กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 124 จุดอ่อน
บทที่ 124 จุดอ่อน
บทที่ 124 จุดอ่อน
เซี่ยชิงหยวนพูดคุยกับเจี่ยต้าฮวาอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงแยกย้ายกลับบ้าน
ก่อนที่เธอจะไปถึงประตูบ้าน หญิงสาวก็เห็นร่างอ้วนท้วมยืนชะเง้อมองอยู่หน้าประตูลานบ้าน
คนที่ทำลับ ๆ ล่อ ๆ นั่นมันผานเยว่กุ้ยไม่ใช่หรือ?
เซี่ยชิงหยวนคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
แต่เธอยังไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวนั้น
ฝีเท้าของหญิงสาวหยุดชะงัก เธอเมินอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง และมุ่งตรงไปยังลานบ้าน
ผานเยว่กุ้ยกลับสังเกตเห็นเธออย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเธอก็ตะโกน “ชิงหยวน!”
เซี่ยชิงหยวนยังคงเดินเข้าไปข้างในบ้านโดยไม่หยุดพัก
เมื่อรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนไม่คิดจะสนใจกับเธอ ผานเยว่กุ้ยก็เริ่มวิ่งด้วยขาสั้น ๆ คู่นั้น
เธอหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเซี่ยชิงหยวนและยิ้มอย่างประจบประแจง “นี่หลานสะใภ้ ฉันเรียกหาเธออยู่นะ”
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้ว “โอ้?”
หญิงสาวมองผานเยว่กุ้ยอย่างดูแคลน “ฉันจำได้ว่าครอบครัวของพวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้วนะคะ?”
ผานเยว่กุ้ยรู้ว่าครอบครัวของเสิ่นอี้โจวไม่ได้มีท่าทีเหมือนเดิมอีกแล้ว แม้จะอยากชี้หน้าด่าอีกฝ่ายเพียงใด เธอก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
หญิงอ้วนสงสัยว่าเสิ่นอี้โจวได้เป็นข้าราชการเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่แบกหน้ามาที่นี่หรอก!
เธอยิ้มและต้องการจับมือของเซี่ยชิงหยวน แต่อีกฝ่ายกลับปัดป้อง
ผานเยว่กุ้ยทำได้เพียงหัวเราะอย่างเคอะเขิน “ลุงของเธอได้ยินว่าวันนี้เธอกลับมาแล้ว เขาจึงให้ป้ามาชวนพวกเธอไปทานอาหารเย็นที่บ้าน”
ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็เข้าใจ
เธอหัวเราะเบา ๆ “ฉันเกรงว่าคงเป็นงานเลี้ยงที่หงเหมินล่ะมั้งคะ*[1]?”
การใช้ข้ออ้างในการเลี้ยงข้าวเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าแก่ระหว่างสองครอบครัวแบบนี้ ย่อมเป็นความคิดของเสิ่นสิงไม่ผิดแน่
เซี่ยชิงหยวนเสยผมที่ปรกหน้าผากของตัวเอง “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
เธอจ้องมองไปยังใบหน้าแดงอันเหี่ยวย่นของผานเยว่กุ้ย “ตอนนี้เราไม่ได้ติดค้างอะไรกันอีกแล้ว ฉะนั้นพวกเราอย่าติดต่อกันอีกเลยจะดีกว่านะคะ”
พูดจบเธอก็เดินผ่านผานเยว่กุ้ยเข้าไปในลานบ้าน
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่แยแสเธอเลยสักนิด ผานเยว่กุ้ยก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ
เธอก้าวขึ้นหน้าอีกสองสามก้าว เพื่อหยุดเซี่ยชิงหยวนไว้อีกครั้ง ใบหน้าของเธอดูไม่ค่อยดีนัก “ชิงหยวน ฉันอุตส่าห์บอกแกไปเกือบหมดแล้วนะ ถึงยังไง เสิ่นสิงก็เป็นพี่ของพ่อสามีแก แกจะมาทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉานไม่ได้ ไม่ใช่รึไง?”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะอย่างโกรธเคือง
ไร้รอยยิ้มในแววตาของหญิงสาว มันหลงเหลือเพียงแต่การเย้ยหยัน
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ถ้าเป็นไปตามที่คุณว่า ฉันควรจะยินดีงั้นสิ? ถ้าพ่อสามียังอยู่ ท่านคงสนับสนุนฉันด้วยสองมือสองเท้าของท่านแน่นอน จะมีใครทำตัวเป็นปลิงดูดเลือดแบบพวกคุณกัน!”
หญิงสาวพูดอย่างเย็นชา “สุนัขที่ดีย่อมไม่ขวางทาง ออกไปให้พ้นซะ!”
หลังจากพูดจบ เซี่ยชิงหยวนก็เดินผ่านผานเยว่กุ้ยและเดินตรงเข้าไปในลานบ้าน
จนกระทั่งประตูปิดดัง ‘ปัง!’
ผานเยว่กุ้ยมองตามแผ่นหลังที่จากไปของเซี่ยชิงหยวน ริมฝีปากของเธอพลันสั่นระริกด้วยโกรธ
เธอสบถเสียงดังไล่หลัง “เป็นบ้าหรือยังไงวะ! คิดว่าเป็นภรรยาของข้าราชการแล้วยิ่งใหญ่นักรึไง? ยังไม่ทันเป็นแม่ไก่ที่ออกไข่ด้วยซ้ำ! ฉันบอกเอาไว้เลย รอก่อนเถอะ…”
‘ปัง!’ เสียงประตูเปิดมาจากด้านใน
เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ข้างในบ้าน ขณะมองผานเยว่กุ้ยอย่างเย็นชา
ดวงตาของหญิงสาวคมปลาบดุจมีด ซึ่งทำให้ร่างกายของผานเยว่กุ้ยเย็นวาบและเจ็บปวด
เธอไม่อาจพูดอะไรได้อีก
หญิงอ้วนหันกลับด้วยความตื่นตระหนกและกำลังจะจากไป
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ผานเยว่กุ้ยก็พบกับหลินตงซิ่วที่กลับมาจากข้างนอก
ขณะที่หลินตงซิ่วกำลังจะทักทาย ผานเยว่กุ้ยจ้องมองไปยังหลินตงซิ่วและจากไปด้วยความโกรธ
หลินตงซิ่วมองไปทางเซี่ยชิงหยวนซึ่งกำลังยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน “คุณแม่ ยินดีต้อนรับกลับค่ะ”
หลินตงซิ่วพยักหน้า “ป้าเยว่กุ้ยของลูกมาที่บ้านของเราทำไมเหรอจ๊ะ?”
ตอนที่เห็นท่าทางของผานเยว่กุ้ยเมื่อครู่ ราวกับอีกฝ่ายไม่พอใจอย่างมาก
เมื่อนึกถึงสีหน้าหาเรื่องของผานเยว่กุ้ย หลินตงซิ่วก็กังวลว่าลูกสะใภ้ของเธอจะถูกรังแก
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้ม “ท่านมาบอกว่าลุงเชิญเราไปทานอาหารเย็นที่บ้านน่ะค่ะ”
เธอมองหลินตงซิ่ว “แต่หนูปฏิเสธไปแล้ว”
หลินตงซิ่วก็พยักหน้า “ใช่ เราจะไม่ไป”
เสิ่นอี้โจวได้บอกเธอเรื่องครอบครัวของเสิ่นสิงทุกอย่างแล้ว ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังเมืองเตียนเฉิง
เธอจึงไม่ใช่คนโง่อีกต่อไป
เซี่ยชิงหยวนค่อนข้างพอใจกับคำตอบของแม่สามี ก่อนจะพยักหน้า “อื้ม!”
ส่วนสิ่งที่ผานเยว่กุ้ยกล่าวก่อนหน้านี้ แม้เธอจะไม่ยอมให้ใครหัวเราะเยาะตัวเอง แต่หญิงสาวก็ต้องยอมรับว่าตราบใดที่เธอกับเสิ่นโจวยังไม่มีลูกด้วยกัน รอยด่างพร้อยนี้ก็ยังจะคงอยู่ต่อไป
ตอนนี้เสิ่นอี้โจวได้กลายเป็นเลขาธิการแล้ว เขาจะมีตำแหน่งที่สูงขึ้นอีกในอนาคต
และเรื่องลูกจะกลายเป็นข้อบกพร่องเดียวของเขา
เสิ่นอี้โจวจะเดินทางไปยังเมืองหลวงของจังหวัดในอีกหนึ่งปีถัดจากนี้ และเมื่อถึงเวลานั้น เธอต้องหาผู้เชี่ยวชาญมารักษาอาการป่วยของเธอให้ได้
…
ไม่นานนัก เสิ่นอี้โจวก็กลับมาถึงบ้านเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนบอกเขาเกี่ยวกับการมาเยี่ยมบ้านของผานเยว่กุ้ย ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมก็เจอเสิ่นอี้เทาเมื่อบ่ายนี้เหมือนกัน”
เมื่อเห็นท่าทีขึงขังของชายหนุ่ม แสดงว่าเขาก็ปฏิเสธเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนตอบ “ตกลง งั้นเราก็ปล่อยพวกเขาไว้อย่างนั้นแล้วกัน”
หลังจากทุกคนทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยช่วงหัวค่ำ เสิ่นอี้โจวก็พาเสิ่นอี้หลินออกไปข้างนอก
เสิ่นอี้หลินกำลังถือตะกร้าไม้ไผ่ขนาดเล็กที่มีฝาปิดปากตะกร้าไว้ เขาพูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “พี่สะใภ้ พี่ชายจะพาผมไปที่ทุ่งนาเพื่อจับกบและปลาไหล!”
เค้าความไม่สบายใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว
“อี้หลินห่วงว่าเขาจะไม่ได้ไปเล่นที่นู่น เขาก็เลยขอให้ผมพาไปด้วยกัน”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ไปสิ ฉันไปด้วย!”
เธอกลับไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบไฟฉาย ก่อนจะเปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะคู่หนึ่งแล้วเดินออกไปด้วยกัน
ตอนที่ยังเป็นเด็ก เธอเคยไปเล่นในทุ่งนากับเซี่ยจิ่งเยว่และเซี่ยจิ่งเฉิน
กบก็เหมือนกับปลาไหล พวกมันเป็นสัตว์ที่จะอยู่นิ่งเมื่อเจอแสงจ้า
หากคุณกะจังหวะได้เหมาะสมและตะครุบอย่างรวดเร็ว คุณจะจับมันได้ไม่ยาก
แต่เมื่อก่อนเป็นช่วงที่ทุกคนขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในทุ่งนาหรือบนภูเขา ตราบใดที่มันพอกินได้ พวกมันก็จะถูกกวาดล้างจนเหี้ยน
มีเพียงดวงตาของเซี่ยจิ่งเฉินเท่านั้นที่เฉียบคมและว่องไว เขาจึงสามารถหาวัตถุดิบที่ทุกคนไม่ทันเห็นได้เสมอ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปากของเซี่ยชิงหยวน
แต่หญิงสาวก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินตามหลังเสิ่นอี้โจวกับเสิ่นอี้หลินไป
เมื่อไปถึงทุ่งนาแห่งหนึ่ง พวกเขานั่งยอง ๆ อยู่ตรงริมคันนาฟังเสียงกบร้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเลือกทิศทางเดินลงไปในทุ่ง
ทว่าความทรงจำที่ถูกปลิงเกาะขาตอนยังเด็ก ทำให้เซี่ยชิงหยวนไม่กล้าลงไป
แต่เนื่องจากความปรารถนาอันแรงกล้า เธอจึงลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะถกขากางเกงขึ้นแล้วเดินตามไป
โคลนเย็นเยียบแทรกผ่านระหว่างนิ้วเท้า สัมผัสของมันมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้
เซี่ยชิงหยวนได้แต่ภาวนาให้ปลิงเหล่านั้นมีนิสัยนอนตอนกลางคืน
เสิ่นอี้โจวสัมผัสได้ถึงความกลัวของหญิงสาว เขาจึงก้าวช้าลงและจับมือเธอไว้
เขาพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ตามผมมาสิ”
เสิ่นอี้หลินที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หันกลับมาและพูดเบา ๆ ว่า “อย่ากลัวเลยพี่สะใภ้ ถ้าพี่เห็นก็แค่ฉายไฟไปทางมันก็พอ”
เขาตบหน้าอกเล็ก ๆ ของตัวเอง “เดี๋ยวผมจะจับพวกมันให้เอง”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ก่อนที่เธอจะตอบว่า “ได้สิ”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงค่อย ๆ จดจ่ออยู่กับการค้นหากบและปลาไหลจนกระทั่งลืมความกลัว
เธอถือไฟฉาย แล้วแสงก็สาดส่องไปบนน้ำ
ทันใดนั้น เธอก็เห็นเนินเขาสีดำขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ
เนินเขาลูกเล็กทั้งสองด้านมีจุดสะท้อนแสงเล็ก ๆ สองจุด
เซี่ยชิงหยวนยังคงไม่แน่ใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอเห็นตุ่มพองโผล่ออกมาจากจุดนั้น เธอรู้ว่าตัวเองคิดถูกแล้ว
จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปสะกิดเสิ่นอี้โจวที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความตื่นเต้นและหวาดหวั่น
[1] งานเลี้ยงที่หงเหมิน หมายถึง การทำทีว่าจัดงานเลี้ยงให้ แต่จริง ๆ ทำไปเพื่อต้องการลอบสังหาร หรือเรียกอีกฝ่ายว่า ‘หลุมพรางลอบสังหารหลิวปัง’
———————–