เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 7
SPIN-OFF บทที่ 7
แม้แต่หน้าผากที่มักจะเผยออกมาครึ่งเดียวอยู่เสมอหลังจากขึ้นครองบัลลังก์ ในวันนี้ก็ยังถูกบดบังด้วยผมหน้าม้าตรงๆ โดยไม่แต่งทรงใดๆ
               บนร่างกายมีเพียงดาบเหล็กธรรมดาๆ ที่ไร้ซึ่งของประดับใดๆ ด้ามหนึ่งเหน็บอยู่บริเวณเอว
               แต่ถึงอย่างนั้น
               “ว้าว เฟเรส เจ้านี่มัน”
               ข้าก็ยังรู้สึกตกใจทุกครั้งที่เห็นหมอนี่นับตั้งแต่เช้าแล้ว
               “แม้แต่เสื้อผ้าเรียบๆ ก็ยังบดบังหน้าตาที่แสนงดงามของเจ้าไม่ได้เลยนะเนี่ย?”
               “…เทีย” ติ่งหูของเฟเรสพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อได้ยินคำชมของข้า
               แต่ข้าไม่อายหรอก
               ก็แค่พูดเรื่องจริงเองนะ ทำไมล่ะ
               ดูดีจนข้าถึงกับลังเลว่าจะปลอมตัวรอดหรือไม่
               แม้จะเลือกหยิบแต่ชุดที่ธรรมดาที่สุดในบรรดาเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาสวม แต่ชุดที่เฟเรสใส่ก็ยังดูราคาแพงมากอย่างน่าประหลาดอยู่ดี
               “สมแล้วละ คู่หมั้นของข้า”
               “อะแฮ่ม”
               เขาที่เห็นรอยยิ้มภาคภูมิใจของข้า หันศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อยแล้วกระแอมไอออกมาในที่สุด
               สีแดงลามไปถึงลำคอที่เผยออกมาอย่างหมดจด
               “…ไปคนเดียวยังดีกว่าอีกมั้ง”
               “เมโลน” เมื่อเห็นเมโลนมองดูพวกเราแล้วพึมพำอะไรบางอย่าง คิลลีวูก็กระแทกสีข้างน้องชายทันที
“ข้าก็คิดเหมือนกัน” แม้จะทำอย่างนั้น ก็ยังไม่ลืมพูดสนับสนุน
               “ทั้งสองคนไม่พอใจอะไรขนาดนั้น?”
               ได้ยินคำถามของข้า สองแฝดที่ยืนตีคู่จ้องเขม็งไปทางเฟเรสด้วยดวงตาเฉียบคมเหมือนกันเปี๊ยบก็ตอบกลับว่า
               “ทำไมจู่ๆ ก็รีบออกเดินทางก่อนตั้งหนึ่งอาทิตย์ล่ะ”
               คิลลีวูเอ่ยอย่างไม่พอใจ
               “ก็บอกไปแล้วไง ข้าจะให้ชานตั้น เซอเชาว์ได้ลองโดนสักหมัด ดังนั้นจึงมีที่ที่ต้องแวะไปก่อน”
               “ถึงกับต้องปลอมตัวเพื่อไม่ให้ใครรู้เลยเหรอ?”
               “อืม นอกจากคนของข้าก็ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น แล้วก็”
               ข้ายกกำปั้นขึ้นมาชกไหล่ของเมโลนหนึ่งทีแล้วกล่าวว่า
               “เดิมทีการถูกชกตอนทีเผลอก็เจ็บที่สุดแล้วนี่?”
               “มันก็จริง…” เมโลนหลุบตามองหัวไหล่ที่ถูกข้าตีอย่างไม่เจ็บครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ
               “ถ้าคนที่คอยอารักขาเจ้าอย่างพวกข้าหายไป ชานตั้น เซอเชาว์ก็จะสงสัยได้นี่นะ”
               “ใช่แล้ว หมีน่ะเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าที่คิดนะ”
               คราวนี้ข้าถึงได้โดนหมัดหนึ่งยังไงล่ะ ชิ
               ข้าย้อนนึกถึงท่าเรือที่ทามัลพลางหรี่ตาลง
               ยิ่งไปกว่านั้น กระทั่งกลุ่มการค้าของข้ายังถูกสั่งให้ตรวจค้นอย่างละเอียดเพื่อชะลอความเร็วให้ได้มากที่สุด ดังนั้นหากข้าเปิดเผยตัวตนในการออกเดินทางแยกไป ก็ไม่รู้เลยว่าการเดินทางของข้าจะล่าช้าไปมากแค่ไหน
               เพราะชานตั้น เซอเชาว์จะต้องจับตามองและพยายามหาสาเหตุว่าทำไมข้าถึงไม่ออกเดินทางไปพร้อมกับครอบครัวแน่
               “ถ้าทั้งสองคนอยู่ที่คฤหาสน์ อีกทั้งยังมีแคทเธอรีนกับคาอิลรัสอยู่ด้วย ชานตั้น เซอเชาว์คงจะไม่สงสัยมากนัก”
               คนที่อยู่กับเฟเรสเสมอไม่แพ้สองแฝดที่มักไปไหนมาไหนกับข้าเวลาที่ออกไปนอกคฤหาสน์ ก็คือแคทเธอรีนกับคาอิลรัส
               ภายนอกรับรู้กันว่าวันนี้เฟเรสมาเยือนคฤหาสน์ลอมบาร์เดียและจะพักผ่อนอยู่กับข้าเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นจึงจะเริ่มเดินทางไปยังตะวันออกร่วมกับคนในลอมบาร์เดีย
               แต่ในช่วงระหว่างนี้ ข้ากับเฟเรสคงอยู่บนเรือสำราญที่มุ่งหน้าไปตะวันออกแล้ว
               ขณะที่กำลังนึกถึงกำหนดการในอนาคตอยู่นั่นเอง
               “เทีย เตรียมพร้อมเรียบร้อยหรือยัง?”
               “บอกว่าไม่ต้องออกมาส่งไงคะพ่อ”
               “ลูกสาวพ่อโตจนออกไปเที่ยวแบบนี้ได้แล้ว พ่อต้องออกมาส่งสิ”
               ท่านพ่อโอบไหล่ข้าเข้าไปกอดอย่างรักใคร่พลางกล่าว
               แม้ใบหน้ากำลังยิ้มอยู่ แต่พอเห็นรอยยิ้มที่ไร้เรี่ยวแรงนั้น ดูเหมือนพ่อเองก็เป็นห่วงมากเหมือนกัน
               หลังจากเอาแต่ตบไหล่ข้าโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง พ่อก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักอึ้งเล็กน้อย
               “ขอบใจนะเทีย”
               คงจะสัมผัสได้ว่าเหตุผลที่ข้าแอบเดินทางไปโดยไม่ให้ใครรู้เกี่ยวข้องกับเชซายูละสิ
               ข้าจงใจหัวเราะคิกคักออกมาเพราะเข้าใจความรู้สึกที่ทั้งรู้สึกผิดแต่ก็ขอบคุณของพ่อ
               “อะไรกันคะ การปกป้องลอมบาร์เดียเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำในฐานะเจ้าตระกูลอยู่แล้วนี่นา”
               แม้จะกล่าวว่าเป็นเขตแดนที่แยกตัวเป็นอิสระจากลอมบาร์เดีย แต่เชซายูและพลเมืองของที่นั่นนับเป็นตัวตนที่ล้ำค่าอย่างยิ่งของพ่อ
               แค่นั้นก็เพียงพอจะเป็นเหตุผลให้ข้าลงมือเพื่อปกป้องเขตแดนนั้น
               “ตอนนี้ต้องตัดกำลังของเจ้าตระกูลเซอเชาว์ให้จริงจัง ในอนาคตจะได้สบายขึ้นด้วยค่ะ”
               วิธีการของจักรพรรดินีราวินีและชานตั้น เซอเชาว์กระตุ้นความอยากชนะในตัวข้าได้อย่างดี
               “ถึงเวลาเดินทางแล้วละเทีย” เฟเรสเดินเข้ามาแล้วกล่าวขึ้นเงียบๆ
               ข้ากอดพ่อแน่นๆ เป็นครั้งสุดท้าย โบกมือให้สองแฝด ก่อนจะขึ้นไปบนรถม้า
               เฟเรสที่ฟังคำพูดบางอย่างจากแคทเธอรีนกับคาอิลรัสจบก็ขึ้นมานั่งข้างข้าเช่นกัน
               ทันทีที่สารถีซึ่งเลือกจากคนปากหนักเป็นพิเศษปิดประตู รถม้าก็ค่อยๆ ออกเดินทาง
               “ตื่นเต้นนิดหน่อยนะเนี่ย”
               ขณะที่กล่าวเช่นนั้นพลางจัดชายเสื้อด้วยความตื่นเต้นน้อยๆ อยู่นั่นเอง ข้าที่เหลือบมองไปด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจ พลันมองเห็นท่านปู่ยืนเอามือไพล่หลังมองรถม้าที่กำลังออกเดินทางอยู่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป
               แม้จะไม่ใช่สีหน้าที่เผยความกังวลออกมาอย่างเช่นพ่อ
               แต่ท่าทางที่กำลังยืนจ้องมาอย่างใจลอยนั้น กลับทิ่มแทงเข้ามาในตาอย่างน่าประหลาด
               ข้าจงใจเปิดหน้าต่างรถม้าออก และชะเง้อศีรษะออกไป
               ทันใดนั้น ดวงตาของท่านปู่ก็พลันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
               “เดี๋ยวข้ากลับมานะคะ ท่านปู่!”
               แม้จะไม่ได้ตะโกนออกไปเสียงดังมากนัก แต่ก็คงเพียงพอให้ได้ยิน
               “ไว้เจอกันที่ภาคตะวันออกนะคะ!”
               รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าประหลาดใจของท่านปู่เป็นหลักฐาน
               ข้ายิ้มพลางโบกมือให้ จวบจนภาพของท่านปู่อยู่ไกลจนลับสายตา
***
               ไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไรแล้ว ทิวทัศน์อันคุ้นเคยลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
               “อ๊ะ…ที่นี่ เป็นจุดที่พาลาลาเน่มาส่งให้อาบีน็อกซ์นี่นา”
               เป็นเพราะตอนนั้นมาช่วงกลางดึกจึงไร้วี่แววของผู้คน ทว่ายามเช้าเช่นตอนนี้ กลับปรากฏภาพที่รถม้าวิ่งสัญจรไปมาอย่างคึกคักบนถนนกว้างที่ถูกลาดยางเป็นอย่างดี
               “จำได้ไหม เฟเรส?”
               ได้ยินคำถามของข้า เขาก็ผงกศีรษะเบาๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นเส้นโค้ง
               “วันนี้เจ้าดูอารมณ์ดีจังนะ”
“ดีสิ” เฟเรสยอมรับอย่างซื่อตรง “ไม่นึกว่าจะมีวันที่ได้ออกมาท่องเที่ยวกันสองคนแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น”
               ปลายนิ้วของเฟเรสปัดผ่านเส้นผมของข้าที่มัดกันไว้หลวมๆ
               “เจ้ากล่าวว่าต้องการข้านี่นา”
“อ๊ะ…อย่างนั้นเหรอ”
“เพราะงั้นจึงอารมณ์ดียิ่ง” น้ำเสียงของเฟเรสที่กล่าวเช่นนั้นฟังดูเกียจคร้านอยู่บ้าง
               ท่าทางที่นั่งเอนตัวพิงพนักพิงหลังดูคล้ายสัตว์ร้ายตระกูลแมวที่กินจนอิ่มท้อง
               “เป็นเพราะข้าไม่อาจเคลื่อนไหวเพียงลำพังได้จริงๆ อีกอย่างนะเฟเรส เจ้าเคยบอกว่าสมัยเรียนอคาเดมี่ก็มักจะออกไปท่องเที่ยวกับสหายอยู่บ่อยครั้งนี่นา”
               “ใช่แล้วละ ภาคตะวันออกข้าก็เคยไป ถึงจะเดินทางทางบก ไม่ใช่นั่งเรือไปเช่นคราวนี้ก็เถอะ”
               “จะว่าไปก็เท่ากับว่าเจ้าเคยไปเหนือใต้ออกตกของอาณาจักรมาหมดแล้วสิ”
               “อือ เมื่อไหร่ที่ปิดภาคเรียนน่ะนะ…ข้ายุ่งนี่”
               ได้ยินดังนั้น ข้าก็หวนนึกถึงร่างกายที่เต็มไปด้วยแผลเป็นของเฟเรสที่เคยเห็นโดยบังเอิญ
               ข้าไม่เคยเอ่ยถามเฟเรสเกี่ยวกับรายละเอียดและช่วงเวลาในอคาเดมี่
               การท่องเที่ยวที่เขาไปทุกๆ ปิดภาคเรียนก็เช่นเดียวกัน ว่าขณะที่เดินทางไกลถึงเพียงนั้น เขาได้เคลื่อนไหวเพื่อสิ่งใดไปบ้าง
               ทว่าก็มีบางสิ่งที่ข้ารู้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ
               “ลำบากแล้วนะ” ข้ากล่าวพลางวางมือลงบนหลังมือของเฟเรสเบาๆ
               ทันใดนั้น นิ้วมือของเขาก็ค่อยๆ สอดเข้ามา ก่อนเปลี่ยนเป็นกุมมือข้าไว้อย่างมั่นคง
               “ดีที่ตอนนั้นข้าสะสมประสบการณ์เอาไว้ จึงมาช่วยเหลือเจ้าเช่นนี้ได้”
               สายลมที่พัดเข้ามาผ่านหน้าต่างที่ข้าเปิดทิ้งไว้ พาให้เรือนผมดำขลับของเฟเรสพลิ้วไหว
สายตาอบอุ่นที่มองมาทางข้า และปกเสื้อที่พลิ้วเบาๆ มีพลังบางอย่างที่ทำให้ข้าต้องมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย
‘อ่า อยากแกล้งจัง’
               ความปรารถนาเช่นนั้นพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
               อยากเห็นใบหน้าที่อ่อนโยนและเบิกบานเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ อยากจะยืนยันว่าท่าทางทำตัวไม่ถูกนั้นบางทีอาจมีแค่ข้าคนเดียวในโลกที่เขาแสดงให้เห็น
               เป็นความรู้สึกที่ชั่วร้ายเล็กน้อย
               แล้วสิ่งที่เหมาะสมพอดีก็ผุดขึ้นมาในสมอง
               ข้าหยิบของที่ดูเหมือนสมุดพกออกมาสองเล่มจากกระเป๋าถือที่วางอยู่มุมหนึ่งของรถม้า
               “นี่คือบัตรประจำตัวที่พวกเราจะใช้ระหว่างเดินทาง”
               ถึงยังไงก็คงไม่มีทางใช้ชื่อฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียและเฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่หลังจากพยายามปลอมตัวด้วยการสวมเสื้อผ้าสำเร็จรูปหรอกนะ
               มันเป็นบัตรประจำตัวปลอมที่ขอให้ไวโอเล็ตเตรียมให้ พร้อมกับของอีกหลายอย่างที่ใช้ในการเดินทางในคราวนี้
               “อ่ะ ดูสิ นี่คือชื่อของพวกเรา”
               “เชเซอร์ โกลอา, ลาริต้า โกลอา”
“ที่เขียนไว้ด้านใต้นั้นล่ะ?”
“…สามีภรรยา”
               เป็นไปตามคาด
               ใบหน้าอันหล่อเหลาค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้น
               ถ้าพวกขุนนางที่แค่สายตาของเฟเรสเหลือบผ่านครั้งเดียวก็ตัวสั่นได้เห็นภาพนี้เข้าคงเป็นลมแน่
               “ไม่มีการปลอมตัวแบบไหนที่เหมาะกับคู่หนุ่มสาวที่ออกไปเที่ยวกันสองคนเท่าแบบนี้แล้ว”
               ข้ากล่าวพลางยกไหล่หนึ่งทีราวกับไม่มีทางเลือก
               “เพราะงั้นนะ เฟเรส”
               “…อือ”
               ข้าโน้มตัวเข้าหาเฟเรสที่ยังไม่ได้สติกลับมาหลังจากได้ยินคำว่า ‘สามีภรรยา’
               “เจ้าชอบแบบไหนเหรอ?”
               รู้สึกได้ว่าเขากำลังกลั้นหายใจทันทีที่ข้าเข้าไปใกล้ขึ้น
               “ลองคิดดูสิ เราเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกันนะ ปกติพวกคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันก็มีคำเรียกกันทั้งนั้นนี่?”
               นัยน์ตาสีแดงที่ถูกจ้องอย่างใกล้ชิดกำลังสั่นเทาราวกับเกิดแผ่นดินไหว
               ข้ากดความรู้สึกที่อยากจะระเบิดหัวเราะออกมาเดี๋ยวนั้นลง แล้วเอ่ยกระซิบด้วยเสียงมีเลศนัยเล็กน้อย
“ที่รัก?”
               อึก
               เสียงเฟเรสกลืนน้ำลายดังจนกระทั่งหูข้าก็ยังได้ยิน
               ข้าเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ตัวเอง?”
ชั่วขณะนั้น ใบหน้าของเฟเรสก็แดงก่ำขึ้นมาราวกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ทะลักออกมานอกแก้ว
               จากนั้นเขาก็ค้อมร่างที่ใหญ่มหึมานั้นลง แล้วใช้สองมือปิดหน้าตนเองอย่างเชื่องช้า
“…เทีย”
               เฟเรสเอ่ยเรียกข้าอย่างกลัดกลุ้มผ่านนิ้วมือ
               “เป็นอะไรไป? เจ้าชอบแบบไหนล่ะ? เราต้องเลือกสักอย่างมาใช้เรียกไม่ใช่หรือไง?”
               ข้าตีหน้าซื่อราวกับไม่รู้อะไรทั้งสิ้น พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น
               “ที่รัก? ตัวเอง? สองอย่างนี้เจ้าชอบแบบไหน?”
“อ่า….”
               เฟเรสเบี่ยงตัวไปด้านข้างและพยายามถอยห่างจากข้าอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป
               ไม่มีประโยชน์หรอก
               ข้าขยับเล็กน้อย และเข้าไปนั่งติดกับเขา
               “เรียกตัวเองดูจะน่าอายไปหน่อย โอเค เอาเป็นที่รักแล้วกัน”
               คิดจะหนีไปไหน
               นัยน์ตาสีแดงลอบมองข้าผ่านช่องนิ้วมือ
               ข้าจ้องดวงตาคู่นั้นตรงๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
               “ตลอดการเดินทางก็ฝากด้วยนะ ที่รัก”
               ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง
               หลายวินาทีนั้น เขาตัวแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหินไปแล้ว
               และชั่วขณะต่อมา เสียงยอมจำนนก็ดังลอดผ่านมือใหญ่ที่วางพาดและโน้มอยู่บนหัวเข่า
               “…ไว้ชีวิตข้าเถอะ เทีย”
               อ่า เพราะอย่างนี้ข้าถึงได้ชอบแกล้งเจ้านักไง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
               เสียงหัวเราะของข้าที่กุมท้องหัวเราะดังลั่นไปทั่วรถม้าที่วิ่งไปอย่างราบรื่น
***
               เมื่อกี้ไม่น่าหัวเราะถึงขนาดนั้นเลย
               ข้าจ้องภาพตรงหน้าอย่างมึนงง
อ่า ใช่แล้ว
               พวกเราเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกันนี่นะ
               แม้จะกะพริบตาอีกหลายครั้งก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
               ข้าค่อยๆ หันหลังกลับ โดยที่มือข้างหนึ่งยังไม่อาจปล่อยออกจากที่จับประตูได้
               จากนั้นก็เปิดปากขึ้นอย่างยากลำบาก
               “เตียง…มีหลังเดียวแฮะ?”
               แววตาของเฟเรสที่ยืนกอดอกอยู่บนทางเดินที่มืดสนิทเต็มไปด้วยแววยิ้มจางๆ
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		