กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 140 ใครฆ่ากวาง
บทที่ 140 ใครฆ่ากวาง
บทที่ 140 ใครฆ่ากวาง
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินแบบนั้น หัวใจของเธอก็ดิ่งวูบ
ดวงตาของเธอหรี่ลง “อ๋อเหรอ?”
เมื่อสิ้นเสียงสูงนั้น เห็นได้ชัดว่ามันคือประโยคคำถาม
เสิ่นอี้โจวไม่สบายใจเล็กน้อย แต่สีหน้าของเขายังคงสงบเหมือนผิวน้ำ “อืม”
เซี่ยชิงหยวนมองเข้าไปในดวงตาของเขา อยากจะมองทะลุเข้าไปในหัวใจของเขา
คนสองคนที่เคยรู้สึกสนิทกันมาก่อน ทันใดนั้นกับห่างเหิน
และความลับของการไม่ยอมพูดกันดี ๆ คือ เหตุผลประการแรกซึ่งทำให้เกิดความห่างเหินระหว่างคนทั้งสอง
เธอดูจะหมดความสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างในทันใด และไม่ต้องการถามอะไรอีก
อย่างที่มีคนกล่าวไว้ว่า คุณไม่สามารถปลุกคนที่แสร้งทำเป็นหลับได้
แต่วิธีจัดการกับสถานการณ์ในดีขึ้นนั้น เธอยังไม่มีกะใจจะคิดในตอนนี้
เธอชักมือกลับมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ฉันเหนื่อย นอนกันเถอะ”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวหยุดซักไซ้แล้ว เสิ่นอี้โจวก็โล่งใจ
เมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความโศกเศร้าที่สงบลงแต่เดิมของเซี่ยชิงหยวนก็เอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจของเธออีกครั้ง
แต่ถ้าเธอเปิดเผยอีกฝ่ายในตอนนี้ มันจะง่ายเกินไปสำหรับเขา
เนื่องจากเขาชอบการแสดง เธอก็จะแสดงร่วมกับเขา
เซี่ยชิงหยวนหันกลับมา แสร้งทำทีเป็นสบายอารมณ์ จากนั้นเธอก็กล่าวว่า “เมื่อกลางวันฉันโทรไปที่ทำงานของคุณวันนี้ ฉันไม่รู้ว่าใครรับสาย”
เธอยกเท้าเตะต้นขาของเสิ่นอี้โจวเบา ๆ “อี้โจว ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอคะ?”
เสิ่นอี้โจวจำได้ว่าขณะที่เขากับหยวนหงหลี่กำลังคุยกันถึงบางสิ่งบางอย่าง ฉู่ซิงอวี่ก็รับโทรศัพท์แทนเขาโดยบอกว่าโทรมาจากที่บ้าน
เขานึกถึงเซี่ยชิงหยวนทันที
ชายหนุ่มพลันตื่นตัวเมื่อเซี่ยชิงหยวนพูดถึงฉู่ซิงอวี่
เขาตอบอ่อยว่า “เขาเป็นเพื่อนร่วมงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนักงานของผม และเขาจะทำงานภายใต้คำสั่งของผมในอนาคตน่ะ”
“อ้อ” เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าดูราวจะครุ่นคิด
จากนั้นเธอก็เห็นความตึงเครียดบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว
ร่องรอยของความสุขที่ได้รับจากการแก้แค้นแผ่ซ่านอยู่ในใจของเธอ
ตราบใดที่ไม่สารภาพผิดตั้งแต่แรก การโกหกก็จะถูกเติมเต็มด้วยคำโกหกมากขึ้นในวันข้างหน้า
เธอต้องการดูว่าเสิ่นอี้โจวจะปิดเรื่องนี้จากตัวเธอนานแค่ไหน
ดังนั้นหญิงสาวจึงกล่าวต่อว่า “เขาพูดอย่างสุภาพและน้ำเสียงเพราะมากเลยนะ เขาน่าจะเป็นผู้ชายที่ดีทีเดียวใช่ไหมคะ?”
เธอพูดในขณะที่ให้ความสนใจกับท่าทางของเสิ่นอี้โจว
เธอแสดงสีหน้าสบายอารมณ์
เสิ่นอี้โจวบอกไม่ได้ว่าเซี่ยชิงหยวนแค่ถามเล่นหรือคิดอะไรอย่างอื่นอยู่
เพราะปกติเซี่ยชิงหยวนไม่ใช่คนที่จะริเริ่มพูดถึงใครก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยกย่องใครสักคน
ทันใดนั้น เสิ่นอี้โจวก็สับสน
เขายังรู้สึกได้ถึงวิกฤตบางอย่าง
ชายหนุ่มพูดขึ้นว่า “ก็แค่ดูสุภาพเท่านั้น”
เขายอมรับว่าเขาจงใจพูดให้ฉู่ซิงอวี่ดูด้อย
เซี่ยชิงหยวนขมวดคิ้ว “ไม่มีทาง ฉันรู้สึกว่าผู้ชายที่รับสายโทรศัพท์คนนั้นจะต้องเป็นคนที่อ่อนโยนมากแน่ ๆ เลยนะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เสิ่นอี้โจวก็อดกลั้นไม่ได้อีกต่อไป
เขาเลิกคิ้ว “คุณไม่เคยเห็นเขามาก่อน คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนอ่อนโยน?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มขณะที่เล่นกับนิ้วเรียวของเธอ
เธอเลิกคิ้วอย่างแลดูเกียจคร้านแล้วพูดเนิบช้า “มันเป็นการรับรู้โดยสัญชาตญาณค่ะ ว่าถ้าเขาพูดสุภาพแบบนั้น จะต้องเป็นอ่อนโยนมากแน่ ๆ”
รอยยิ้มของเธอชัดขึ้น “หรือคุณว่าไม่ใช่?”
เธอเดินเข้ามาหาและจ้องตาเสิ่นอี้โจว “ถ้ามีโอกาส คุณชวนเขามากินข้าวที่บ้านเราหน่อยสิค่ะ ถ้าทำแบบนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาจะลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ ที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดนั้น เขาไม่ชอบมันเลย
แต่เซี่ยชิงหยวนกลับมองเขาด้วยสายตาตรงไปตรงมา
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าการยกก้อนหินแล้วทุ่มใส่เท้าตัวเองหมายความว่าอย่างไร
ขมับของเขาปวดตุบและตอบว่า “ได้สิ”
เสียงของเขาอู้อี้ มันเป็นน้ำเสียงผิดหวังที่หายาก
เมื่อเห็นเสิ่นอี้โจวเป็นแบบนี้ ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกยินดี
แม้ความสุขจะเคล้ากับความเจ็บปวด แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่คนเดียวที่ไม่สบายใจ
เธอยิ้มอย่างสดใส “เท่านี้แหละ”
ขณะที่พูด หญิงสาวก็หาวออกมา “ฉันง่วงจัง พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นแต่เช้า ดังนั้นเข้านอนแต่หัวค่ำกันเถอะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ล้มตัวนอนทันที
เธอนอนโดยหันหลังให้เสิ่นอี้โจว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันหลังให้แล้ว เสิ่นอี้โจวจึงกล้าที่จะแสดงอารมณ์ของเขาออกมา
เขาสงสัยอีกครั้งว่าเซี่ยชิงหยวนรู้อะไรบางอย่างหรือไม่
เขาต้องไปตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในวันพรุ่งนี้อีกรอบ
ส่วนฉู่ซิงอวี่กับหลิงเยี่ยอะไรนั่นที่ยังไม่มา เขาจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีสิ่งนั้น
ถ้าไม่ได้ผล เขาจะแนะนำผู้หญิงคนอื่นให้สองคนนั้นรู้จัก
เดิมที เขาวางแผนว่าจะทำเรื่องอย่างว่ากับเซี่ยชิงหยวนให้ครบหนึ่งร้อยครั้ง แต่ตอนนี้อารมณ์หนีตะเลิดไปอยู่ที่ไหนแล้วนะ?
เขาปิดไฟและเข้านอนเช่นกัน
เมื่อรู้สึกว่าเสิ่นอี้โจวล้มตัวลงนอนอยู่ข้างตัวเธอแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็มีความต้องการนับครั้งไม่ถ้วนที่จะหันไปถามเขา แต่ในที่สุดหญิงสาวก็อดทนไว้
เธอจะเล่นกับเขา และดูว่าใครกันที่จะเป็นผู้ชนะในที่สุด
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เสิ่นอี้โจวขับรถไปทำงานตามปกติ ส่วนเซี่ยชิงหยวนก็ส่งเขาด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม
ท่าทางของเธอไร้ที่ติ ผู้คนจึงไม่สามารถหาร่องรอยของความผิดปกติได้เลย
ส่วนสายตาที่สอดส่องไปมาของเสิ่นอี้โจว เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นไม่รู้ เธอเอียงศีรษะ พลางแย้มยิ้มและพูดว่า “มีอะไรเหรอคะ?”
เสิ่นอี้โจวส่ายหัว “ไม่…ไม่มีอะไร”
วันนี้เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ขอให้เขาจูบอรุณสวัสดิ์
เขาปลอบใจตัวเอง
มันควรจะเป็นเพราะหลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลินอยู่ด้วย เธอจึงรู้สึกเขินอายรึเปล่านะ?
เขาดึงเธอเข้ามาและจูบเธอที่หน้าผากอย่างแรง “ผมไปทำงานแล้วนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “อื้ม”
รอยยิ้มของเธอดูเชื่องราวกับลูกแมวในฝ่ามือ
แต่เขารู้ว่ากรงเล็บอันแหลมคมของเธอซ่อนอยู่ภายใต้ความน่ารักเสมอ
ในที่สุด เสิ่นอี้โจวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่มองเธออย่างอ่อนโยน เขาหันกลับและเข้าไปในรถ
เมื่อเข้าไปในรถ จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็แผ่กลิ่นอายรุนแรงออกมา ทำให้เสี่ยวหลิวตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เสี่ยวหลิวเดาว่าเสิ่นอี้โจวคงจะทะเลาะกับเซี่ยชิงหยวน?
จากนั้นเสี่ยวหลิวก็ส่ายหัวอีกครั้ง
ไม่น่าใช่ พวกเขาเพิ่งจูบลากันเอง…
เสิ่นอี้โจวก็ไปถึงศาลากลางพร้อมกับความไม่สบายใจ
เสิ่นอี้โจวเรียกหายามเฝ้าประตูเมื่อวานมาคุยกันตัวต่อตัวทันที
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นประหม่ามาก เขาไม่รู้ว่าเสิ่นอี้โจวเรียกตัวเองมาทำไม
ตรงหน้าโต๊ะ เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วมองด้วยสายตาเย็นชา
“เมื่อวานภรรยาของฉันส่งอาหารที่ประตูแล้วออกไปเลยใช่ไหม?”
เมื่อผู้ฟังได้ยิน ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
เขาไม่รู้ว่าเสิ่นอี้โจวทะเลาะกับภรรยาเมื่อคืนนี้หรือเปล่า?
แต่เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าคงจะไม่คิดบัญชีกับเขาเพราะสาเหตุนี้หรอกใช่ไหม?
อีกทั้งคำปดก็หลุดออกไปแล้ว เขาจะกล้าพูดลบล้างคำโกหกของตัวเองตรง ๆ ได้อย่างไร?
เขามองไปยังเสิ่นอี้โจวอย่างใจเย็น และหลังจากแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้ามีพิรุธ เขาก็พูดว่า “ใช่ครับ”
เขายืดอกตรงและส่งเสียงดัง
สีหน้าของเขาดูจริงจังมาก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เสิ่นอี้โจวก็พยักหน้า “เข้าใจแล้ว ขอบคุณ”
หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็บอกให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกไป
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขาได้รับการอภัยโทษ
เขายิ่งมั่นใจว่าตัวเองปกปิดความลับนี้ไว้ดีที่สุด