กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 107 เขาสูญเสียเธอไป
บทที่ 107 เขาสูญเสียเธอไป
บทที่ 107 เขาสูญเสียเธอไป
ชุดคำถามที่เซี่ยชิงหยวนเอ่ยถามทำเอาเซี่ยจิ่งเฉินชะงักงัน
แววตาของเธอไร้สี และจ้องมองเขาอย่างเงียบงัน
เซี่ยจิ่งเฉินรู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่เซี่ยชิงหยวนส่งมาให้ ตอนที่เขายืนอยู่หน้าประตูเมื่อครู่
ทั้งที่คนตรงหน้าคือน้องสาวของเขาแท้ ๆ แต่กลับดูไม่เหมือนน้องสาวของเขาสักนิด
เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวคำ “ก็…พวกเราเป็นญาติกัน เพราะงั้นก็ควรจะช่วยเหลือเท่าที่เธอช่วยได้”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกหมดคำพูดอยู่ครู่ใหญ่
แต่พี่น้อง…
เซี่ยจิ่งเฉินรู้สึกว่าความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขาสัมผัสได้จากเซี่ยชิงหยวนตอนที่อยู่หน้าประตูใหญ่ในตอนนี้กลับมาอีกครั้ง
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาเห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์เป็นน้องสาวของเขา แต่ทำไมเขากลับรู้สึกเหมือนว่าเธอไม่ใช่น้องสาวของเขาเลยล่ะ
เมื่อได้รับแรงกระตุ้นชายหนุ่มก็หลั่งเหงื่อเย็นออกมา
ทว่าเมื่อเซี่ยชิงหยวนคาดเดาได้แล้วในตอนนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดมันอีกต่อไป
เขายิ้มด้วยความกระอักกระอ่วน “คือ…อวี้เอ๋อโทรหาพี่สะใภ้ของน้องเมื่อวานและร้องไห้หนักมาก พี่สะใภ้รองก็เลยเล่นงานพี่เมื่อเช้านี้…ดังนั้นพอเห็นว่ามีงานส่งสินค้าแถวนี้พอดีพี่ก็เลยแวะมาคุย…”
เซี่ยชิงหยวนตอบ “อ้อ”
จากนั้นเธอก็เดินต่อไป “พี่รอง วันนี้พี่มาหาฉันเพื่อมาขอความเมตตาแทนน้องของพี่สะใภ้ใช่ไหม?”
เนื่องจากได้พูดไปแล้ว เซี่ยจิ่งเฉินจึงเปิดประเด็น “ตอนแรกพี่ก็ไม่อยากมาหรอก แต่เธอก็น่าจะรู้นิสัยใจคอของพี่สะใภ้รองของเธอดี ถ้าพี่ไม่จัดการเรื่องนี้ พี่กลับบ้านไปคงมีปัญหาไม่หยุด”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พี่รอง พี่เคยเป็นคนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินมาก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้พี่ถึงถูกพี่สะใภ้รองข่มเหงจนเป็นแบบนี้ได้กัน?”
เมื่อตอนเด็ก ๆ เซี่ยจิ่งเฉินชอบเล่นอะไรแผลง ๆ มากมายอย่างไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
คนประเภทเดียวกันมักเจอกัน และในที่สุดเขาก็ได้พบกับจางอวี้เจียว
เดิมทีเขาแค่ต้องการจะเล่นสนุกสักพัก แต่สุดท้ายมันกลับทำให้เขายุ่งยากซะเอง
ครอบครัวของจางอวี้เจียวพาเขากลับไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวาโดยบอกว่าเขาต้องรับผิดชอบ
ไม่สิ นั่นคือผลที่ตามมาต่างหาก
ใบหน้าของเซี่ยจิ่งเฉินบิดเบี้ยวทันที “นั่น…อย่าพูดถึงชายที่เคยกล้าหาญในอดีตจะได้ไหม”
เขาจ้องมองเซี่ยชิงหยวน “ชิงหยวน ในฐานะที่เราเป็นพี่น้องกัน เธอช่วยทำบางอย่างให้กับพี่รองได้ไหม?”
เซี่ยชิงหยวหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “พี่ต้องการให้ฉันช่วยอะไรล่ะคะ”
เมื่อเซี่ยจิ่งเฉินได้ยินเช่นนี้ เขาก็คิดว่าตนเริ่มมีความหวัง
เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “เธอช่วยคุยกับสามีให้ทีว่า หลังจากนี้ขอให้เขาช่วยใช้เส้นสายย้ายอวี้เอ๋อไปทำงานในแผนกอื่น ไม่จำเป็นต้องเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากเพียงแค่หาหัวหน้าสำนักงานเล็ก ๆ ก็พอ”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเพราะความโกรธ เมื่อได้ยินคำขอที่ไร้สาระนี้
ตอนที่เขาเดินมาถึงประตูบ้าน เซี่ยชิงหยวนแทบไม่อยากจะให้เขาเข้ามาด้วยซ้ำ
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ ระงับความหดหู่ในใจ หยิบกุญแจออกมาแล้วเปิดประตูบ้าน
จากนั้นเธอก็พูดอย่างแผ่วเบาว่า “เข้าบ้านก่อนเถอะ”
เซี่ยจิ่งเฉินมองไปที่บ้านและการตกแต่งภายใน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ชิงหยวน บ้านของเธอนี่ดีจริง ๆ!”
เขาเดินเข้าไปแตะโซฟาแล้วอุทาน “ดูโซฟาตัวนี้สิ มันทำจากหนังแท้จริง ๆ ด้วย”
เซี่ยชิงหยวนรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้เขา “ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นหนังแท้หรือเทียม ฉันรู้แค่ว่าพี่มันคนสมองไม่ปกติ”
เซี่ยจิ่งเฉิน “…”
เขายกแก้วน้ำขึ้นจิบ “นี่ เธอพูดแบบนี้กับพี่รองของเธอได้ยังไง”
เขาถือแก้วน้ำเดินไปรอบ ๆ บ้านแล้วพูดว่า “พี่ขอถามตรง ๆ หน่อยได้ไหม ทำไมจู่ ๆ สามีของเธอถึงย้ายออกจากสถาบันวิจัยมาที่นี่ นอกจากนี้ยังได้รับตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ด้วย”
เซี่ยชิงหยวนไม่เคยถามเสิ่นอี้โจวเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย
คนทั้งสองดูจะเคยชินกับการอยู่ด้วยกันแบบก่อนหน้านี้ไปแล้ว
ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองและไม่มีใครถามเรื่องของใคร
เธอส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
แต่เซี่ยจิ่งเฉินคิดเพียงว่า อีกฝ่ายปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเขา
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ถามอะไรอีก
ไม่ว่าเสิ่นอี้โจวจะกลายเป็นเลขาธิการได้อย่างไร ตราบใดที่เป็นข้าราชการมันก็สามารถนำความสะดวกสบายมาสู่ครอบครัวของเขาได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้นเขาจึงกล่าวถึงประเด็นนี้ต่อ “ชิงหยวน เธอคิดยังไงกับเรื่องที่พี่พูดไปเมื่อกี้”
เซี่ยชิงหยวนนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับเขา “ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากเลย”
เธอปรือตามองเซี่ยจิ่งเฉิน “ตอนนี้เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องที่อี้โจวได้เลื่อนตำแหน่งเลยค่ะ แต่ไม่ทราบว่าจางอวี้เอ๋อมีคุณสมบัติหรือความสามารถอะไรที่เหมาะสมกับทำงานที่จะได้รับงั้นเหรอคะ คนแบบนั้นควรจะเป็นหัวหน้างานในแผนกอย่างนั้นหรือคะ?”
เซี่ยจิ่งเฉินถึงกับพูดไม่ออกกับคำถามที่เซี่ยชิงหยวนโยนมา
เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “พวกเราล้วนแต่เป็นญาติกันทั้งนั้น เธอช่วยเด็กคนนั้นหน่อยไม่ได้เหรอ”
เซี่ยชิงหยวนหมดคำจะพูดกับพี่ชายของตัวเอง
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พี่น้องได้พบกันหลังจากไม่ได้เจอกันมานาน เธอไม่อยากทำอะไรให้มันดูน่าเกลียดจนเกินไป
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเซี่ยจิ่งเฉินจะไม่ดีเท่าของเซี่ยจิงเยว่ แต่เขาก็ยังเป็นพี่รองของเธอ
ในใจของเซี่ยงชิงหยวนจดจำรูปลักษณ์ที่ร่าเริงของเขาได้เสมอ
เธอถอนหายใจ “พี่รอง พี่คิดว่ามีดวงตากี่คู่ที่กำลังจ้องมองมาที่อี้โจวตอนนี้ เพราะเขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเหรอ? ถ้าเขาทำตามคำขอของพี่ คนอื่น ๆ จะมองเขายังไง? ศาลากลางแห่งนี้มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะในแง่ความอาวุโสหรือความสามารถก็ตาม มีตั้งอีกกี่คนที่ดีกว่าจางอวี้เอ๋อ ถ้าอี้โจวผลักดันเธอไปสู่ตำแหน่งนั้นด้วยเส้นสายของเขา จางอวี้เอ๋อจะรั้งอยู่ในตำแหน่งได้นานเท่าไหร่กัน?”
หลังจากได้ยินเซี่ยชิงหยวนพูดประโยคนี้ เซี่ยจิ่งเฉินก็อึ้งไปเพราะเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
แต่เมื่อเขานึกถึงเรื่องที่จางอวี้เจียวทะเลาะกับเขา หากคราวนี้เขาไม่จัดการให้เรียบร้อย เขาก็รู้สึกหนักใจ
เขาพูดว่า “งั้นลดลงมาหน่อยก็ได้ แค่ส่งเธอไปที่สำนักงานในฐานะเสมียนธรรมดาได้ไหม? เราทุกคนเป็นญาติกันและไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่น่าเกลียดเกินไป เธอไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยกยิ้มหยัน
เธอมองไปที่เซี่ยจิ่งเฉิน “พี่รอง จางอวี้เอ๋อไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอว่าฉันกับอี้โจวปฏิบัติกับเธอยังไง ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เล่าให้พี่ฟังเหรอว่า ‘สิ่งดี ๆ’ ที่เธอทำหลังจากมาถึงศาลากลางคืออะไร หรือพี่คิดว่าน้องสาวตัวเองแย่แบบนั้นจริง ๆ?”
เซี่ยจิ่งเฉินรู้สึกละอายใจกับคำพูดของเซี่ยชิงหยวน
แน่นอนว่าเขาย่อมได้ยินจางอวี้เจียวเล่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเซี่ยชิงหยวนครั้งล่าสุดเมื่อเขากลับบ้าน
บางครั้งเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
บางครั้งเขาแค่หวังว่าทุกครั้งที่กลับถึงบ้านจะได้กินซุปร้อน ๆ และมีผ้าห่มอุ่น ๆ ให้นอน
ส่วนที่เหลือเขาไม่อยากจะคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไรเท่าไหร่
เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้แล้วก็ เธอช่วยยกโทษให้อวี้เอ๋อเพื่อเห็นแก่พี่รองเถอะนะ อวี้เอ๋อนิสัยเสียตั้งแต่ยังเด็ก แต่จริง ๆ แล้วจิตใจของเธอก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีกหลังจากนี้พี่จะบอกให้อวี้เอ๋อยอมรับความผิดพลาดทันที คราวนี้ช่วยปล่อนผ่านเรื่องนี้ ไม่ต้องถือสากับมันอีก จากนี้ไปเราจะยังเป็นครอบครัวเดียวกันถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือ บางทีในอนาคตอวี้เอ๋ออาจจะช่วยเธอได้บ้างไม่ใช่เหรอ”
คำพูดของเซี่ยจิ่งเฉินนั้นฟังดูจะยุติธรรม แต่จริง ๆ แล้วกำลังตำหนิเธออ้อม ๆ
เมื่อเผชิญกับวิธีคดโกงแบบนี้ มันก็ทำให้ความอดทนสุดท้ายของเซี่ยชิงหยวนหมดลง
เธอมองเซี่ยจิ่งเฉินและพูดว่า “พี่รอง ฉันอยากถามพี่จริง ๆ จางอวี้เอ๋อเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของพี่หรือฉันเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของพี่กันแน่?”
“ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่พี่เคยสนใจฉันไหม?” เธอยังคงมีสีหน้าสงบขณะกล่าว “ถ้าพี่ต้องการมาระลึกถึงความเป็นพี่เป็นน้อง ฉันยินดีมาก แต่ถ้าหากพี่ยังต้องการพูดถึงจางอวี้เอ๋อ โปรดยกโทษให้ฉันที่ไม่สามารถรับฟัง และยินยอมตามที่พี่ขอมาได้”
เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้ เซี่ยจิ่งเฉินก็เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมา คิ้วหนาของเขาขมวดมุ่น “ชิงหยวน พอเธอได้เป็นภรรยาของข้าราชการระดับสูงแล้วเธอกลายเป็นแบบนี้เลยงั้นเหรอ ลืมแล้วเหรอว่าตอนที่อยู่บ้านเธอไม่เคยพูดกับฉันแบบนี้!”
เซี่ยชิงหยวนหัวเราะเยาะ “ใช่! เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านฉันถูกกดขี่ไปทั่วทุกที่ ฉันจะไปมีความสุขอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง?”
สายตาที่มองไปยังเซี่ยจิ่งเฉินส่องแสงเป็นประกาย “พี่รอง คนในครอบครัวของเราทั้งหมด คนที่มีสิทธิ์วิจารณ์ฉันน้อยที่สุดก็คือพี่”
เพื่อหาเงินเป็นสินสอดให้แก่จางอวี้เจียว หวังผิงถึงกับฉีกจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยของเซี่ยชิงหยวน และบังคับให้เธอทำงานนอกเวลา แต่เซี่ยจิ่งเฉินไม่ได้คัดค้านเลยสักคำ
แม้จะเห็นเซี่ยโยว่หมิงตบเธอเป็นครั้งแรกเพราะเหตุนี้ เขาก็แค่ก้มหน้าและนิ่งเงียบ
ในขณะที่เซี่ยจิ่งเยว่ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตและภรรยาของเขาเป็นคนที่พาเธอไปที่ห้องและปลอบประโลมอยู่ค่อนคืน
กงเหลียนซินผู้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ต้องมานั่งเช็ดน้ำตาให้เธอเพราะเหตุนี้เอง
แน่นอนเซี่ยจิ่งเฉินรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังพูดถึงอะไร
ความไม่สบายใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ในเวลานั้น เขารู้สึกเสียใจต่อเซี่ยชิงหยวนเหมือนกัน
ต่อมา เขาก็ได้ถามหวังผิงว่าเซี่ยชิงหยวนอยากไปทำงานจริง ๆ หรือเปล่า
ผู้เป็นแม่เพียงบอกให้เขาเตรียมตัวสำหรับการแต่งงานอย่างสบายใจ และไม่ต้องกังวลกับสิ่งอื่นอีก
อันที่จริง คนฉลาดอย่างเขาจะคาดเดาไม่ได้เชียวหรือ?
เขาแค่แสร้งทำเป็นสับสนกับความเข้าใจของตนเอง และปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวเข้าครอบงำ
นี่คือเหตุการณ์หนึ่งที่ติดค้างในใจของเขามาตลอด
เขายืนขึ้นและพูดว่า “งั้นก็แค่นั้นแหละ ในเมื่อไม่อยากช่วย ฉันก็จะไม่บังคับ แต่ถ้ามีเวลาก็กลับไปดูที่บ้านบ้าง พ่อเหนื่อยมากแล้ว”
แล้วเขาก็หมุนตัวเตรียมจะจากไป
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นเขาปกป้องจางอวี้เอ๋อด้วยวิธีนั้น เธอก็รู้สึกโกรธชั่วขณะจึงพูดคำเหล่านั้นออกไป
แต่เมื่อเห็นรูปร่างผอมบางที่กำลังจะจากไปของเซี่ยจิ่งเฉิน เธอก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงเซี่ยโยว่หมิง
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เซี่ยจิ่งเยว่พูดทางโทรศัพท์เมื่อวานนี้ เธอก็กังวลขึ้นมา
หญิงสาวยืนขึ้นและพูดว่า “อยู่กินข้าวที่บ้านด้วยกันก่อนเถอะ อี้โจวจะกลับมาตอนบ่าย พี่จะได้อยู่ทักทายเขาด้วย”
เธอไม่พอใจจางอวี้เจียวและรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นบังคับให้เซี่ยจิ่งเฉินซึ่งครั้งหนึ่งเคยเข้มแข็งมีชีวิตชีวากลายเป็นแบบนี้
อีกทั้งเธอยังไม่พอใจเซี่ยจิ่งเฉิน โดยโทษเขาอยู่ตลอดว่ามีสิ่งที่ดีที่สุดในครอบครัว แต่กลับไม่สามารถดูแลตัวเองได้
แต่ระหว่างพี่น้อง เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ จะตัดกระดูกและเส้นเอ็นออกไปได้ง่ายดายเช่นนั้นได้ยังไง
เซี่ยจิ่งเฉินโบกมือ “ไม่จำเป็นหรอก วันนี้พี่ต้องไปขนของตอนบ่าย”
เมื่อพูดจบ เขาก็ทำท่าจะเดินออกไป
ไม่ว่าตอนนี้เซี่ยจิ่งเฉินจะตกต่ำเพียงใด ความนับถือตนเองของเขาก็ยังทำให้เขารู้สึกว่าไม่อาจยอมถอยได้
หญิงสาวเป็นน้องสาวที่เชื่อฟังเขามากในอดีต แต่ตอนนี้เธอกลับกล้าโต้แย้งเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ไม่อาจทำตามคำขอของจางอวี้เจียวได้ เขาก็จะจากไป
เซี่ยชิงหยวนลุกขึ้นและไล่ตามอีกฝ่าย
เธอจับแขนของเขา “พี่รอง พวกเราพี่ชายและน้องสาวไม่มีอะไรจะพูดกันเรื่องอื่นนอกจากเรื่องครอบครัวของพี่สะใภ้รองรึไงคะ หรืออย่างน้อย ๆ พี่ก็ควรจะพักกินข้าวก่อน”
เมื่อเซี่ยจิ่งเฉินได้ยินคำพูดนี้ของเซี่ยชิงหยวน สีหน้าของเขาก็ดูโล่งใจขึ้นมาบ้าง
เขาหยุดพูดไปชั่วขณะ “วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์นี้เป็นหลัก แล้วอีกเดี๋ยวฉันก็ต้องขนของในช่วงบ่ายถึงช่วงเย็น เธอก็อย่าคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ใช้ชีวิตกับอี้โจวให้ดี ผู้ชายคนนั้นเป็นคนดีมาก”
ว่าแล้ว เขาก็เดินจากไป
เมื่อเซี่ยจิ่งเฉินพูดแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนยิ่งไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไป
เธอคว้าตัวเขาไว้ “พี่ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่ว่ายังไง ก่อนจะออกไปต้องกินอาหารกลางวันก่อนเท่านั้น”
เธอลากเขาเข้ามาในบ้านอีกครั้ง “ไม่งั้นเมื่อถึงเวลาแม่จะต้องรู้ และเธอจะต้องตำหนิฉันแน่”
เซี่ยจิ่งเฉินรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังพยายามรั้งเขาไว้เพราะเป็นห่วงตน
เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาย่อมไม่บอกหวังผิงเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน
จากนั้นเขายอมให้อีกฝ่ายลากกลับเข้าไปในบ้าน
เซี่ยชิงหยวนดึงเขาไปที่อีกห้องหนึ่งและพูดกับเขาว่า “พี่นอนที่นี่ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปทำอาหารให้ พี่ต้องขับรถส่งของยันค่ำมืด พี่จะทำงานได้ยังไงถ้าพักผ่อนไม่พอน่ะ”
เซี่ยจิ่งเฉินตอบสนองโดยไม่รู้ตัว เขาต้องการจะปฏิเสธ “ฉัน…”
เซี่ยชิงหยวนขัดจังหวะเขา “ฉันอะไร? ดูสิว่าพี่ตาแดงขนาดไหน”
เธอพูดแล้วผลักเขาเข้าไปในห้องนอนแขก “ไปนอน!”
เธอปิดประตูทันที “ถ้านอนหลับไม่สนิท ก็อย่าออกมานะ”
เซี่ยจิ่งเฉินมองไปยังเตียงที่สะอาดและหนานุ่ม เขารู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเขาช่างเป็นคนที่ไร้มนุษยธรรมจริง ๆ
มือใหญ่ของเขาลูบไล้หมอนที่ปักลายดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ และมุมตาของเขาก็เป็นสีแดง
ที่จริงแล้ว น้องสาวของเขายังคงเป็นน้องสาวคนเดิม
แต่เป็นเขาเองที่สูญเสียเธอไปโดยไม่รู้ตัว