กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 111 การแข่งขัน
บทที่ 111 การแข่งขัน
บทที่ 111 การแข่งขัน
“ร้านขายของชำ?” มือของเซี่ยชิงหยวนหยุดชะงักทันที
เจียงเพ่ยหลานพูดว่า “ก็เธอไม่ได้บอกให้ฉันคอยจับตาดูพวกเขาหรอกเหรอ เมื่อวานก่อนกลับบ้าน ฉันเห็นลูกชายของหญิงคนนั้นกำลังเล่นอยู่ที่หน้าประตูร้านของพวกเขา”
เธอชี้ไปยังร้านขายของชำที่อยู่เยื้องกับแผงขายของฝั่งตรงข้าม “ต่อมาภรรยาของเขาก็เดินออกมาจากที่นั่น เสียงของพวกเขาดังมาก ฉันจึงหันไปดูอีกครั้ง”
เซี่ยชิงหยวนก็ดูจะจำได้แล้วเช่นกัน
เจ้าของร้านขายของชำเป็นชายวัยสามสิบปี รูปร่างผอมแต่ดวงตาเป็นประกาย
เจียงเพ่ยหลานเป็นกังวล “ราคาถูกกว่าของเราหนึ่งเหมาแหน่ะ เธอว่าเราควร…”
เมื่อเทียบกับความกังวลของเจียงเพ่ยหลานแล้ว เซี่ยชิงหยวนกลับสงบกว่ามาก
เธอส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ต่อให้ไม่มีพวกเขาวันนี้ พรุ่งนี้ก็จะมีรายอื่นขายแข่งกับเราอยู่ดี และเราไม่สามารถใช้การลดราคาเพื่อเอาชนะใจลูกค้าได้เสมอไป สิ่งที่เราต้องทำคือทำงานของเราให้ดี ทำให้คุณภาพของสินค้าคงที่เพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ก็พอ”
เธอลูบมือของเจียงเพ่ยหลานเบา ๆ “อย่ากังวลเลย การขายในวันนี้อาจได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่มันจะไม่เลวร้ายเกินไป เพราะคุณภาพอาหารของพวกเขาไม่ได้ดีเท่าของเรา”
โดยเฉพาะการทำธุรกิจอาหาร พวกเธอจะพึ่งพาแต่การขายในราคาที่ต่ำกว่าได้ยังไง
ยิ่งกว่านั้น สลัดเย็นของเธอซึ่งจะมีขายอยู่ทั่วไปในยุคหลังจากนี้ จะเป็นของที่มีแต่ครอบครัวฐานะปานกลางค่อนไปทางดีเท่านั้นที่ซื้อกิน
ฐานลูกค้าส่วนใหญ่นั้นจะซื้อเพราะรสชาติ ไม่ใช่ราคา
ตรงร้านขายสลัดเย็นเลียนแบบข้าง ๆ กัน ก็มีคนมามุงดูเรื่อย ในขณะที่แผนขายของเซี่ยชิงหยวนมีลูกประจำเพียงไม่กี่คนเข้ามาซื้อเท่านั้น
เจียงเพ่ยหลานดูกังวล แต่เซี่ยชิงหยวนกลับยังคงสงบนิ่ง
แม้แต่ลูกค้าเก่าบางคนยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย ทำไมคุณไม่ลดราคาอาหารของคุณลงหน่อยล่ะ เห็นไหม พวกเขาได้ยึดกิจการของคุณไปแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มบาง “ทุกคนมีรสชาติที่ตัวเองชอบ พวกเขาสามารถเลือกได้อย่างอิสระนี่คะ”
ลูกค้าหญิงอีกคนพูดว่า “อย่าถูกหลอกด้วยราคาถูก ๆ ของร้านนั้นเลย ฉันแวะไปดูมาแล้ว ขายถูกแล้วไง หน้าตาอาหารของพวกเขาไม่มีทางเทียบกับของร้านนี้ได้เลยจริง ๆ”
จากนั้นเธอก็ยิ้มและกล่าวกับเซี่ยชิงหยวน “อย่าตกใจเลยนะ หลังจากคนอื่น ๆ ลองแล้ว พวกเขาจะรู้ว่าของใครดีกว่ากัน”
เซี่ยชิงหยวนจำผู้หญิงคนนี้ได้ อีกฝ่ายคือพี่สาวคนที่เคยถูกเพื่อนข้างบ้านซื้อสลัดเย็นไปยั่ววันนั้น
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “ยังคงเป็นพี่สาวที่สามารถมองมันได้อย่างชัดเจน”
แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ยืนเฉย ๆ เช่นกัน
เธอออกมายืนอยู่หน้าแผงขายของและเริ่มตะโกน
เจียงเพ่ยหลานตามมาด้วยและทั้งสองก็ตะโกนเร่ขายของไปพร้อมกัน
ต้องบอกว่าวิธีนี้ยังคงใช้งานได้ดี
ลูกค้าบางคนที่เห็นป้ายร้านเลียนแบบและกำลังจะเดินเข้าไปมุงดู เมื่อเห็น เซี่ยชิงหยวนและเจียงเพ่ยหลานตะโกนแบบนี้ พวกเขาทั้งหมดก็หันกลับไปเมื่อนึกถึงความอร่อยที่เคยได้ลิ้มลอง
ผู้หญิงวัยกลางคนร้านเลียนแบบเห็นเข้าก็รู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมา
เธอตบหัวลูกชายตนเอง แล้วบอกให้เขาไปยืนหน้าร้านและตะโกนเหมือนกับเซี่ยชิงหยวน
ทว่าใครจะไปรู้ เด็กชายมองดูฝูงชนที่เดินไปมาด้วยความเขินอายและไม่กล้าพูดอย่างที่มารดาสั่ง
ผู้หญิงคนนั้นหมดความอดทนและยื่นเท้าออกไปเตะก้นของลูกชาย เด็กชายจำต้องยืนขึ้นด้วยความเสียใจ
เขาอาจจะยังเขินอายอยู่บ้าง เสียงของเขาจึงไม่ได้ดังอย่างที่ควรจะเป็น และมีแนวโน้มที่จะเบาลงเรื่อย ๆ ด้วย
แน่นอนว่า หญิงวัยกลางคนคนนี้คงไม่สามารถทิ้งงานชั่งน้ำหนักและคิดเงินให้เป็นหน้าที่ของเด็กชายตัวน้อยได้ เธอจึงทำได้เพียงเฝ้ามองลูกค้าบางคนที่เดินผ่านไปยังร้านของเซี่ยชิงหยวนเท่านั้น
ในที่สุดหลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง อาหารจานเย็นที่บรรทุกเต็มคันรถของเซี่ยชิงหยวนก็ขายจนหมดเกลี้ยง
เซี่ยชิงหยวนกับเจียงเพ่ยหลานมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มอันแสนเหนื่อยล้า เก็บข้าวของและเตรียมตัวกลับบ้าน
เมื่อเทียบกับตอนแรก ขณะนี้มีเพียงลูกค้าสองสามคนเท่านั้นที่คนยืนอยู่หน้าแผงขายสลัดเย็นของผู้หญิงวัยกลางคน ยิ่งไปกว่านั้น สลัดเย็นครึ่งหนึ่งที่เธอนำมาขายยังไม่หมดอีกด้วย เธอจึงรู้สึกไม่เต็มใจและเดินมาที่รถสามล้อของเซี่ยชิงหยวน มองดูพวกเธอด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
หนังตาของเซี่ยชิงหยวนกระตุก “มีอะไรเหรอคะ?”
น้ำเสียงของเธอทั้งสงบและไม่ได้ร้อนรน
ผู้หญิงคนนั้นแทบสำลักก่อนจะพูดว่า “เธอไม่ควรเรียกลูกค้าแบบนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะราวกับว่าเธอได้ยินเรื่องที่ตลกเป็นพิเศษ
เธอมองผู้หญิงคนนั้นด้วยดวงตาเย็นชา “คุณขายอาหารเลียนแบบคนอื่น แถมยังใช้แผนการกดราคาสินค้าเพื่อแข่งขันกับฉันอย่างโหดร้าย ถึงยังไงฉันก็เป็นต้นตำรับที่ทำมาก่อนไม่ใช่หรือยังไงคะ?”
ผู้หญิงคนนั้นเข้าใจคำพูดของเซี่ยชิงหยวนเพียงครึ่งเดียว และไม่เข้าใจอีกครึ่งหนึ่ง
เพื่อไม่ให้ดูด้อยกว่า หญิงวัยกลางคนจึงเท้าสะเอว “อย่าพูดวกไปวนมาได้ไหม ฉันฟังไม่เข้าใจ”
เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองของเซี่ยชิงหยวน เธอรู้สึกว่ายิ่งพูด เธอก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
“ฉันขอแนะนำคุณสั้น ๆ แล้วกัน อย่าทำแบบนี้อีกในอนาคต”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นคนที่มั่นใจมากขนาดนี้หลังจากถูกทำให้พ่ายแพ้ย่อยยับ”
เซี่ยชิงหยวนยืนหลังตรง ก่อนจะเลิกคิ้วคล้ายรู้สึกแปลกใจเสียเต็มประดา “ทุกคนสามารถทำธุรกิจได้อย่างอิสระ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องทำตามที่คุณบอก ส่วนวิธีการทำนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ฉันไม่ได้ขโมยหรือปล้นใครมา ฉันไม่ได้ละเมิดกฎหมาย ดังนั้นต่อให้เง็กเซียนเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อห้ามปรามฉัน ฉันก็ไม่ทำ เพราะฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน”
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะเอาเวลาไปพัฒนากิจการของตัวเองให้ดี หรือถ้าคุณมีข้อโต้แย้งเพิ่มเติม เราสามารถไปคุยกันได้ที่สำนักงานรักษาความปลอดภัย คุณจะลองไปดูไหมล่ะ!”
สามีของหญิงวัยกลางคนรีบเดินเข้ามา
เดิมที เขาต้องการเข้ามาช่วยภรรยาของตัวเองพูด แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ เพราะได้รับความเย็นชาที่ส่งมาจากสีหน้าของเซี่ยชิงหยวน
แม้หญิงสาวจะเดินผ่านเขาไป เจ้าตัวก็ต้องก้มหัวอย่างรู้สึกผิด
หลังจากเดินไปสองสามก้าวแล้ว เจียงเพ่ยหลานจึงค่อยกล้าพูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ชิงหยวน เมื่อกี้เธอน่าทึ่งมากจริง ๆ ”
ผู้หญิงวัยกลางคนนั้นทั้งแข็งแรง ดูดุร้ายและเอาแต่ใจมาก เจียงเพ่ยหลานไม่กล้าพูดกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
เซี่ยชิงหยวนเข็นรถสามล้อขณะตอบ “คนพวกนั้นเป็นพวกชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง พอเห็นเราเป็นแค่ผู้หญิงสองคน พวกเขาจึงคิดว่าจะรังแกเราได้ง่าย ๆ”
ไม่อย่างนั้น คนดีที่ไหนจะกล้าแย่งธุรกิจคนอื่นอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนั้น?
โดยไม่มีการอ้อมค้อมใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนกับเจียงเพ่ยหลานดูเป็นพวกไม่กล้าต่อต้านอย่างนั้นน่ะเหรอ?
อันที่จริง นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สามีของหญิงวัยกลางคนจะไม่เดินเข้ามาตั้งแต่แรก มันเป็นเพราะเขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยชิงหยวนจะไม่ยอมคนขนาดนี้
เจียงเพ่ยหลานพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ใช่ ในอนาคตเธอต้องเข้มแข็งมากกว่านี้แน่นอน”
เธอหันกลับมาและกล่าวอีกว่า “ยังไงก็เถอะ ฉันก็เริ่มกังวลแล้วเหมือนกัน เธอเห็นไหมว่าอาหารของเราวันนี้ไม่มากเท่าเมื่อวาน แต่เราต้องใช้เวลาขายนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ถ้าพรุ่งนี้พวกเขามาไม้อื่นอีก เราจะทำยังไง”
เซี่ยชิงหยวนลูบมือของอีกฝ่าย “เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก แค่ช่วยฉันขายอาหารดี ๆ ก็พอ ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เจียงเพ่ยหลานก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง “ได้สิ ฉันจะทำงานให้หนักขึ้นนะ!”
หลังจากกล่าวอำลากับเจียงเพ่ยหลานแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ถีบสามล้อของเธอกลับบ้านคนเดียว
เมื่อคืนเธอรับศึกหนักมาก ดังนั้นขณะที่ขี่สามล้อ ขาของเธอก็รู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย
โดยเฉพาะบริเวณสะโพกและจุดที่นั่งทับเบาะรองนั่งนั้นไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก
เธอสาปแช่งเสิ่นอี้โจวในใจอีกครั้ง
เมื่อคืนเขาเกลี้ยกล่อมเธอครั้งแล้วครั้งเล่าโดยบอกว่ามันเป็นรอบสุดท้าย แต่หลังจากพูดอย่างนั้นทุกครั้ง เขาก็จะทำมันอีก
เขาในชาติที่แล้วไม่เคยเป็นแบบนี้
เธอจำได้ว่าเมื่อตัวเองร้องไห้ เขาจะหยุดทันทีและไม่กล้าขยับตัวอีก
แม้ว่าคราวนี้จะไม่เจ็บปวดเหมือนชาติที่แล้วอีก และยังรู้สึกสนุกไปกับมันได้ แต่เธอก็ไม่อาจทนต่อการถูกกระทำตลอดทั้งคืนแบบนี้ได้
เมื่อเธอกัดฟันและขี่สามล้อไปที่ประตูใหญ่ของเขตที่พัก หญิงสาวก็บังเอิญเจอกับเสิ่นอี้โจวโดยไม่คาดคิด
———————–