เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2873: ภัยคุกคามจาการสูญพันธุ์ (3)
ตอนที่ 2873: ภัยคุกคามจาการสูญพันธุ์ (3)
เห็นได้ชัดว่าเจี้ยนเฉินเข้าใจสิ่งที่เผ่าดาวทมิฬพยายามทำ แต่เขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความก้าวหน้าของเขาในวิถีกระบี่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นในทุก ๆ ด้าน เขามีวิวัฒนาการอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะยังคงเป็นขั้นอสงไขย แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นเทียบเท่ากับขั้นบรรพกาลอย่างแท้จริง
แม้ว่าโลกขนาดใหญ่ทั้งสองโลกที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ นั่นก็คือ โลกอมตะและโลกเซียน แต่ขั้นบรรพกาลก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับบนสุด แม้แต่องค์กรระดับสูงที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของที่ราบรกร้างด้วยเพราะขั้นอัครสูงสุด ส่วนขั้นบรรพกาลมักจะเป็นคนที่มีสถานะเทียบท่ากับผู้อาวุโสใหญ่ ซึ่งมีมีทั้งสถานะและอำนาจที่มากมาย
ตอนนี้เจี้ยนเฉินได้กลายเป็นหนึ่งในนั้น !
ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเผ่าดาวทมิฬ การจับผู้เชี่ยวชาญที่เทียบเท่าขั้นบรรพกาลจะยากเพียงใด ?
เจี้ยนเฉินเหวี่ยงหมัดของเขาและพลังบรรพกาลก็พุ่งผ่านร่างกายของเขาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของร่างบรรพกาลด้วยการชกง่าย ๆ เขาทำให้มิติแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่จะปะทะกับผนึกให้พินาศ
ตูม !
ตามมาด้วยเสียงที่อึกทึก พลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวหลั่งไหลออกมารอบ ๆ เมืองหลวงที่ได้รับการซ่อมแซมเมื่อไม่นานนี้ก็กลายเป็นซากเมืองอีกครั้ง ในเวลาเดียวค่ายกลรอบ ๆ เมืองหลวงก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่ทำให้พลังงานของมันหมดลงอย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุดสิ่งนี้เทียบเท่ากับการปะทะกันระหว่างขั้นบรรพกาล นี่เป็นระดับที่แตกต่างกันไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับตอนที่เจี้ยนเฉินขัดขวางพิธีใหญ่
เจี้ยนเฉินได้ปัดผนึกของจักรพรรดิดาวทมิฬออกไป ผนึกก็หมองลงและพลังปราณที่มากมายที่รายล้อมตัวของมันก็กระจายออกไป
พลังที่อยู่เบื้องหลังหมัดของเจี้ยนเฉินสามารถที่จะจัดการกับวัตถุเทพขั้นกลางของจักรพรรดิดาวทมิฬได้อย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าวัตถุเทพขั้นกลางนั้นอ่อนแอ อย่างไรก็ตามวัตถุเทพขั้นกลางสามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่ในมือของขั้นบรรพกาล ดังนั้นมันจึงไม่อาจใช้พลังได้อย่างเต็มที่เมื่อมันอยู่ในมือของจักรพรรดิดาวทมิฬ
ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุเทพขั้นกลางไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ มันเป็นวัตถุเทพที่ได้รับความเสียหาย ดังนั้นมันอาจจะลดลงอีก
จักรพรรดิดาวทมิฬนั้นแข็งแกร่ง เพียงโบกมือของเขา โล่รูปสามเหลี่ยมกลายเป็นริ้วแสงและพุ่งออกไปโจมตีเจี้ยนเฉินด้วยความเร็วดุจสายฟ้าราวกับใบมีดบาง ๆ
ในเวลาเดียวกันจักรพรรดิดาวทมิฬก็ก้าวและปรากฏตัวต่อหน้าเจี้ยนเฉินทันที เมื่อพลังปราณของพวกเขาเพิ่มถึงขีดสุด ร่างขนาดใหญ่ที่พร่ามัวพร้อมกับเงื้อกำปั้นต่อยอยู่ด้านหลังของจักรพรรดิดาวทมิฬ ก่อนที่ร่างนั้นจะซ้อนทับกับตัวของจักรพรรดิดาวทมิฬที่เขาได้เร่งพลังจนถึงขีดสุดและต่อยใส่เจี้ยนเฉิน
นี่ไม่ใช่ทักษะระดับเทพ แต่เป็นทักษะลับที่ทรงพลัง เมื่อจักรพรรดิดาวทมิฬชกออกไป พลังปราณที่อยู่รอบ ๆ ก็ถูกดึงออกมาอย่างดุเดือด ทำให้พลังที่อยู่ด้านหลังของเขาเพิ่มสูงขึ้น
สายตาของเจี้ยนเฉินนั้นมองอย่างเฉียบคมและใบหน้าของเขาก็เยือกเย็น ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาและควบพลังบรรพกาลไว้ในมือขวาของเขาก่อนที่จะยื่นมือออกไปรับ พร้อมกับเสียงดังจากการปะทะกันของพลังปราณขณะที่เขาจับโล่สามเปลี่ยมคล้ายใบมีดไว้ในมือแน่นอน
ในเวลาเดียวกันเขาก็สร้างกระบี่ในมือขวา ทันใดนั้นปราณกระบี่ที่บ้าคลั่งก็เปล่งประกายจนยากจะมองเห็นจากการควบแน่นปะทะเข้ากับจักรพรรดิดาวทมิฬ
ตูม !
เกิดเสียงดังกึกก้องจากการปะทะในครั้งนี้ มันรุนแรงกว่าการปะทะก่อนหน้านี้เสียอีก ค่ายกลทั้งหมดที่ห่อหุ้มสถานที่นั่นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้แต่ศาลาเทพทั้งสิบที่ลอยอยู่บนอากาศก็สั่นไหวอย่างแรง
หลังจากการโจมตี จักรพรรดิดาวทมิฬก็กระเด็นถอยออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องกระเด็นถอยออกมาจากการปะทะกับเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินก็ชะงักและถอยหลังไป 3 ก้าว การโจมตีของจักรพรรดิดาวทมิฬก็เทียบเท่ากับขั้นบรรพกาลแล้ว แม้ว่ามันจะไม่เท่ากับพลังของเจี้ยนเฉินแต่ก็ทำให้เขาชะงักได้
หลังจากไล่จักรพรรดิดาวทมิฬแล้ว เจี้ยนเฉินก็หันกลับไปทันทีและโจมตีค่ายกลที่อยู่ด้านหลังของเขาอย่างเต็มกำลัง เขาปล่อยปราณกระบี่ขณะที่พลังบรรพกาลไหลเวียนผ่านร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว เขาโจมตีอย่างเต็มที่ไปที่ค่ายกล
ปัง ! ปัง ! ปัง !
จากนั้น เจี้ยนเฉินก็ทำลายค่ายกลอีก 3 อัน จากทั้งหมด 12 อันที่เผ่าดาวทมิฬร่ายทิ้งไว้ มันเหลือเพียง 6 อันเท่านั้นตอนนี้
ในขณะที่เขาเฝ้าดูค่ายกลที่อยู่ใกล้เจี้ยนเฉินหายไปอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิดาวทมิฬก็รู้สึกวิตกกังวลเป็นครั้งคราว ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเจี้ยนเฉินนั้นเกิดกว่าความคาดหมายของจักรพรรดิดาวทมิฬอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับเจี้ยนเฉินในตอนนี้ แม้แต่จักรพรรดิดาวทมิฬที่มีความมั่นใจในตัวเองมาตลอดในอดีตที่เชื่อว่าตัวเองนั้นไร้พ่ายในขั้นเดียวกันก็หมดหนทางเป็นครั้งแรก
“เราต้องหยุดเขา ถ้าเขาทะลวงออกไปได้ มันจะเป็นการสิ้นสุดของเผ่าเราเช่นกัน ด้วยความสามารถของเขาที่สามารถสังหารกองทัพหลายล้านคนได้ในคราวเดียวกัน” จักรพรรดิดาวทมิฬได้ตัดสินใจภายในใจ เขาพ่นแก่นโลหิตออกมาหนึ่งคำ ผนึกที่ลอยอยู่ด้านหน้าของเขาก็เปล่งแสงเจิดจ้าทันที แรงกดดันของวัตถุเทพขั้นกลางแผ่ออกมาอย่างรุนแรงก่อนที่จะทะลวงมิติและปรากฏอยู่บนเหนือหัวของเจี้ยนเฉินในทันที
“เจ้าอาจจะปล่อยพลังได้เต็มที่เหมือนอดีตในชั่วขณะ แต่เจ้าจะทำอย่างไรกับจิตวิญญาณวัตถุที่ตายไปแล้ว ? และเจ้าก็สามารถโจมตีได้เพียงครั้งเดียว เจ้าจะทำอะไรกับข้าได้ ? ” เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิดาวทมิฬได้ใช้ทักษะเดิม ๆ กับเจี้ยนเฉิน เขาก็หัวเราะเยาะออกมา เขาเปลี่ยนทิศทางกระบี่ให้แทงไปที่ผนึกด้วยพลังเต็มที่
ตูม !
พร้อมกับเสียงกึกก้อง มิติขนาดใหญ่ก็ปรากฏรอยแยก ผนึกที่เดิมที่ปรากฏอยู่บนหัวเจี้ยนเฉินก็ถูกทำลายและกระเด็นขึ้นฟ้ากลับไป
สำหรับเจี้ยนเฉิน ปราณกระบี่ของเขาก็หรี่ลงและเขาก็ตกจากฟ้ากระแทกพื้นอย่างแรง
แต่ในเวลาต่อมา เขาก็พุ่งขึ้นกลับมาบนอากาศทันที พลังแห่งการมีอยู่ของเขาสูงขึ้นและไม่มีการแสดงถึงความอ่อนแรงเลย เขาไม่สนใจจักรพรรดิดาวทมิฬและใช้ปราณกระบี่อีกครั้ง มันดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นกระบี่ในขณะที่เขาพุ่งเข้าหาค่ายกลราวกับแสง
ค่ายกลอันแรกถูกทำลาย !
ค่ายกลที่สองถูกทำลาย !
ค่ายกลที่สามถูกทำลาย !
ค่ายกลที่สี่ถูกทำลาย !
ครั้งนี้เจี้ยนเฉินเหมือนกับมีดร้อนผ่าเนย ทำให้ค่ายกลทั้งหมด 4 แบบถูกทำลายและเหลือเพียงอีก 2 อันเท่านั้นที่ขังเขาไว้ที่นี่
แต่ด้วยความล่าช้า อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจากคำสาปก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ที่ขาของเขาตอนนี้หายไปอย่างสมบูรณ์และเหลือเพียงเข่าเท่านั้น
ทุกอย่างที่อยู่ใต้เข่าของเขาหายไปแล้ว โดยพื้นฐานแล้วเขาดูเหมือนกับคนพิการขา
“โอ้ ไม่ ! ” เมื่อเห็นว่าพวกเขาสูญเสียค่ายกลถึง 4 แบบในเวลาเดียวกัน สีหน้าของจักรพรรดิดาวทมิฬก็เปลี่ยนไปทันที
ในเวลาเดียวกันเจี้ยนเฉินก็พุ่งเป้าไปที่จักรพรรดิดาวทมิฬด้วยการฟาดฝ่ามือไปและใช้กฏมิติอย่างเต็มกำลัง
ในเวลาต่อมา จักรพรรดิดาวทมิฬรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมของเขาก็เปลี่ยนไป ทิวทัศน์ที่เขาคุ้นเคยได้หายไปอย่างสมบูรณ์และเจี้ยนเฉินก็หายไปจากการมองเห็นของเขา เขาถูกเจี้ยนเฉินย้ายตำแหน่งผ่านกฏมิติและมาโผล่ที่อื่น
จักรพรรดิดาวทมิฬโกรธทันที แต่ในตอนนี้เจี้ยนเฉินได้ใช้การโจมตีเต็มกำลังอีกครั้ง ปราณกระบี่ได้รวมเข้ากับพลังบรรพกาลเพื่อทำลายค่ายกลอีก 2 อันสุดท้าย
ทันใดนั้นรอยแตกก็เกิดขึ้นบนค่ายกล เมื่อพลังปราณถูกปลอดปล่อยออกมาและการโจมตีที่เทียบเท่ากับขั้นบรรพกาลได้กระแทกกับค่ายกลครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่ศาลาเทพทั้งสิบที่ลอยอยู่ก็ยังสั่นไหวอย่างรุนแรง
ภายใต้การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยแตกบางส่วนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งภายในศาลาเทพทั้งสิบและได้รับความเสียหายอีกครั้ง
รอยแตกที่ปรากฏออกมาให้เห็นดูเหมือนจะเป็นสัญญาณว่าค่ายกลที่ใช้ศาลาเทพทั้งสิบเป็นจุดควบคุมของพวกเขาจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว ท้ายที่สุดค่ายกลที่ขังเจี้ยนเฉินไว้ก็แตกสลายเช่นกัน
ค่ายกลทั้งหมดหายไป เจี้ยนเฉินก็ราวกับเหยี่ยวที่โผบินขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีอะไรมารั้งไว้อีกต่อไป เขาใช้กฏมิติมันสั่นอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหายไปพร้อมกับตัวของเขา ก่อนที่จะพุ่งไปยังเมืองถัดไปโดยเร็วที่สุด