novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 เว็บสล็อต xoslotz ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 311 ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ

  1. Home
  2. เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]
  3. บทที่ 311 ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ
Prev
Next

บทที่ 311 ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ

เสียงของบุรุษแปลกหน้าดังขึ้นนอกรั้วไม้ไผ่ว่า “อายุเพียงสิบสี่สิบห้า เจ้ากลับอำมหิตถึงเพียงนี้ นับว่าเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ”

มู่ซินเยว่ชะงักกึก

“ท่านเป็นใคร?”

เด็กสาวชักกระบี่และหันไปยังทิศทางที่มาของเสียงพูด

ใครบางคนทิ้งตัวลงมายืนอยู่ตรงหน้า

เขาสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาเท่านั้น พลังลมปราณในตัวมู่ซินเยว่ก็ถูกปิดผนึก มิหนำซ้ำ มู่ซินเยว่ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกด้วย

เด็กสาวทำได้เพียงกลอกตามอง หนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ

จบแล้วสินะ

บุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางในขณะนี้สวมใส่ชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่มือปราบ

นางคงถูกจับกุมตัวในข้อหาฆาตกรรมบิดามารดาของตนเอง

ทันใดนั้น มู่ซินเยว่รู้สึกปวดร้าวไปทั้งดวงใจ หมดแรงจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาได้อีก

หากถูกจับกุมด้วยข้อหานั้น ว่าด้วยตามกฎหมายของจักรวรรดิ นางไม่มีทางรอดโทษประหารเด็ดขาด

“ไม่ต้องตกใจไปหรอก สาวน้อย”

มือปราบหนุ่มพูดน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับกุมตัวเจ้า และจะไม่ส่งเจ้าไปดำเนินคดีด้วยเช่นกัน แต่มันเป็นตรงกันข้ามต่างหาก ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เรามาตกลงกันดีหรือไม่?”

มู่ซินเยว่มองบุรุษหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า

เขาน่าจะมีอายุประมาณ 40 ปี

ร่างกายกำยำ ผิวพรรณและใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย แต่ขนคิ้วเป็นสีขาว จมูกงองุ้มดั่งตะขอ มีลักษณะเหมือนสัตว์ร้ายที่หากินในความมืด เพียงเฝ้ามองก็รู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากดวงตาคู่นั้น

“หากท่านมีความคิดสกปรกเหล่านั้น จงฆ่าข้าทิ้งเสียดีกว่า ข้าไม่มีทางตกลงกับท่านเด็ดขาด” เมื่อสามารถสงบสติอารมณ์ได้แล้ว มู่ซินเยว่ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

หึหึ บุรุษก็เป็นเช่นนี้ทั้งโลก

ใครจะรู้เลยว่าชายฉกรรจ์คิ้วขาวกลับตอบว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่สนใจเรือนร่างของเจ้าหรอก บอกตามตรง ข้าไม่เคยสนใจสตรีเพศด้วยซ้ำ และหากข้อมูลที่ข้าได้รับรู้มานั้นถูกต้อง เจ้าเคยเป็นคนรักของหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่? ข้าอยากจะให้เจ้าให้ปากคำเอาผิดเขาสักหน่อย”

มู่ซินเยว่มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา

เรื่องราวที่อีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือคือเรื่องนี้เองหรือ?

ชายฉกรรจ์คิ้วขาวกล่าวต่อ “ตราบใดที่เจ้ายินดีร่วมมือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้ากลบเกลื่อนหลักฐานเอง แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเปลี่ยนใบหน้าให้เจ้าได้ แต่ข้าก็รับปากเลยว่าชื่อของเจ้าจะไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนการสืบสวนคดีฆาตกรรมพ่อแม่เจ้าแน่นอน”

“ท่านอยากจะให้ข้าให้ร้ายหลินเป่ยเฉินว่าอย่างไร?” มู่ซินเยว่ถามด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง

ชายฉกรรจ์คิ้วขาวอธิบาย “วันพรุ่งนี้ที่พิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน หลินเป่ยเฉินจะถูกสอบสวนเรื่องการเป็นสาวกปีศาจ”

มู่ซินเยว่ขมวดคิ้ว “แล้วท่านเป็นใครกันแน่?”

ชายฉกรรจ์คิ้วขาวยิ้มมุมปาก “รู้มากไปมันก็ไม่ดีต่อตัวเจ้าเอง… แต่ในเมื่อเจ้าถามออกมาแล้ว ไม่ตอบก็คงไม่ได้ ข้าเป็นเจ้าหน้าที่มือปราบระดับเหรียญเงิน มีนามว่าเหอถีเต่า”

“ท่านมาช่วยข้าทำไม?” มู่ซินเยว่ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี “ต่อให้ข้าให้ปากคำว่าร้ายหลินเป่ยเฉิน แต่ก็ยังขาดหลักฐานสนับสนุนอยู่ดี”

เหอถีเต่าตอบว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานอันใดทั้งนั้น และเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ร้ายเขาด้วย ขอแค่เจ้ารายงานถึงความเปลี่ยนแปลงในระยะหลังของหลินเป่ยเฉินให้ทุกคนได้รับทราบก็พอแล้ว เมื่อนำข้อมูลส่วนต่างๆ มาประกอบรวมกัน เดี๋ยวผู้คนก็จะนำเรื่องราวไปปะติดปะต่อกันเอง”

มู่ซินเยว่ไม่พูดคำใด

นางไม่สนใจอีกแล้วว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือถูกใส่ความ

มู่ซินเยว่ไม่สนใจอีกแล้วหากจะต้องหักหลังหลินเป่ยเฉินเป็นครั้งที่สอง

เพราะบุรุษทุกคนในโลกนี้สมควรตายทั้งหมด

สิ่งที่นางควรสนใจมากที่สุดคือผลประโยชน์สำหรับตนเองมากกว่า

“ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาอย่างแช่มช้า

“ฮ่าฮ่า เจ้ามีความกล้าหาญดี ข้าชอบนัก” เจ้าหน้าที่มือปราบคิ้วขาวมองหน้ามู่ซินเยว่ด้วยแววตาชื่นชม

“ถ้าอย่างนั้นก็โปรดรับฟังให้ดี” มู่ซินเยว่ว่า “ข้ารู้ดีว่าปีนี้กฎการรับลูกศิษย์คนใหม่ในสถาบันต่างๆ เปลี่ยนไปแล้ว สถานศึกษากระบี่จำนวนมากต้องการตัวมือกระบี่รุ่นเยาว์จากเมืองหยุนเมิ่ง ข้าต้องการเข้าศึกษาต่อในสถาบันกระบี่ชื่อดังหนึ่งในห้าของจักรวรรดิ ถ้าไม่ได้ตามนั้น ข้าก็จะไม่ร่วมมือกับท่านเด็ดขาด”

“น่าสนใจดีนี่” เหอถีเต่าตบมือด้วยความพึงพอใจ “นับว่าเจ้าเปิดหูเปิดตาข้าอย่างแท้จริง นี่คือเงื่อนไขที่ข้าไม่อาจปฏิเสธได้แม้แต่น้อย เด็กสาวผู้ทะเยอทะยานกับข้อเสนอที่เต็มไปด้วยความฝัน อีกไม่นานต่อจากนี้ มีแต่ผู้ที่ทะเยอทะยานเท่านั้นถึงจะไปได้ไกลมากที่สุด”

“ตกลงว่าท่านยินยอมหรือไม่?”

จะอย่างไรมู่ซินเยว่ก็ยังคงเป็นเด็กสาวใจร้อนผู้หนึ่ง นางจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างต้องการคำตอบ “ท่านสามารถทำเรื่องเข้าศึกษาในสถาบันใหม่ให้ข้าได้หรือไม่?”

เจ้าหน้าที่คิ้วขาวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ย่อมได้อยู่แล้ว”

…

วันต่อมา

พายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อคืนนี้ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสง ฝนก็หยุดตก และเมฆดำบนฟ้าก็จางหายไป

อากาศสดชื่นบริสุทธิ์

หลินเป่ยเฉินตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เขาแต่งเนื้อแต่งตัวออกมาจากตำหนักไม้ไผ่ ก็ได้เห็นภาพที่เจ้าหนูอากวงกำลังเล่นอยู่กับเจ้าหมาป่าน้ำแข็งผู้ตั้งครรภ์ด้วยความสนุกสนาน

“ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือเจ้าน่ะ?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาทันที

พลัน เจ้าหนูอากวงตัวแข็งทื่อ ราวกับว่ามันได้ยินถ้อยคำที่น่ากลัวที่สุดในโลก เนื้อที่มันนำมาหลอกล่อหมาป่าน้ำแข็งร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้า ก่อนที่มันจะส่งเสียงกรีดร้องและวิ่งหายกลับเข้าไปในตัวบ้านพัก

“เดี๋ยวข้ารับรางวัลเสร็จจะกลับมาตรวจการบ้านเจ้า”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายและเดินออกมาจากอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่

ได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าของราชันย์หนูอสูรดังลอยมาตามสายลมจากด้านหลัง

บัดนี้ ลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามจำนวนมากมายืนรวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูสถาบัน

เมื่อหลินเป่ยเฉินปรากฏตัว ฝูงชนก็ส่งเสียงต้อนรับเขาราวกับวีรบุรุษ

หลินเป่ยเฉินต้องเดินแหวกผ่านกลุ่มผู้คนมากมาย เพื่อไปขึ้นรถม้าและเดินทางไปยังวิหารเทพกระบี่

พิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่งจะจัดขึ้นที่วิหารเทพกระบี่ นอกจากจะมีการถ่ายทอดสดแล้ว ก็ยังมีบรรดาคนใหญ่คนโตประจำเมืองมารวมตัวกันอยู่มากมาย รวมถึงองค์ชายเจ็ดก็จะมาร่วมพิธีด้วยเช่นกัน

รถม้าเคลื่อนตัวออกไปสู่วิหารเทพกระบี่

มีเสียงโห่ร้องให้กำลังใจจากฝูงชนดังไล่หลัง

นอกจากคนกลุ่มนั้นจะเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามแล้ว บางส่วนก็ยังเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ทุกคนต่างตะโกนชื่อของหลินเป่ยเฉินออกมาเหมือนกำลังทำพิธีสรรเสริญเทพเจ้า

เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความคึกคัก

เดิมทีการโดยสารรถม้าไปยังวิหารเทพกระบี่ใช้เวลาเพียงก้านธูปเดียวเท่านั้น แต่ด้วยความที่ถนนหนทางมีผู้คนออกมารวมตัวกันอยู่มากมาย จึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปเกือบครึ่งชั่วยาม

ณ ลานหน้าวิหารในขณะนี้มีการก่อสร้างเวทีมอบรางวัล รวมถึงมีการจัดตั้งที่นั่งแบ่งเป็นเขตแดนสำหรับแขกผู้เข้าร่วมงานต่างระดับ

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการจัดงานในวันนี้

บรรดาคนใหญ่คนโตประจำเมืองล้วนเดินทางมาถึงแล้ว

แต่เมื่อรถม้าของหลินเป่ยเฉินเดินทางมาถึง บรรยากาศภายในงานก็เปลี่ยนไป

ได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องของผู้คนดังไล่มาเป็นคลื่นสึนามิ

หลี่สงฟู่ผู้เป็นเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองรับหน้าที่พิธีกรประจำงาน เขาเชิญหลินเป่ยเฉินขึ้นมานั่งยังพื้นที่พิเศษบนเวทีที่ถูกจัดสร้างขึ้นมาชั่วคราว และหากพิธีมอบรางวัลเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินก็จะต้องพบกับความตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้

สายตาแห่งความอิจฉาริษยาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียว

“ขอแสดงความยินดีด้วยนะ หลินเป่ยเฉิน ในที่สุดเจ้าก็เป็นผู้ชนะจริงๆ”

องค์ชายเจ็ดก็นั่งอยู่บนเวทีเช่นกัน เขาหันมายิ้มให้หลินเป่ยเฉินอย่างเป็นมิตร

“แหม ไม่ได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่วัน องค์ชายหล่อเหลาขึ้นหลายเท่าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบกลับไป “แต่ในเมื่อไหนๆ พระองค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว การเดิมพันชีวิตระหว่างหม่อมฉันกับเฉาพั่วเถียน ก็ควรจะต้องจบลงในวันนี้ด้วยเช่นกัน”

องค์ชายเจ็ดยังคงยิ้มในขณะที่ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะเป็นสักขีพยานให้แก่เจ้า วันนี้เรื่องราวระหว่างเจ้ากับเฉาพั่วเถียนจะต้องดำเนินมาถึงจุดจบแน่นอน !”