กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 109 แมวป่าตัวน้อยข่วน
บทที่ 109 แมวป่าตัวน้อยข่วน
บทที่ 109 แมวป่าตัวน้อยข่วน
เซี่ยชิงหยวนเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขา จึงรู้ทันทีว่าต้องมีนัยบางอย่างแฝงอยู่
เธอจึงถามออกมาว่า “มีอะไรเหรอคะ?”
แม้ว่าในใจจะสงสัย แต่เธอก็ยังเดินไปหาเขาอยู่ดี
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเดินมาที่เตียง เสิ่นอี้โจวก็เอื้อมมือออกไปจับข้อมือของเธอแล้วดึงมายังเตียงนอน
หญิงสาวจึงนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงทั้งอย่างนั้น
เสิ่นอี้โจวหยิบผ้าเช็ดตัวจากมือของเธอและพูดว่า “ผมทำให้”
ว่าแล้ว เขาก็จับร่างของเซี่ยชิงหยวนนั่งบนเตียง เหยียดหลังตรง และเช็ดผมให้อีกฝ่าย
เส้นผมของหญิงสาวยาวจนถึงบั้นเอว
เรือนผมนั้นราวกับน้ำหมึกที่สาดกระเซ็น แผ่สยายไปทั่วแผ่นหลัง
นิ้วเรียวของเสิ่นอี้โจวสอดไล้ไปตามเส้นผมของเธอ สีดำขาวตัดสลับกันจึงสร้างความงามอันแตกต่างที่ลงตัวขึ้นมา
เขาเช็ดผมอย่างนุ่มนวล ราวกับมันคือขัดเกลางานศิลปะล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ชิงหยวน คุณไว้ผมมานานแล้วเหรอ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันไว้ผมตั้งแต่จำความได้แล้วล่ะค่ะ ตอนที่ยังเด็ก ผมของฉันเป็นสีเหลืองและเส้นบาง แม่กังวลว่าฉันจะเป็นแบบนี้ไปจนโต ท่านก็เลยขอให้คุณพ่อช่วยโกนอยู่หลายรอบ แล้วตอนประมาณสายขวบได้ล่ะมั้ง คุณปู่ไม่อยากให้โกนแล้ว ฉันก็เลยไว้มันมานับแต่นั้น”
ในเวลานั้น เส้นผมของเธอยังคงเป็นสีเหลือง แต่ดกหนากว่าตอนที่ยังเด็กมาก
ต่อมา หญิงสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเติบโตขึ้น เส้นผมก็เริ่มกลายเป็นสีดำและเหยียดตรง
อี้โจวคิดกับตัวเองว่า ตอนเด็ก ๆ เธอจะต้องน่ารักมากแน่ ๆ
ความอ่อนโยนและสดใสของเธอย่อมทำให้ผู้คนมีความสุขเมื่อได้มอง
เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของเซี่ยชิงหยวน เขาจึงเอ่ยอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น คุณก็เข้ากันดีกับพี่ใหญ่ พี่รองและคนอื่น ๆ ใช่ไหม”
เมื่อได้ยินเสิ่นอี้โจวพูดถึงเซี่ยจิ่งเฉิน เธอก็เข้าใจว่าเขาต้องการสื่อถึงอะไร
ดังนั้นเธอจึงบอกกับเขาตามตรง “พี่ใหญ่ของฉันปกป้องฉันตั้งแต่ฉันยังเด็ก ส่วนพี่รองก็ซุกซนและมีความเป็นตัวเองอย่างมาก ฉันจึงเดาเล่น ๆ ว่าพระเจ้าคงทนไม่ไหว ถึงได้ส่งพี่สะใภ้รองมากำราบเขา”
เสิ่นอี้โจวขำกับมุขของเซี่ยชิงหยวน
จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “อันที่จริง พี่รองเป็นคนจิตใจดีนะ แม้ภาระทางบ้านจะหนักหนา และเขาไร้อำนาจในการจัดการก็เถอะ”
ชายหนุ่มยังคงจดจำได้ดีว่า ยามพาเถ้ากระดูกของเซี่ยชิงหยวนกลับมาบ้านในชาติที่แล้ว พี่ชายทั้งสองอย่างจิ่งเยว่และจิ่งเฉินที่มีความสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรต่างร้องไห้คร่ำครวญราวกับเด็กโข่ง
ฉะนั้น ใครว่าเซี่ยจิ่งเฉินจะไม่รักน้องสาวของตัวเองกัน?
มันก็แค่ว่า ตลอดช่วงเวลาในชีวิตของชายคนนี้ราบรื่นและเข้าที่เข้าทางแล้วต่างหาก จึงทำให้เขาดูไม่ใส่ใจความเป็นไปของโลกมากนัก
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจและไม่พูดอะไรต่อ
บางครั้ง เธอก็อยากอยู่แบบนี้กับจิ่งเฉินไปเรื่อย ๆ และไม่อยากให้เขาเข้าหาเธอเพียงเพราะจางอวี้เอ๋อ
มันเป็นแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งเขาตกหลุมรักจางอวี้เจียว ชายหนุ่มจึงปฏิบัติต่อจางอวี้เอ๋อดีกว่าเธอเสมอ
ผมของเซี่ยชิงหยวนใกล้จะแห้งแล้ว
เสิ่นอี้โจววางผ้าขนหนูลงแล้วหันตัวเธอมาเผชิญหน้ากับตัวเอง “ชิงหยวน ผมรักคุณแค่นั้นก็พอแล้ว ส่วนคนอื่น ผมจะทำหน้าที่นั้นแทนเพื่อคุณเอง”
เพราะอย่างนั้น คุณอย่าร้องไห้เลยนะ
เพราะคุณยังมีผมอยู่ยังไงล่ะ
ดวงตาของหญิงสาววูบไหว
เธอไม่เพียงแปลกใจที่เขารับรู้สิ่งที่กอยู่ในใจของเธอเท่านั้น แต่ยังตกใจกับสิ่งที่เขาพูดด้วย
เนื่องจากตลอดสองชาติที่ผ่านมา เธอไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ผมรักคุณ’ จากอีกฝ่ายเลย
ดวงตาคู่นั้นพลันเปียกชื้น ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของหญิงสาว
จิตใจที่โดดเดี่ยวแต่เดิมของเซี่ยชิงหยวนราวได้รับการเติมเต็มด้วยบางสิ่งบางอย่าง และทำให้ร่างกายของเธอหนักอึ้ง
หญิงสาวมองเห็นตัวเองในดวงตาของอีกฝ่ายเช่นกัน
ในสายตาของเขา เธอทั้งดูงดงามและเปราะบาง
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นตัวเองเป็นแบบนี้
เขาโอบวงแขนรอบตัวเธอ ดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนแกร่ง และจูบเปลือกตาคู่นั้นอย่างแผ่วเบา
เซี่ยชิงหยวนถือโอกาสจากสถานการณ์นี้หลับตาลง
ริมฝีปากบางแตะบนเปลือกตา มันทั้งชัดเจนและคันยุบยิบ ราวกับขนนกตกกระทบลงมา
มือของชายหนุ่มรั้งหลังคอของเธอ และวางร่างของหญิงสาวบนเตียงนอนอย่างนวลนุ่ม
เซี่ยชิงหยวนคืนสติกลับมาและต้องการจะหยุดยั้งเขา ทว่าชายหนุ่มกลับสะกดคำพูดของเธอด้วยจุมพิตเสียก่อน
มือของเขาปัดป่ายจากด้านล่างขึ้นมา ตั้งแต่เรียวขาบางจนกระทั่งมาถึงเอวบาง
ไล้ลูบขึ้นมาตามชายเสื้อ ก่อนจะสอดเข้าไปด้านใน
มือใหญ่คู่นั้นรั้งรออยู่ตรงเสื้อผ้าของเธออีกครั้ง และนิ้วเรียวก็แตะสัมผัสกระดุมคอเสื้อ ด้วยแรงบิดเพียงเล็กน้อย กระดุมแรกพลันปลดออก
จนกระทั่งเซี่ยวชิงหยวนรู้สึกเย็นหวิวบริเวณคอเสื้อด้านหน้า เธอก็กุมเสื้อผ้าด้วยความกระวนกระวาย พยายามปิดบังตัวเองไว้
เมื่อเงยขึ้นมอง สายตาของเสิ่นอี้โจวในเวลานั้นไม่หลงเหลือความสงบสุขุมอีกต่อไป
หางตาของเขาขึ้นสีเรื่อแดง และมีประกายวับใต้ขนตางามงอน
เขาโน้มตัวเข้าหาและกระซิบข้างหูเธอ
เฉกเช่นเสียงกระซิบของคู่รักหวานชื่นที่สุด น้ำเสียงทุ้มต่ำและเปี่ยมเสน่หา “เรามาทดลองความแข็งแรงของเตียงกันดีไหม”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกราวกับมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางใจ จากนั้นก็ลามไปที่แขนขาอย่างรวดเร็ว
สมองของเธอหยุดทำงานไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็หน้าแดงระเรื่อ
การจ้องมองของเสิ่นอี้โจวร้อนแรงเกินไป จนเธอกลัวที่จะเผชิญกับสายตานี้เล็กน้อย
ทว่าชายหนุ่มกลับเชยคางเธอขึ้นบังคับให้มองเขา
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ถ้าคุณไม่พูด ผมจะถือว่าคุณตกลงนะ”
หลังจากพูดจบ ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบ เขาก็จับตัวเธอนอนลง
ทันทีที่ผิวกายสัมผัสกัน หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะปลดปล่อยเสียงครางต่ำอันเอ่อล้นเปล่งมาจากลำคอ
มันแผ่วมากเสียจนเหมือนกับลูกแมวร่ำไห้
ทว่ากรงเล็บที่หลบซ่อนอยู่นั้น กลับทำเอาผู้คนสะท้านทีเดียว
ยามเสียงนั้นแว่วเข้าหูของเสิ่นอี้โจว ประหนึ่งยากระตุ้นชั้นดี
ดวงตาคู่นั้นของเซี่ยชิงหยวนเอ่อคลอด้วยน้ำตาและพร่าเลือน
เธอกำลังคาดหวังที่จะรักและถูกรัก อีกทั้งยังดูเศร้าสร้อย “ฉันกลัวเจ็บ”
ความทรงจำในชาติก่อนนั้นเลวร้ายมาก
การกระทำของเสิ่นอี้โจวชะงักกึก จากนั้นเขาก็จุ๊บเบา ๆ ที่ติ่งหูของเธอ “มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ความแตกต่างของขนาดตัวระหว่างคนทั้งสองสามารถเห็นได้จากรูปร่างภายนอก
แต่เมื่ออยู่บนเตียงแล้ว กลับยังคงเหมือนเดิม
เขาเคยสัมผัสความสัมพันธ์ทางกายระหว่างมนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่ง และเขาก็ยังไม่เข้าใจรายละเอียดมากนัก จึงส่งผลให้ดวงตาของหญิงสาวกลายเป็นสีแดงเรื่อจากการร้องไห้
แต่หลังจากผ่านพ้นชีวิตแรกมาแล้ว เขาจะทำพลาดอีกได้อย่างไร?
เขาเอื้อมมือไปปิดไฟ และห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิดทันที
สิ่งนี้ทำให้เซี่ยชิงหยวนผ่อนคลายลงในชั่วขณะหนึ่ง
ราวกับว่าท่ามกลางค่ำคืนนี้ ความตระหนกทั้งหมดของเธอจะถูกเก็บซ่อนไว้
เมื่ออุณหภูมิร่างกายอันอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยทาบทับลงมาบนร่างกายของเธออีกครั้ง หญิงสาวก็รู้สึกพึงพอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เธอลืมไปเลยว่าตอนนี้ตัวเองยังไม่ได้เปลี่ยนชุดนอน และหลงลืมความทะเยอทะยานที่จะเล่นตัวกับเขาก่อนหน้านี้ไปเสียสิ้น
ภายใต้การสัมผัสอย่างอ่อนโยน ความสุขก็พวยพุ่งเหมือนกับแอ่งน้ำพุ
เธอเหมือนโต้อยู่บนคลื่นทะเล ถูกซัดเข้าหาฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจากนั้นเธอก็ถูกซัดกลับลงทะเลอย่างแรง
ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนจะทุกข์ แต่ก็มีความสุขมาก
ปากของเธอเผยอออกเล็กน้อย ดวงตาของเธอพร่ามัว เมื่อมองไปยังแสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาจากทางด้านนอกหน้าต่าง เธอค่อย ๆ สูญเสียความสามารถในการคิดไป
จนกระทั่งเสิ่นอี้โจวดึงเธอกลับมามีสติอีกครั้ง “ดูเหมือนผมจะไม่ได้ทำงานหนักมากพอ สิ่งรอบตัวเลยทำให้คุณเสียสมาธิได้”
เซี่ยชิงหยวนร้องขอความเมตตาทันที “ไม่เด็ดขาด… ไม่”
เธอพูดไม่ออกด้วยซ้ำในขณะนี้
เสิ่นอี้โจวจูบริมฝีปากของเธออีกครั้ง กวาดอากาศทั้งหมดในปากของเธอ
เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถทำอะไรได้ จึงคว้าหลังของเขาทันที
มีรอยขีดข่วนทั้งลึกและตื้นอยู่บนหลังของเสิ่นอี้โจว
เสิ่นอี้โจวยิ้มและพูดว่า “คุณเหมือนแมวป่าตัวน้อย ๆ เลย”
เซี่ยชิงหยวนร้อง “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!”