กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 118 ฉันเรียนรู้จากชาติที่แล้ว
บทที่ 118 ฉันเรียนรู้จากชาติที่แล้ว
บทที่ 118 ฉันเรียนรู้จากชาติที่แล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวน ทุกคนที่อยู่โดยรอบก็หัวเราะ
ทันใดนั้น สีหน้าของหญิงวัยกลางคนก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำสลับขาว ซึ่งดูน่าเกลียดไม่น้อย
เธอกระทืบเท้า “แก…แกคิดจะรังแกพวกฉันแม่ลูกด้วยปากเน่า ๆ นั่นน่ะเรอะ!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ไม่เพียงเซี่ยชิงหยวนเท่านั้นที่หัวเราะ แต่ลูกค้าที่กำลังดูการแสดงอยู่ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนถาม “บอกฉันทีสิว่าฉันรังแกคุณตอนไหน แต่เป็นคุณไม่ใช่เหรอที่เริ่มยั่วยุฉันก่อน ตั้งแต่ต้นยันจบคุณเป็นคนเริ่มเองนะคะ?”
จากนั้นเธอมองไปยังฝูงชน “ทุกคนโปรดแสดงความคิดเห็นที พวกคุณคิดยังไงคะ? มันเป็นอย่างที่ฉันพูดไหม?”
มีคนโห่ร้องทันที “ใช่! ถ้าพูดถึงเรื่องแย่งธุรกิจ คุณก็ทำตัวเองไม่ใช่รึไง!”
“ใช่ ๆ คนเขาอุตส่าห์ตั้งร้านขายตรงนี้ก่อนแท้ ๆ”
“มีร้านขายหมูขายผักตั้งเยอะตั้งแยะ คุณคิดได้ยังไงว่าจะขายอยู่ได้เจ้าเดียวน่ะ?”
“หัดเจียมตัวซะบ้างเถอะ!”
คนอื่น ๆ เริ่มวิจารณ์ผู้หญิงคนนั้น หากร้านของเธอไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่ เธอคงผลักไสพวกเขาไปแล้ว
เด็กชายยืนอยู่ทางด้านหลังอย่างกระวนกระวาย เขามองดูเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยสายตาปริบ ๆ ราวกับกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ชายที่ร้านขายของชำฝั่งตรงกันข้ามออกมายืนแถวประตูร้านตัวเอง มองดูรอบ ๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอยกลับเข้าไปในร้านตัวเอง
ผู้หญิงวัยกลางคนไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยชิงหยวนจะร้ายกาจขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ภายนอกดูบอบบางและอ่อนแอแท้ ๆ
เธอตะโกนลั่น “เงียบเดี๋ยวนี้นะ! เธอทำกับฉันแบบนี้แล้วคิดว่าฉันจะหนีไปหรือไง? ฉันแค่ไม่อยากเถียงเท่านั้นเอง!”
ขณะพูด เธอก็ผลักผู้คนรอบตัวออกไป และกลับไปที่แผงขายของโดยแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีเพียงริมฝีปากที่สั่นเทาของเธอเท่านั้น ซึ่งเผยให้เห็นความตื่นตระหนกในใจของเธอ
เธอยังมองเข้าไปในประตูร้านขายของชำ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้เห็นชายคนนั้นออกมาอย่างที่คาดหวัง
จากนั้นเธอก็มองไปยังเด็กชาย
หญิงคนนั้นตบหัวเด็กชายไปทีหนึ่ง “ทำไมแกเอาแต่มองอย่างเดียว ทำไมแกไม่ช่วยฉันฮะ?”
เด็กชายกุมหัวที่ถูกทุบตีด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่กล้าร้องไห้
เมื่อทุกคนเห็นแบบนั้น บางคนก็พูดออกมาเพื่อเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย “เฮ้ คุณระบายความโกรธใส่เด็กแบบนี้ได้ยังไง”
“เด็กไม่ได้ยั่วโมโหคุณสักหน่อย ไหงทำแบบนั้นเล่า”
ความสุภาพบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคนเลือนหายไปในทันที
ใบหน้าของเธอแดงก่ำก่อนจะตะโกนออกมา “ฉันเบ่งมันออกมาด้วยตัวเอง ดังนั้นฉันจะทำอะไรกับลูกฉันก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องของคุณด้วยซ้ำ!”
เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเริ่มโจมตีอย่างไม่เลือกหน้า ทุกคนก็เดินจากไป
พวกเขาเดินเข้ามาที่แผงขายสลัดเย็นของเซี่ยชิงหยวน
เมื่อมองไปยังสลัดเย็นของหญิงสาว พวกเขาก็ไม่อาจละสายตาจากมันได้เลย
หลายคนส่ายหัวและมองไปที่แผงขายของผู้หญิงวัยกลางคน หลังจากเห็นป้ายราคาของเซี่ยชิงหยวน
พวกเขาก็ยังคิดอยู่ดีว่า ราคาอาหารของเซี่ยชิงหยวนแพงกว่าหญิงวัยกลางคนเกือบสองเท่า
แต่แค่มองด้วยตาเปล่าก็รู้แล้วสลัดเย็นของหญิงสาวนั้นเตรียมมาอย่างดี
ดังนั้นทุกคนที่ชั่งใจก็เริ่มซื้อสลัดเย็นของเซี่ยชิงหยวน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หญิงวัยกลางคนก็รีบตะโกน “เฮ้ กลับมาเร็ว! ที่นี่ถูกกว่านะ!”
แต่คำตอบเดียวที่เธอได้รับคือแผ่นหลังที่กำลังจากไปของทุกคน
แม้แต่คนที่มาในภายหลังก็เข้าร่วมฝูงชนซื้อสลัดเย็นจากร้านของเซี่ยชิงหยวน โดยไม่มีเหตุผลแน่ชัด
สำหรับผู้หญิงแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนไม่คิดจะเห็นใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
การขายของเลียนแบบไม่ใช่ปัญหา หากคุณเห็นว่าสิ่งนั้นมันดีจริง
แต่มันก็ไม่ควรก่อกวนกันและกันหรือเปล่า
ที่ลูกค้าคนหนึ่งพูดก็ถูกต้อง ถ้าคนหนึ่งขายหมู ทำไมคนอื่นจะขายไม่ได้บราวนี่ออนไลน์
เจียงเพ่ยหลานดูลังเลและดูอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไร
เธอย่อมไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด
ต้องขอบคุณลูกค้าหญิงคนแรก เซี่ยชิงหยวนขายอาหารหมดอย่างรวดเร็วและได้กลับบ้านในที่สุด
เซี่ยชิงหยวนยังจำเรื่องการสอนอ่านเขียนให้แก่อาเซียงและอาจ้วงได้ ดังนั้นเธอจึงไปที่ร้านเครื่องเขียนเพื่อซื้อดินสอและกระดาษกลับมา
เธอซื้อดินสอสองแท่งสำหรับเด็กแต่ละคน ดินสอสี่แท่งมีราคารวมหนึ่งเหมา
เธอหยิบหนังสือคัดลายมืออีกสองเล่มเพื่อให้พวกเขาได้ฝึกเขียนด้วย
เมื่อกลับถึงบ้าน เธอก็เริ่มทำอาหาร
อาหารจานหลักคือปลาเกล็ดเงินต้ม
เสิ่นอี้โจวยิ้ม “ทักษะการทำอาหารของคุณเทียบได้กับพ่อครัวเลย”
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้มเช่นกัน “แน่นอน ฉันคือ…”
เธอหยุดกึกกลางคัน
เสิ่นอี้โจวยังคงมองเธออย่างอ่อนโยน
เซี่ยชิงหยวนกำลังคิดว่า ตัวเองจะสารภาพกับเสิ่นอี้โจวว่าเธอกลับมาเกิดใหม่ยังไงดี
แต่มันจะดูบุ่มบ่ามไปหน่อยไหม?
เธอวางตะเกียบลงและพูดด้วยความลังเล “ถ้า…ฉันบอกว่าฉันเรียนการทำอาหารมาจากชาติที่แล้วคุณจะเชื่อไหม”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ดวงตาของเสิ่นอี้โจวก็แข็งค้าง
เขาวางตะเกียบลงและจ้องเธอเขม็ง
ทุกอย่างเงียบลงในเวลาสั้น ๆ จากนั้นเขาก็ยิ้ม “ผมเชื่อ”
เซี่ยชิงหยวนเห็นท่าทางของเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายเพียงล้อเล่นเท่านั้น
จู่ ๆ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมา “นั่นแหละ ฉันก็คิดว่ามันไร้สาระเหมือนกัน”
หลังจากพูดจบ เธอก็ก้มกินข้าวอีกครั้ง
ทันใดนั้น เสิ่นอี้โจวก็เอื้อมมือมาจับเธอไว้
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้น เห็นแววตาอันสงบนิ่งของเขา
เขาพูดย้ำอีกครั้ง “ผมเชื่อ”
เขาเป็นคนที่มาเกิดใหม่เช่นกัน แล้วทำไมเขาจะไม่เชื่อเธอ?
แม้ว่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์นี้จะต่ำมาก
แม้เขาจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนสองคนจะเกิดใหม่พร้อมกัน
แต่สำหรับเขาแล้ว เรื่องนั้นไม่สำคัญเลย
เพราะเธอกลับมาหาเขาแล้ว
ไม่มีใครพรากเธอไปได้
แม้ว่าพวกเขาจะต้องตกนรกด้วยกัน เขาก็จะกอดเธอไว้ให้แน่นที่สุด
เมื่อเห็นแววตาที่ลุ่มลึกขึ้นเรื่อย ๆ ของเสิ่นอี้โจว เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นกลับมาอีกครั้ง
มันราวกับยาวนานนับพันปี ทั้งยาวนานและหนักอึ้ง เหมือนมีคนเฝ้าดูอยู่ตลอดและเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกแบบนี้
ก่อนเธอจะมีเวลาค้นหาว่าเสิ่นอี้โจวเชื่อจริงหรือไม่ เธอพยายามหาหัวข้อสนทนาอื่นเพื่อเบี่ยงเบนจากความรู้สึกอันแปลกประหลาดนี้
เธอพูดว่า “คุณบอกเรื่องงานกับพี่รองของฉันหรือยังคะ”
เสิ่นอี้โจวพูดเบา ๆ “ผมบอกไปแล้วเมื่อเช้านี้”
“อืม” เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “แล้วเขาพูดอะไรไหม”
เสิ่นอี้โจวนึกถึงบทสนทนานั้น เขาก็พูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม “พี่รองบอกว่า ขอบคุณมาก”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
เธอจำได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่รองกับเสิ่นอี้โจวนั้นไม่ค่อยเป็นมิตรกันไม่ใช่เหรอ
ราวกับต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย เสิ่นอี้โจวจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง
ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกโล่งใจ บางทีหลังจากหางานให้เซี่ยจิ่งเฉินในครั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างชายทั้งสองอาจจะดีขึ้นก็ได้
เสิ่นอี้โจวจับมือเธอ “ผมทำได้ดีขนาดนี้ ไม่ควรได้รับรางวัลเหรอครับ”
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจทันทีว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
เธอตีมือเขาและชี้ไปที่จานบนโต๊ะ “นี่ไม่ใช่รางวัลของคุณหรือไง แถมวันนี้ฉันยังเอาอาหารไปให้คุณตอนเที่ยงด้วย”
เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วและยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ผมอยากกินอย่างอื่นด้วยนี่นา”