กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 101 ทะเลาะ
บทที่ 101 ทะเลาะ
บทที่ 101 ทะเลาะ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น”
เธอรีบถามต่อ “พ่อแม่เป็นอะไรรึเปล่าคะ พี่ใหญ่?”
เซี่ยจิ่งเยว่กล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก พ่อแม่สบายดี”
เขาาหยุดพูดเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจบอกอีกฝ่าย “ก็น้องรองน่ะเอาเงินที่เก็บมาหลายเดือนไปหางานให้กับพี่สะใภ้รองของเธอน่ะสิ พอแม่รู้เรื่องนั้น ท่านก็โกรธใหญ่เลยน่ะ”
แต่ไม่ใช่แค่โกรธหรอก ท่านร้องไห้ตรงนั้นด้วยซ้ำ
เซี่ยจิ่งเฉินหวาดกลัวมากจนถึงขั้นทรุดเข่าขอขมาและโน้มน้าวให้ท่านยอม
ทว่าจางอวี้เจียวกลับกล่าวเสียดสีว่า “ถ้าเซี่ยชิงหยวนช่วยเหลือพวกเรา ฉันก็คงไม่ต้องขอเงินจากจิ่งเฉินหรอก ไม่ว่าจะคิดยังไง มันก็เป็นความผิดของเซี่ยชิงหยวนอยู่ดี”
เซี่ยโยว่หมิงเองก็อยู่ด้วยในตอนนั้น
เขาตบโต๊ะและด่าทอว่า “สะใภ้รอง เธอพูดอะไรน่ะ!?”
แม้ปกติเขาจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องราวภายในครอบครัว และไม่ใช่คนโกรธง่ายขนาดนั้น ทว่าเวลานี้เจ้าตัวกลับโมโหอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อจางอวี้เจียวถูกตําหนิต่อหน้าทุกคน ปากเล็ก ๆ นั่นก็ยู่เข้าหากัน และเอะอะว่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านแม่
เธอยังกล่าวอีกว่า “ฉันรู้ว่าครอบครัวเซี่ยรังเกียจที่ฉันคลอดลูกผู้หญิงมาตลอด! ฉันไปก็ได้!”
เซี่ยจิ่งเฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเกลี้ยกล่อมคุณแม่กับสะใภ้
หวังผิงโกรธไม่นานนัก เมื่อจางอวี้เจียวกำลังทำให้เรื่องราวบานปลาย
เสียงของจางอวี้เจียวนั้นทั้งสูงและแหลม เธอจึงกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน
เธอจึงหันไปกล่าวกับเซี่ยโยว่หมิงว่า “สะใภ้รองพูดถูกแล้ว ถ้าเซี่ยชิงหยวนแนะนำงานให้อวี้เอ๋อแต่แรก เรื่องราวจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
แค่หนึ่งร้อยห้าสิบหยวนที่เสียไปนั่น เธอก็เป็นทุกข์จะตายแล้ว
เมื่อเซี่ยโยว่หมิงเห็นหวังผิงยังคงเข้าข้างอวี้เจียวและผลักความผิดทั้งหมดไปให้เซี่ยชิงหยวน คนทั้งสองก็ทะเลาะกันทันที
ต่อมา เซี่ยโยว่หมิงจึงรับทํางานเสริมอย่างอื่น หลังจากทํางานในไร่นาของตนเสร็จเพื่อหารายได้มากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งตัวของเขาก็ดําคล้ำและผอมลงมาก
เซี่ยจิ่งเยว่ไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับเซี่ยชิงหยวน
เธอไม่ได้อยู่บ้าน หากพูดออกไป เธอจะต้องกังวลเท่านั้น
แต่หญิงสาวยังคงคาดเดาได้ว่า “พ่อกับแม่ของเราทะเลาะกันเหรอคะ?”
เซี่ยโยว่หมิงย่อมสั่งสอนเซี่ยจิ่งเฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ซึ่งหวังผิงก็จะปกป้องลูกชายคนรองของตน
เช่นเดียวกับตอนที่ยังเยาว์วัย เด็กน้อยมักร้องเรียกหาของหวานอยู่เสมอ
เวลาเซี่ยจิ่งเฉินทําผิด เว้นแต่เขาจะถูกหวังผิงจับได้แบบคาหนังคาเขา ชายหนุ่มถึงจะถูกลงโทษ
และเขามักคร่ำครวญพร้อมกับเกาะแกะขาของหวังผิงไว้ เพื่อโน้มน้าวท่าน แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
แต่ถ้าเป็นคนอื่น ไม่ว่าจะอายุน้อยแค่ไหน ถ้าเกาะแกะต้นขาของหวังผิงเหมือนที่เซี่ยจิ่งเฉินทำ เธอคงไม่ปล่อยไว้อย่างนั้น
ในความทรงจำของเธอ ความอ่อนโยนและรอยยิ้มทั้งหมดของหวังผิงมีไว้เพื่อเซี่ยจิ่งเฉินคนเดียวเท่านั้น
ส่วนกับลูกสาวคนเล็กนั้นมีแต่การปฏิบัติด้วยความห่างเหินเย็นชา
สําหรับคําถามของเซี่ยชิงหยวน เซี่ยจิ่งเยว่ไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่กล่าวว่า “พ่อแม่ของเราแก่แล้วและพวกเขาโต้เถียงกันมาตลอดชีวิต เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยชิงหยวนก็เข้าใจดี เธอสูดหายใจเข้าและพูดว่า “ฉันเข้าใจดีค่ะพี่ใหญ่ ทางบ้านของฉันมีความเป็นอยู่ที่ดีมาก พี่บอกพ่อให้ฉันทีว่าไม่ต้องกังวล เมื่อถึงวันหยุดคราวนี้เราจะกลับไปเยี่ยม”
เซี่ยจิ่งเยว่ตอบกลับ “ตกลง พี่จะบอกพ่อให้”
ชายหนุ่มย่อมสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของเซี่ยชิงหยวนอย่างชัดเจน
แต่เขาไม่ได้ถามอะไรเธอต่อ
ปมหัวใจระหว่างน้องสาวกับแม่ไม่ได้เพิ่งเกิดแค่วันสองวัน
…
หลังจากโทรศัพท์เสร็จ เซี่ยชิงหยวนก็มีความมุ่งมั่นมากขึ้นด้วยแนวคิดที่ว่า ‘ฉันจะต้องสร้างรายได้มากขึ้น ไม่เพียงดูแลครอบครัวฝั่งตัวเองให้ดี แต่ต้องสนับสนุนครอบครัวของแม่สามีอีกด้วย’
‘หากจางอวี้เจียวรู้จุดยืนของตัวเอง เธอย่อมได้เพลิดเพลินกับความสุขสบายที่อาจเผื่อแผ่ไปถึงตัวเองด้วย แต่อย่าโทษฉัน ถ้าเธอยังคงหว่านเมล็ดพันธ์ุความเกลียดชังต่อไปแบบนี้’
เซี่ยชิงหยวนระงับอารมณ์ของตน และเดินออกไปที่สนามเพื่อเปลี่ยนน้ำสําหรับหอยขมและหอยแมลงภู่ที่เธอเก็บมาเมื่อวันก่อน
เธอกวนพวกมันด้วยมือ ส่งผลให้โคลนและทรายที่จมอยู่ข้างใต้ลอยขึ้นมา
ดูเหมือนว่าในสองวันที่ผ่านมาพวกมันจะคายสิ่งสกปรกออกมามากมาย
ขณะที่เปลี่ยนน้ำอยู่ หญิงสาวก็ต้องการปรุงรสหอยขมเหล่านี้ให้เป็นรสชาติของจังหวัดทางตะวันตก แล้วขายพร้อมกับสลัดเย็น
ไม่ว่าหอยขมเหล่านี้จะมีเนื้อน้อยแค่ไหน มันก็ยังนับเป็นอาหารจานเนื้อด้วยนี่จริงไหม?
ดังนั้นหลังจากเปลี่ยนน้ำ เธอใส่แท่งเหล็กลงไปในน้ำและหยดน้ำมันลงไปสองสามหยด
เธอได้ยินมาว่าสิ่งนี้ช่วยให้หอยขมคายตะกอนออกมาได้เร็วขึ้นและมันจะสะอาดขึ้นมาก
หลังอาหารเที่ยง เธอก็ผัดหอยขมรสเผ็ดเพื่อเตรียมเอาไปขายเพิ่ม ซึ่งเธอจะได้รับเงินมากขึ้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้หญิงสาวยังแช่เห็ดและสาหร่ายทะเลที่ซื้อมา
อาหารแห้งทั้งสองจานนี้จะนำมาเป็นเมนูใหม่ของเธอในวันนี้
แน่นอนว่าเมนูใหม่นี้ยังคงมีราคาอยู่ที่สี่เหมาต่อจิน แต่ถ้าจะแยกซื้อต่างหากจะมีราคาแพงกว่า
หลังจากจัดการธุระปะปังส่วนนี้เสร็จ เซี่ยชิงหยวนก็เห็นว่าเวลาใกล้จะหมดแล้ว จึงไปที่ประตูเพื่อรอรับอาจ้วง
แต่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าอาเซียงจะมาด้วยวันนี้
อาเซียงยังคงร่าเริงและติดตามเซี่ยชิงหยวนเข้ามาในบริเวณที่พัก
หญิงสาววางผักให้เซี่ยชิงหยวนและก้มลงช่วยล้างผักทันที
เซี่ยชิงหยวนรีบหยุดอีกฝ่ายไว้
อาเซียงหลบมือของเธอ “ถ้าเราสองคนช่วยกันมันจะเสร็จเร็วขึ้นนะคะ จากวันนี้ฉันจะช่วยพี่ล้างผักให้เสร็จในช่วงเช้าแล้วค่อยกลับไปนะ”
คราวนี้เซี่ยชิงหยวนสั่งผักมาแปดสิบจิน แม้ว่าพวกมันจะได้รับการทําความสะอาดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังคงเขรอะฝุ่นระหว่างทางที่นำมาส่ง
ยิ่งกว่านั้น ผักกาดหอมกับมันฝรั่งก็ต้องใช้เวลาในการปอกเปลือก
หญิงสาวก็คิดว่าตัวเองน่าจะทำเสร็จไม่ทันเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงต้องยอมรับน้ำใจของอาเซียง
และเธอย่อมให้ค่าตอบแทนอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นแน่นอน
อาเซียงรีบโบกมือปฏิเสธ “พี่เซี่ย ฉันรับไม่ได้หรอกค่ะ ผักพวกนี้มีราคาไม่มากขนาดนั้น”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “อย่าปฏิเสธเลย ขาของพ่อเธอยังอาการไม่ดีและเวลานี้ก็ยังไม่มีผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว ถ้าเธอไม่พึ่งพารายได้ที่มากขึ้นนี้ ครอบครัวเธอจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง? พอพ่อของเธอหายดีแล้วก็ค่อย ๆ คืนเงินให้ฉันก็พอ”
ดวงตาของอาเซียงแดงก่ำ หญิงสาวสูดจมูกกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาจากนั้นพูดว่า “ขอบคุณนะคะ พี่เซี่ย”
อาเซียงทํางานอย่างรวดเร็วและในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนก็คัดแยกผักออกอย่างเป็นระเบียบ
มีเพียงผักกาดหอมและมันฝรั่งเท่านั้นที่ยังไม่เสร็จ พวกมันจะถูกฝอยด้วยเครื่องหั่นฝอยในบ่ายวันนี้
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองภูเขาหลังบ้าน และที่เชิงเขาของภูเขานั้นมีป่าไผ่อยู่หนาแน่น
อาเซียงกล่าวว่า “บนภูเขาลูกนั้นน่าจะมีหน่อไม้มากมาย ถ้าเราไปขุดมา พี่สาวก็เอามาทําอาหารเย็นได้อีกนะ”
คําพูดของอีกฝ่ายทําให้หญิงสาวนึกถึงเมนูหน่อไม้ที่ไม่เพียงสามารถใช้เป็นสลัดผักเย็นได้เท่านั้น แต่ยังทำเป็นหน่อไม้ดองได้อีกด้วย
ถ้าแบบนั้นละก็ เธอจะเอามาใส่ในเมนูหอยขมได้หรือเปล่านะ?
แม้ว่าจะไม่ได้เอามาใส่รวมกับเมนูหอยขม แต่หน่อไม้ก็สามารถเอามาใช้เป็นส่วนผสมสําหรับบะหมี่ชนิดอื่นได้ ซึ่งมันจะอร่อยมาก
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและพูดว่า “เข้าท่า รอให้สามีพี่หยุดวันพรุ่งนี้ก่อน เราจะได้ให้เขาพาไปขึ้นภูเขาเพื่อขุดหน่อไม้กัน”
ภูเขาของมณฑลอวิ๋นล้วนสูงตระหง่าน อีกทั้งยังหนาแน่น
ผู้คนหลายชั่วอายุคนต่างเคยเห็นเสือและสัตว์ร้ายชนิดอื่นบนภูเขา
ตอนที่เธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านซิ่งฮวาในอดีต พวกชาวบ้านก็มักจะตั้งกลุ่มออกไปฆ่างูหลามตัวใหญ่
ดังนั้นต่อให้เซี่ยชิงหยวนจะไปที่ภูเขาด้วยตัวเองเพื่อหน่อไม้สองสามหัว เธอก็ยังกลัวอยู่ดี
อาเซียงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องรอพี่เขยหรอกพี่เซี่ย ถ้าพี่ต้องการ ฉันสามารถให้อาจ้วงพาไปได้ เรามีมีดพร้ากับจอบขนาดเล็กที่บ้าน พวกเราสามารถขุดหน่อไม้ได้อย่างรวดเร็ว”
คำว่า ‘พี่เขย’ ที่อาเซียงเรียกไม่มีน้ำเสียงอวดดีแบบจางอวี้เอ๋อเลยสักนิด เซี่ยชิงหยวนไม่รู้สึกว่ามันรุนแรงแม้แต่นิด แต่กลับรู้สึกเต็มไปด้วยความสนิทสนม
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกสะเทือนใจ “ไม่ใช่ว่าครอบครัวของเธอต้องทำงานของตัวเองเหรอ?”
อาเซียงบอกว่า “แค่ครึ่งวันก็เสร็จแล้ว”
ดังนั้นทั้งสองจึงนัดหมายกันไปที่ภูเขาในเช้าวันพรุ่งนี้เพื่อขุดหน่อไม้กัน