กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 120 แม่สาวหอยทาก
บทที่ 120 แม่สาวหอยทาก
บทที่ 120 แม่สาวหอยทาก
เซี่ยชิงหยวนโผล่หัวออกมาจากใต้ผ้านวม
ผมของเธอยุ่งเหยิงและแก้มของเธอก็แดงมาก
เล็บของเธอข่วนแผ่นหลังของเสิ่นอี้โจวจนทิ้งรอยแดงเอาไว้
เธอหอบหายใจและพูดว่า “คุณเพิ่งบอกว่าตัวเองมีงานต้องทำนี่คะ”
เสิ่นอี้โจวจับเธอหันอีกครั้ง “ไม่เป็นไร ผมจะทำงานล่วงเวลาวันหลัง”
เซี่ยชิงหยวน “อย่านอนดึก…มันไม่ดี… อื้ม!”
เสิ่นอี้โจว “ไม่เป็นไรนาน ๆ ที”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าสมองของเธอประมวลไม่ทันแล้ว
เธอไม่มีแรงแม้แต่จะผลักมือเขาออกไป
เธออยากจะบอกว่า เขานอนดึกมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว
เมื่อสองวันก่อนเขาก็ตรึงร่างของเธอไว้แบบนี้
แต่ตอนนี้เธอไม่มีแรงเลย หญิงสาวจึงทำได้เพียงเชิดหน้าขึ้นและเม้มริมฝีปาก
กระโปรงชุดนอนของเธอถูกเลิกขึ้นไปถึงเอว ดอกไม้ไฟระเบิดขึ้นในความคิดของเธอ
บางอย่างที่เธอคิดว่าเหมือนเดิม อันที่จริง มีหลายอย่างเริ่มแตกต่างออกไป
จนแล้วจนรอด เสิ่นอี้โจวก็ไม่ได้ทำงานล่วงเวลา
ไม่รู้ว่าเซี่ยชิงหยวนร้องไห้ไปกี่รอบ แม้แต่ตัวเธอเองก็จำไม่ได้
สิ่งเดียวที่หญิงสาวรู้ก็คือเธอจะไม่สวมชุดนอนตัวนั้นอีก
เสิ่นอี้โจวโน้มกายเข้ามาใกล้หูของเธอและพูดว่า “ถ้าเราลองอีกสองสามครั้ง บางทีคุณอาจจะตั้งท้องก็ได้”
ทันใดนั้น ความคิดของเซี่ยชิงหยวนก็ถูกดึงกลับจากการโต้คลื่นทะเลที่กำลังซัดขึ้นลงชั่วขณะ
เธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลายเป็นประโยค “อืม”
กว่าเสิ่นอี้โจวจะปล่อยเธอไปก็ตอนที่แมลงในป่าผล็อยหลับไปแล้ว
เธอหลับไปในอ้อมแขนแกร่งด้วยความอ่อนเพลีย
ไม่รู้ว่าเธอฝันถึงอะไรแต่มีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏที่มุมปาก
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น เสิ่นอี้โจวก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว
แม้แต่น้ำสะอาดยังตั้งอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
ไม่ว่าเซี่ยชิงหยวนจะคิดเห็นมากมายเพียงใดเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญครั้งใหม่ของเธอ หญิงสาวก็ไม่อาจกลับสู่สภาพเดิมได้โดยเร็ว
แต่เมื่อเธอเห็นรอยข่วนที่บริเวณลำคอและใบหน้าของเขา เธอก็แทบจะร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
เธอปิดปากของตัวเองทันที
เสิ่นอี้โจวคลายคิ้วขณะเช็ดมือให้เธอ
เขามองเธอแล้วพูดว่า “คุณลืมไปแล้วหรือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของใคร”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเขินอายในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินเสิ่นอี้โจวพูดแบบนี้ ความรู้สึกผิดของเธอก็สลายไปมากในทันที
เธอทำหน้ามุ่ยด้วยความโกรธ “ฮึ่ม ใครจะไปรู้เล่า”
เสิ่นอี้โจวเอื้อมมือออกไปพลางพยักหน้า “ก็ถูก บางทีอาจจะเป็นปีศาจสาวตัวเล็ก ๆ บางตัวก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้ว “ฮิฮิ”
มือของเซินอี้โจวหยุดชะงักไป
การหัวเราะของเซี่ยชิงหยวน “ฮิฮิ” ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินตั้งแต่เมื่อคืน
เขาพูดว่า “หัวเราะแบบนี้แปลว่าคุณเห็นด้วยสินะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว “เข้าใจแบบนั้นได้ก็ดี”
เสิ่นอี้โจวเลียนแบบเธอ “ฮิ”
เซี่ยชิงหยวนมองเนื้อนุ่มรอบเอวของเขาแล้วหยิกอย่างหมั่นไส้ “ทำไมคุณต้องทำเลียนแบบฉันด้วย?”
เสิ่นอี้โจวแสร้งทำเป็นเจ็บปวด “คุณทำให้ผมรู้สึกผิดอีกแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนกลั้นเอาไว้ไม่ไหวจนต้องระเบิดหัวเราะออกมา
เธอเหยียบไปที่หลังเท้าของเขา
จากนั้นเธอก็เดินตามเขาไป “เสิ่นอี้โจว คุณไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
ชายหนุ่มพยายามทำเมินอาการปวดตุบ ๆ ที่ต้นขาของตัวเอง
เขากะพริบปริบ ๆ และพูดว่า “คุณก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน”
เซี่ยชิงหยวนพูดตรง ๆ “ฉันพูดตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่า ฉันเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว”
เสิ่นอี้โจวสวนกลับทันที “ผมก็ได้บทเรียนมาจากชาติที่แล้วเหมือนกัน”
ความลับที่ทั้งสองฝ่ายมีอยู่ถูกเปิดเผยด้วยน้ำเสียงติดตลก
ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นไม่มีใครเชื่ออย่างจริงจัง
เซี่ยชิงหยวนขมวดคิ้ว “คุณเลียนแบบฉันอีกแล้ว”
ดวงตาของเสิ่นอี้โจวจดจ่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไป
“เป็นครรลองของฟ้าดิน”
หลังจากเสิ่นอี้โจวไปทำงาน เซี่ยชิงหยวนก็ซักเสื้อผ้าและไปรับอาเซียงกับอาจ้วงจากประตูใหญ่มาที่บ้าน
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เธอคิดว่าอาหารของเธอน่าจะขายดีกว่าเดิมในวันนี้ ดังนั้นเธอจึงสั่งซื้อผักมาหนึ่งร้อยจิน
นอกจากนี้ยังมีวุ้นเส้นที่เธอเตรียมไว้ด้วย จึงทำให้อาหารในวันนี้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งร้อยยี่สิบจิน
เซี่ยชิงหยวนหยิบดินสอและกระดาษที่เธอเตรียมไว้เมื่อวานออกมา แล้วมอบให้เด็กทั้งสอง “รับไปสิ มันเป็นของขวัญจากฉันในฐานะครูของพวกเธอ”
อาเซียงกับอาจ้วงรีบโบกมือปฏิเสธ “พี่เซี่ย เรารับไว้ไม่ได้หรอก!”
แค่ตอนนี้พวกเขาก็รบกวนเซี่ยชิงหยวนมากมายอยู่แล้ว แล้วพวกเขาจะให้เธอซื้อของให้แก่พวกเขาอีกได้อย่างไรกัน?
เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นโกรธและพูดว่า “มันไม่ใช่สิ่งที่มีค่าอะไรมากมาย มันจะมีความหมายมากที่สุด ถ้ามอบให้กับพวกเธอเพื่อได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของอาเซียงกับอาจ้วงก็แดงก่ำทันที
พวกเขารับดินสอและสมุดมาด้วยสีหน้าจริงจัง “เราจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างยินดี
หญิงสาวถามพวกเขาว่า “เมื่อวานนี้พี่เขยของพวกเธอสอนคำศัพท์อะไรให้บ้าง”
อาเซียงกับอาจ้วงหยิบสมุดบันทึกที่เย็บด้วยมือออกมา และกางให้เซี่ยชิงหยวนอ่าน
อาจ้วงพูดว่า “เมื่อวานเราได้เรียนรู้ตัวอักษรมากมายเลยฮะ”
เซี่ยชิงหยวนก้มมองสมุดบันทึก เสิ่นอี้โจวสอนอักษรหกตัวให้แก่พวกเขาแล้ว ‘สวรรค์ โลก มนุษย์ คุณ ฉัน เขา’
ถัดลงมาด้านล่างคือ ‘ปักกิ่ง จัตุรัสเทียนอันเหมิน ธงแดงห้าดาว’ และ
‘ฉันรักสาธารณรัฐประชาชนจีน’
เธอจำได้ว่านี่เป็นบทเรียนภาษาจีนสำหรับเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง
เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “วันนี้พวกเธออยากเรียนอะไรเป็นพิเศษไหม”
อาเซียงตอบว่า “เมื่อวานนี้พี่เขยเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับปักกิ่ง เทียนอันเหมิน และประเทศของเรา”
เซี่ยชิงหยวนต้องบอกว่าวิธีการสอนของเสิ่นอี้โจวนั้นดีมาก
ชายหนุ่มไม่เพียงสอนพวกเขาให้อ่านออกเขียนได้ แต่ยังทำให้พวกเขาได้สัมผัสกับสิ่งที่สวยงามเหล่านั้นด้วยคำพูด ทั้งยังเปิดโลกทัศน์ของพวกเขาอีกด้วย
เซี่ยชิงหยวนมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความโหยหาของพวกเขาและพูดว่า “ฉันไม่เคยไปเมืองหลวงก็จริง แต่ฉันเล่าเรื่องเกี่ยวกับดินแดนทางตอนใต้ของประเทศของเราได้นะ”
“ดินแดนทางใต้?” สำหรับอาเซียงและอาจ้วง ดินแดนทางตอนใต้นั้นเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลมาก
พวกเขาเคยได้ยินว่ามีบางคนที่นี่ไปทำงานที่ดินแดนทางใต้ด้วย
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมทางใต้ถึงมีดีและดึงดูดให้ผู้คนรู้สึกโหยหาได้มากขนาดนี้
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่ ประเทศของเรากำลังจะมีการปฏิรูปให้เปิดกว้างขึ้น เมืองเซินเจิ้นทางตอนใต้เป็นเมืองทดลองแห่งแรกของเรา”
เธอเดินทางออกจากหมู่บ้านซีสุ่ย และย้ายไปทำงานที่เมืองเซินเจิ้นในภายหลัง
เรียกได้ว่าคุ้นเคยกับดินแดนนั้นเป็นอย่างดี
ขณะที่เล่าเรื่องเมืองเซินเจิ้นให้พวกเขาฟัง เธอก็สอนคำศัพท์บางคำให้พวกเขาด้วย
อาเซียงเขียนคำว่า ‘เซินเจิ้น’ ด้วยลายมือบิด ๆ เบี้ยว ๆ แล้วพูดว่า “พี่เซี่ย ฉันจะไปเซินเจิ้นด้วย!”
เซี่ยชิงหยวนนึกถึงธุรกิจเสื้อผ้าที่ตัวเองกำลังจะทำ เธอก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “ได้สิ ตราบใดที่เธอทำงานหนัก มันจะเป็นจริงได้แน่นอน”
เมื่ออาเซียงกับอาจ้วงเรียนจบบทเรียนของวันนี้ พวกเขาก็รั้งอยู่ต่อเพื่อช่วยเซี่ยชิงหยวนล้างผัก
หญิงสาวคิดคำนวณอยู่หนึ่ง หากเป็นแบบนี้ สี่สิบนาทีก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า อีกทั้งเธอยังล้างผักได้เร็วขึ้นด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา
เมื่อเธอขี่จักรยานสามล้อไปถึงตลาดผัก แผงขายอาหารของผู้หญิงวัยกลางคนก็ยังตั้งอยู่ที่นั่นเช่นเดิม
แต่ราคาของป้ายถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นสามเหมาต่อจินซะแล้ว
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองจานสลัดเย็นที่วางอยู่ตรงหน้าแผงขายของหญิงวัยกลางคน เมื่อเทียบกับสีทึม ๆ ตามปกติ ผักสลัดของวันนี้ดูสดใสกว่ามาก
ดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนได้เรียนรู้จากเซี่ยชิงหยวน และพยายามทำตามแนวทางของคุณภาพและการบอกเล่าปากต่อปากจากลูกค้า
แต่ชื่อเสียงที่พังทลายไปแล้วจะเรียกกลับคืนมาอย่างง่ายดายได้ยังไง?
ถึงอย่างนั้น เซี่ยชิงหยวนก็ยังเชื่อมั่นว่าฝีมือของเธอเหนือกว่าอีกฝ่าย
เมื่อผู้หญิงวัยกลางคนเห็นเซี่ยชิงหยวน เธอก็กลอกตาพร้อมกับแสดงความเป็นศัตรูออกมาทันที
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้สนใจอีกฝ่าย แต่กำลังจัดเตรียมของขายอย่างใจเย็นเช่นที่ผ่านมา
อีกทั้งวันนี้ยังขายหมดเกลี้ยงอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้
ทว่าในขณะที่หญิงสาวกำลังขายของ คู่แข่งก็ยังคงตะโกนเรียกลูกค้าที่กำลังเดินไปทางร้านของเซี่ยชิงหยวนให้กลับมาหาตน
เมื่อผู้คนมองอาหารของเซี่ยชิงหยวน สลับกับอาหารของร้านหญิงวัยกลางคน พวกเขาก็รู้สึกว่ามันแตกต่างกันเหลือเกิน
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนกับเจียงเพ่ยหลานจึงขายอาหารหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยา
เซี่ยชิงหยวนอารมณ์ดีเสียจนเผยรอยยิ้มที่มุมปากในระหว่างทางกลับบ้าน
ในเย็นวันนั้น เสิ่นอี้โจวก็กล่าวกับเธอว่า “เราจะออกเดินทางไปที่หมู่บ้านซีสุ่ยพรุ่งนี้เช้านะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนได้บอกอาเซียงและอาจ้วงรวมถึงเจียงเพ่ยหลาน และลูกค้าของร้านทั้งหมดแล้วว่าเธอต้องลากลับบ้านสองวัน
และเธอย่อมไม่กลัวว่าลูกค้าจะถูกหญิงวัยกลางคนแย่งไป
เพราะยิ่งเมื่อคุณชอบและชินกับอะไรสักอย่าง เมื่อจู่ ๆ มันหายไป มันก็จะยิ่งทำให้ผู้คนคิดถึงมากขึ้นเท่านั้น
เพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากนี้ หญิงวัยกลางคนคงจะมีความสุขได้มากหน่อย
เซี่ยชิงหยวนพูดขึ้น “พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อของเพื่อเอาไปฝากคนที่บ้าน”
ถ้าไปเยี่ยมแต่ครอบครัวของสามีของเธอ พวกเขาคงไม่จำเป็นต้องซื้อของมากมาย
แต่ว่าก่อนที่เธอจะจากมา คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านต่างส่งสิ่งของบางอย่างให้เธอเพื่อช่วยเหลือ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อพวกเขากลับไปยังหมู่บ้านซิ่งฮวา พวกเขาก็ต้องเตรียมบางอย่างไปฝากเพิ่มด้วย
เสิ่นอี้โจวยิ้ม “คุณไม่ต้องกังวลหรอก ผมเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนอดประหลาดใจไม่ได้ “คุณเป็นแม่สาวหอยทากหรือไง?”
เขาทำงานยุ่งมาก หญิงสาวจึงไม่รู้ว่าเขาเอาเวลาไหนไปเตรียมตัว
มุมปากของเสิ่นอี้โจวแย้มยิ้มบาง “ก็ใกล้เคียงนะ”
ดังนั้นสิ่งของทุกอย่างที่จะเตรียมกลับไปที่บ้านของพวกเขาจึงถูกเตรียมไว้หมดแล้ว
เซี่ยชิงหยวนเพียงแค่เก็บเสื้อผ้าแล้วเตรียมพาตัวเองกลับบ้านแค่นั้น
พวกเขาขึ้นรถที่ได้รับมาจากหน่วยงาน และเสี่ยวหลิวก็เป็นคนขับเช่นเคย
มีถนนบนภูเขาหลายสายที่มุ่งตรงจากเมืองเตียนเฉิงไปยังหมู่บ้านซีสุ่ย มันใช้เวลาขับรถนานมาก ดังนั้นเสิ่นอี้โจวกับเสี่ยวหลิวจึงต้องผลัดกันขับรถ
เมื่อเสิ่นอี้โจวกำลังขับรถ หญิงสาวก็รู้สึกมั่นคงกว่าเสี่ยวหลิวมาก
เซี่ยชิงหยวนสงสัย เสิ่นอี้โจวไปเรียนรู้การขับรถมาตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่เมื่ออยู่ในรถ เธอก็ไม่กล้าคุยกับเขาเพราะไม่ต้องการให้เสียงกระทบต่อการขับรถของอีกฝ่าย
คำถามของเซี่ยชิงหยวนถูกลืมไปหมดสิ้น เมื่อรถของพวกเขาขับผ่านบ้านหลังหนึ่งที่กำลังก่อสร้างในเมือง
เธอมองออกไปทางด้านนอกหน้าต่างและตะโกน “อี้โจว หยุดรถเร็ว!”