่แล้วแคลอฮันที่หันหน้ากลับมาก็ต้องตัวแข็งทื่อไปทั้งอย่างนั้น
เพราะใบหน้าของชาห์นอยู่ตรงหน้าเขาพอดี
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		