กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 142 คำพูดทิ่มแทงใจ
บทที่ 142 คำพูดทิ่มแทงใจ
บทที่ 142 คำพูดทิ่มแทงใจ
เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิดถึงคำสองคำนี้ในปากเธอ จากนั้นจึงขอบคุณอีกฝ่ายอีกครั้งจากก้นบึ้งของหัวใจ “สหายหลิงเยี่ย ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ในครั้งนี้นะคะ”
หลิงเยี่ยชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างอันบอบบางของเซี่ยชิงหยวน พยายามรักษาสายตาของตนให้สุภาพที่สุด จากนั้นพูดว่า “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นครับ ไม่ว่าใครก็คงทำเหมือนผมทั้งนั้น”
หลินตงซิ่วกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม บ้านของฉันอยู่ข้างหน้านี่เอง ทำไมเธอไม่ไปกินข้าวที่บ้านฉันก่อนล่ะ”
หลิงเยี่ยเพิ่งมาถึงเมืองเตียนเฉิงวันนี้ เขาจึงยังมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการอยู่
แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ต้องบอกลาที่นี่ แต่เขาก็เชื่อว่าหากพวกเขามีโชคและวาสนาต้องกัน สักวันต้องได้เจอกันอีกแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงขอบคุณหลินตงซิ่วสำหรับคำเชิญและกำลังจะจากไป
ในที่สุด เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ข้าวของต่าง ๆ เป็นเพียงสิ่งนอกกาย ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โปรดระวังตัวในอนาคตด้วยนะครับ”
แม้หลิงเยี่ยจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาก็ตาม แต่เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้คิดเกี่ยวกับตัวเขาเลย
เธอตอบอย่างจริงจัง “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ วันนี้ขอบคุณมากนะคะ”
เธอเพิ่งซื้อรถสามล้อกับข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้มา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะเสียดายจนลืมนึกถึงความปลอดภัยของตัวเอง
เมื่อตอนนี้กลับมาย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอก็ยังหวาดผวาอยู่ครู่ใหญ่
หลิงเยี่ยพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “ผมยังมีสิ่งที่ต้องทำ ลาก่อนครับ”
หลังจากพูดจบ เขาก็โบกมือให้และเดินจากไป
หลินตงซิ่วจ้องมองไปยังความสูงและแผ่นหลังที่ตั้งตรงของหลิงเยี่ยพลางกล่าวชมเชย “ชายหนุ่มคนนี้มีแรงเยอะมากเลย หรือเขาจะเป็นทหารกัน?”
เซี่ยชิงหยวนมองแม่สามีและพูดว่า “น่าจะเป็นแบบนั้นค่ะ”
หลิงเยี่ยมีกลิ่นอายที่มั่นคงและเยียบเย็นแผ่ออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มี ดังนั้นหากบอกว่าเขามาจากกองทัพ มันก็ดูเข้าทีทีเดียว
แม่สามีและลูกสะใภ้ตรวจสอบรถสามล้อกันอีกครั้ง และพบว่านอกจากรอยบุบที่ท้ายรถและหม้อแตกสองใบ ข้าวของอื่น ๆ ยังคงปกติดี
…
ระหว่างทานอาหารค่ำ หลินตงซิ่วยังคงมีความกลัวอย่างต่อเนื่องเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนั้น ชิงหยวนคงถูกรถชนไปแล้ว”
เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เขาวางตะเกียบลงและมองสำรวจทั่วทั้งร่างของเซี่ยชิงหยวน “คุณได้รับบาดเจ็บหรือรู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนไหม?”
เขาเริ่มแสดงสีหน้าประหม่าระคนเคร่งเครียด “ผมจะพาคุณไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล”
ขณะกล่าว ชายหนุ่มก็ฉุดเซี่ยชิงหยวนขึ้นมาและกำลังเตรียมจะออกไป
เมื่อเห็นความกังวลของอีกฝ่าย เซี่ยชิงหยวนพลันรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา
เธอพยายามดิ้นและพูดว่า “ฉันสบายดีค่ะ ผู้ชายคนนั้นดึงฉันออกมาทัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นอี้โจวก็พินิจมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “คุณไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ?”
หญิงสาวพยักหน้า “อืม”
หลังจากเซี่ยชิงหยวนยืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ เสิ่นอี้โจวก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ต่อให้ของพวกนี้พังหรือสูญหายก็ซื้อใหม่ได้ มันไม่คุ้มที่จะเอาตัวไปเสี่ยงเพราะพวกมัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ผม… เราจะทำยังไง?”
หายากมากที่เสิ่นอี้โจวจะพูดเช่นนี้
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้น แต่ไม่ยอมสบตากับอีกฝ่าย “อืม ฉันเข้าใจแล้ว”
หลินตงซิ่วกลับแย้มยิ้มอยู่ทางด้านข้าง เธอคิดเพียงว่าเซี่ยชิงหยวนเป็นคนขี้อาย
จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็พูดว่า “คนที่ช่วยชีวิตชิงหยวนวันนี้ก็พูดแบบเดียวกันนะ”
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “แม่ครับ ผมขอชื่อกับที่อยู่ของเขาได้ไหม? ผมจะไปขอบคุณเขาด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้”
หลินตงซิ่วตบต้นขาของเขา “บ๊ะ ดูสิ แม่ลืมไปสนิทเลย แม่ขอแค่ชื่อ แต่ลืมถามที่อยู่ แต่ชายหนุ่มคนนั้นดูไม่เหมือนคนท้องถิ่นนะ และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นทหารด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ท่าทางของเสิ่นอี้โจวก็ชะงักชั่วครู่ “แล้วเขาชื่ออะไรครับ?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลินตงซิ่วก็พูดว่า “พ่อหนุ่มคนนั้นบอกว่าเขาชื่อหลิงเยี่ยนะ ใช่แล้ว เขาชื่อหลิงเยี่ย!”
เมื่อสิ้นเสียงคำพูดของผู้เป็นแม่ ตะเกียบในมือเสิ่นอี้โจวก็หล่นลงมาทันที
โดยไม่คาดคิด หลิงเยี่ยกลับพบกับเซี่ยชิงหยวนก่อน!
เสิ่นอี้หลินกินข้าวหนึ่งคำแล้วถามว่า “พี่ครับ เป็นอะไรไปฮะ?”
เซี่ยชิงหยวนก็สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเสิ่นอี้โจวเช่นกัน
เธอมองเขาโดยไม่พูดอะไร
ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาและพูดว่า “ไม่มีอะไร พี่แค่มือลื่นจนทำตะเกียบหล่นน่ะ”
แต่ในสายตาของเซี่ยชิงหยวนกลับไม่เป็นเช่นนั้น
คนใจเย็นอย่างเสิ่นอี้โจวจะทำผิดพลาดง่าย ๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน?
มีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจของเธอเช่นกัน แต่คนที่เธอได้ยินในสำนักงานวันนั้นดูเหมือนจะถูกเรียกอีกชื่อหนึ่ง
อีกทั้งการออกเสียงก็ฟังไม่คล้ายกันเท่าไหร่ด้วย
แต่ถ้าไม่ใช่คนคนนั้น ทำไมเสิ่นอี้โจวถึงมีปฏิกิริยาแบบนี้?
เห็นได้ชัดว่ามันมีปัญหาบางอย่าง
หรือว่าเขาจะหาผู้ชายมาให้เธอถึงสองคน?
เซี่ยชิงหยวนพลันนึกรังเกียจความคิดไม่ดีของตัวเองขึ้นมา
เธอส่ายหัว เสิ่นอี้โจวไม่น่าจะมีความคิดบ้าบอถึงขนาดนั้น
…
ในตอนเย็น เซี่ยชิงหยวนเอ่ยถามเสิ่นอี้โจวผู้กำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงว่า “ตอนที่ฉันขอร้องว่าให้คุณช่วยหาเช่าร้านให้คราวก่อน คุณมีความคืบหน้าอะไรไหมคะ?”
เสิ่นอี้โจวเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เขาเอื้อมแขนมาดึงเซี่ยชิงหยวนเข้าหาตัว “ได้เรื่องบ้างแล้ว”
เพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการ เซี่ยชิงหยวนบอกตัวเองให้ทนไว้อย่าเพิ่งทะเลาะกับเขา
เธอถามต่อ “แล้วได้ความว่ายังไงคะ?”
เสิ่นอี้โจวเล่นกับเส้นผมของภรรยาและพูดว่า “มีร้านขายของในตลาดและพวกเขากำลังปล่อยเช่าอยู่พอดี ขนาดร้านไม่ได้ใหญ่มาก ประมาณยี่สิบตารางเมตรได้ อีกทั้งยังมีห้องครัวเล็ก ๆ ขนาดประมาณห้าหรือหกตารางเมตร”
“เจ้าของร้านเช่าเป็นคู่สามีภรรยาสูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านทางด้านหลังร้าน พวกเขาจึงขอร้องไม่ให้เปิดร้านเร็วเกินไป และอย่าทำธุรกิจที่มีเสียงดังเกินไป ฉะนั้นตอนนี้จึงยังไม่มีใครติดต่อขอเช่า”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ข้อกำหนดแบบนี้ค่อนข้างจุกจิกเล็กน้อย
คนทำมาหากินเดี๋ยวนี้ต้องจ่ายค่าเช่าทุกวัน ฉะนั้นใครจะไม่ต้องการเปิดร้านแต่เช้าตรู่เพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุดกันล่ะ?
อย่างไรเสีย เงื่อนไขนี้ของผู้ให้เช่าดูจะไม่มีผลกระทบกับหญิงสาวนัก
คนจำนวนมากมักจะซื้ออาหารในช่วงเที่ยงหรือบ่ายเป็นต้นไป ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องเริ่มเปิดร้านตอนเช้าตรู่ อีกทั้งสลัดผักเย็นก็ไม่เหมือนกับสินค้าจำพวกเสื้อผ้า ซึ่งต้องใช้เวลาในการเลือกซื้อและต่อรองราคา พวกเขาเพียงแค่เลือกเครื่องเคียงที่ตัวเองชอบทาน จ่ายเงิน และกลับบ้านได้เลย
ยิ่งกว่านั้น หญิงสาวคาดหวังจะทำธุรกิจในระยะยาว ฉะนั้นคงไม่ส่งเสียงดังรบกวนเกินไปนัก
เซี่ยชิงหยวนสะกิดชายหนุ่ม “ฉันว่ามันก็เข้าท่าอยู่นะคะ” เธอพลิกตัวเล็กน้อย “คุณบอกที่อยู่ของพวกเขาให้ฉันหน่อยสิคะ เดี๋ยวฉันจะไปคุยเอง”
เสิ่นอี้โจวประหลาดใจเล็กน้อย “คุณยอมรับเงื่อนไขนี้เหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ถ้าเป็นร้านอาหารเช้า มันก็ไม่เหมาะหรอก แต่ร้านอาหารของฉันคือการขายสลัดผักเย็นและขายเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นฉันคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”
แม้เธอจะขายสตูว์ผักในอนาคต มันก็จะไม่ส่งผลกระทบเช่นกัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นอี้โจวก็พยักหน้า “ตกลง เดี๋ยวผมจะเขียนที่อยู่ให้คุณทีหลังแล้วกัน”
เซี่ยชิงหยวนตอบ “ขอบคุณ”
ในที่สุดวันนี้ก็มีข่าวดีให้ได้ยินบ้าง
เซี่ยชิงหยวนโน้มตัวเข้าหาเขา และอุณหภูมิจากฝ่ามือใหญ่ของเสิ่นอี้โจวบนเอวของเธอก็เริ่มสูงขึ้น
ทุกวันนี้ที่ความหดหู่ใจรุมเร้าตัวเธอ ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้ความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายยิ่งสะสมเช่นกัน มันสะสมมากเสียจนแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย
ดูเหมือนว่าการคาดเดาจะได้รับยืนยันได้ด้วยวิธีนี้
ในเวลาเดียวกัน เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นและสบเข้ากับดวงตาอันมืดมนของเสิ่นอี้โจว
หลังจากม้วนผ้าปูที่นอนกันมาหลายครั้ง เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องการอะไรในตอนนี้
หากเป็นพวกเธอในอดีตก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ตอนนี้พวกเธอเป็นแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนจะทำตามความปรารถนาของเขาได้อย่างไร?
ถ้าเสิ่นอี้โจวไม่ยอมสารภาพออกมา ก็อย่าคิดแม้แต่จะแตะต้องเธอ
เธอยิ้มให้เขาอย่างมีเสน่ห์ แต่พูดถ้อยคำที่บีบคั้นหัวใจที่สุด “อี้โจว ผู้ใต้บังคับบัญชาคนใหม่ของคุณ คุณจะให้เขามาทานอาหารเย็นที่บ้านเมื่อไหร่คะ?”