กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 143 หัวใจที่เปลี่ยนไปของเซี่ยชิงหยวน
- Home
- กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี
- บทที่ 143 หัวใจที่เปลี่ยนไปของเซี่ยชิงหยวน
บทที่ 143 หัวใจที่เปลี่ยนไปของเซี่ยชิงหยวน
บทที่ 143 หัวใจที่เปลี่ยนไปของเซี่ยชิงหยวน
มือของเสิ่นอี้โจวหยุดชะงักทันที
มันไม่อุ่นอีกต่อไป ทว่ากลับเย็นวาบแทน
ภรรยาของเขากำลังคิดถึงชายอื่น!
นิ้วมือเขาลอบกำเป็นหมัดแน่น “คุณชอบคนที่มีเสียงไพเราะมากเลยเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ค่ะ”
เสิ่นอี้โจวถามอีกครั้ง “คุณชอบเสียงที่นุ่มนวลแบบนั้นเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าต่อไป “อื้อ”
ชายหนุ่มยังคงเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วเสียงของผมไม่ไพเราะ ไม่อ่อนโยนเลยเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนสังเกตเห็นว่าม่านตาของเสิ่นอี้โจวกำลังหดตัวเล็กน้อย ซึ่งบ่งบอกถึงความกังวลใจของเขา
เธอรักษาสีหน้าของตัวเองและส่ายหัวอย่างหนักแน่น “ก็ทั่ว ๆ ไปนะคะ”
ช่างเป็นคำพูดที่บาดลึกถึงทรวงในจริง ๆ
เสิ่นอี้โจว “…”
ชายหนุ่มกุมอกแน่น “จริง ๆ เหรอ?”
เซี่ยชิงหยวน “จริงที่สุด”
ในที่สุด เขาก็เบือนหน้าหนี “ผมเข้าใจแล้ว”
เขาเจ็บปวดราวถูกทิ่มแทงใจ และเริ่มสงสัยในตัวเอง
เป็นเพราะหน้าตาของเราไม่ดีพอหรือเปล่านะ?
หรือเราไม่มีความสามารถพอกันนะ?
หรือเราจะหารายได้ไม่มากพอ?
หรือเธอจะคิดว่าเขาไม่เก่งเรื่องบนเตียงกันนะ?
ทำไมตัวเขาทำให้หญิงสาวแทบทุกคนข้างนอกหน้าแดงได้ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ชายตามองพวกหล่อนด้วยซ้ำ แต่กลับไร้ค่าต่อหน้าเซี่ยชิงหยวน?
เป็นเพราะเสน่ห์ของเขาลดลง หรือเซี่ยชิงหยวนเบื่อเขาแล้ว?
ด้วยการคิดฟุ้งซ่านหลายอย่างนี้ ทำให้เสิ่นอี้โจวตกอยู่ในความฟุ้งซ่าน
เมื่อเห็นว่าท่าทางของเสิ่นอี้โจวกลายเป็นจริงจัง และในที่สุดก็กลายเป็นมืดหม่น เซี่ยชิงหยวนก็บอกตัวเองว่าเธอต้องเป็นคนเด็ดขาดในครั้งนี้
เธอหยอกล้อเขา “คุณถามฉันเยอะเหลือเกิน แต่คุณยังไม่ได้บอกฉันว่าเขาจะมากินข้าวที่บ้านเมื่อไหร่เลย คุณควรบอกฉันตั้งแต่เนิ่น ๆ ฉันจะได้ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เตรียมไว้นะ”
ร่างกายของเสิ่นอี้โจวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้แล้วในเวลานี้
เธอยังต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่เพื่อพบกับฉู่ซิงอวี่ด้วยหรือ?
เขาส่ายหัวอย่างแน่วแน่ “ลูกน้องใหม่ของผมคนนั้นจะต้องออกไปทำงานที่ข้างนอกในเร็ว ๆ นี้แล้ว”
ในขณะเดียวกัน ฉู่ซิงอวี่ซึ่งกำลังนั่งดูเอกสารอยู่ที่โต๊ะ จู่ ๆ ก็จาม “ฮัดชิ่ว!”
หลิงเยี่ยซึ่งถูกจัดให้อยู่ในห้องเดียวกับฉู่ซิงอวี่เงยหน้าขึ้น เหลือบมองอีกฝ่าย “คุณเป็นหวัดเหรอ?”
ฉู่ซิงอวี่หยิบทิชชู่ออกมาเช็ด “ไม่รู้สิ จู่ ๆ ก็จามออกมา”
กลับมาที่ปัจจุบัน เซี่ยชิงหยวนย่อมรู้ว่าเสิ่นอี้โจวกำลังโกหกเธอ
ทว่าเธอก็ไม่ได้เปิดโปงเขาเช่นกัน
หญิงสาวจึงแสร้งทำเป็นผิดหวังมากและบ่นอุบว่า “เขาเพิ่งมาถึง คุณก็ส่งเขาเดินทางไปทำงานข้างนอกเสียแล้ว คุณเป็นหัวหน้าที่โหดร้ายเกินไปหรือเปล่าคะเนี่ย?”
เสิ่นอี้โจวแทบจะกระอักเลือดออกมาเมื่อได้ยินประโยคนี้
เธอบอกว่าเขาโหดร้ายกับชายอื่นรึ?
เขากัดฟันกรอด “มันจำเป็นต่อการทำงาน!”
เซี่ยชิงหยวนเห็นว่าเขาใกล้จะหมดความอดทน ดังนั้นเธอจึงปล่อยอีกฝ่ายไปก่อน
เธอแอ๊บหาวเกินจริงและพูดว่า “ฉันง่วงมากเลย เรานอนกันเถอะค่ะ”
ขณะที่กล่าว เธอก็กลิ้งไปบนเตียงแล้วหันหลังให้เขา
เสิ่นอี้โจวมองร่างเพรียวบางของเซี่ยชิงหยวนอย่างงุนงง
เมื่อชาติที่แล้วเขาได้ยินคำพูดหยาบโลมจากเพื่อนร่วมงานมากมาย
เมื่อผู้ชายไม่มีความรู้สึกต่อผู้หญิง ก็มักจะเริ่มด้วยการไม่สนใจร่างกายของเธอ
แต่ผู้หญิงกับผู้ชายเหมือนกันหรือไง?
ถ้าเป็นเช่นนั้น เซี่ยชิงหยวนจะไม่เลิกสนใจในตัวเขาหรือ?
เสิ่นอี้โจวดูจะได้ค้นพบความลับที่น่าตกใจผ่านดวงตาของตัวเอง หัวใจของเขาพลันรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา
ในที่สุดเขาก็เงียบและล้มตัวนอนบนเตียง
เมื่อรู้สึกถึงความหย่อนจากเตียงทางด้านหลัง ซึ่งเสิ่นอี้โจวนอนอยู่ ดวงตาที่เดิมปิดอยู่ของเซี่ยชิงหยวนก็ปรือขึ้น ดวงตาของเธอยังกระจ่างใส แล้วเธอจะง่วงนอนได้อย่างไร?
เธอคิดว่าคำกล่าวที่ว่านอนร่วมเตียงเดียวกัน แต่ฝันแตกต่างกันนั้น ไม่ได้แตกต่างกับพวกเธอในตอนนี้เลย
เธอไม่ทราบว่าวันเวลาแห่งการลวงหลอกและซ่อนเร้นเช่นนี้จะดำเนินไปจนถึงเมื่อไหร่
บางทีก่อนที่เสิ่นอี้โจวจะสารภาพ มันอาจจะเป็นเธอที่ทนไม่ได้และแตกหักแทน
เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วหลับตาอีกครั้ง
…
วันต่อมา เซี่ยชิงหยวนพบว่าเสิ่นอี้โจวยืนอยู่หน้ากระจกนานกว่าปกติ
เขายังคงเฝ้ามองหน้าอกและหน้าท้องของเขา ตอนที่เขาเพิ่งสวมเสื้อผ้าและไม่ได้ติดกระดุม
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนมองมาตัวเอง เขาไม่ได้รีบติดกระดุมให้เสร็จ แต่ยังเปิดเสื้อของเขาและเผยเรือนร่างต่อหน้าเธออย่างจงใจอีกต่างหาก
หากเป็นเวลาปกติ เซี่ยชิงหยวนคงเดินไปสัมผัสแล้ว
ทว่าครั้งนี้เธอกลับเหลือบมองเขาเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก”
จากนั้นจึงเดินผ่านเขาไป ไม่มีการหันกลับมาเหลือบมองแม้แต่วินาทีเดียว
เสิ่นอี้โจว “…”
เขามองตัวเองในกระจก เพ่งพินิจถึงรูปลักษณ์ของตัวเอง
เขาคิดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งในมณฑลอวิ๋น และแม้แต่ที่มหาวิทยาลัยชิง เขาก็เป็นชายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อครู่นี้เซี่ยชิงหยวนกลับไม่ตอบสนองสักนิด!
มีคนกล่าวไว้ว่าหลังจากเวลาผ่านไปนาน ผู้ชายมักจะเปลี่ยนใจได้ง่าย ทว่าประโยคนี้กลับเป็นเซี่ยชิงหยวนเสียอย่างนั้น
เขาหลับตาลงเพื่อซ่อนความอ้างว้างในแววตา ชายหนุ่มยิ้มสมเพชตัวเอง จากนั้นก็กระชับเสื้อของตัวเองแน่น
เดิมทีเสิ่นอี้โจวเป็นคนเย็นชาและหล่อเหลา แต่ด้วยท่าทางเช่นนี้ มันราวกับการแตกสลายของหนุ่มรูปงาม
หากผู้หญิงคนอื่นมาเห็น พวกเธอคงแทบรอไม่ไหวที่จะก้าวเข้ามาปลอบโยนเขา
เซี่ยชิงหยวนผู้กำลังออกไปข้างนอก เหลียวกลับมาเล็กน้อย เธอยืนอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นพลันตบตัวเอง “ถ้าโลภอยากได้คนงามละก็ เธอนั่นแหละจะกลายเป็นดอกป๊อปปี้*[1]”
ในที่สุด เธอก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
…
ณ สำนักงานของศาลากลาง
หลิงเยี่ยสวมเครื่องแบบด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงสูทสีเข้ม เขาดูสูงและหล่อเหลาอย่างมาก
ชายหนุ่มเดินเข้ามาในสำนักงานของเสิ่นอี้โจวด้วยช่วงก้าวที่ยาว หญิงสาวทุกคนที่เห็นเขาเป็นต้องหน้าแดงไปตาม ๆ กัน
ช่างหล่อเหลาสุด ๆ ไปเลย!
ราวกับว่าโชคจะเข้าข้างพวกเธอ ศาลากลางได้มีชายหล่อเพิ่มมาทีละคน
แม้ว่าสองคนนี้จะไม่ได้ดูดีเท่าเสิ่นอี้โจว แต่พวกเขาก็พอจะเป็นอาหารตาชั้นดีได้แล้วไม่ใช่หรือ?
ทว่าเหตุผลหลักคือตำแหน่งของเสิ่นอี้โจวนั้นสูงเกินเอื้อม จึงมีเพียงไม่กี่คนที่กล้ามองเขาอย่างเปิดเผย
สำหรับทุกคนนั้น เสิ่นอี้โจวเสมือนเป็นตัวตนสูงส่งคล้ายทวยเทพ
แต่ฉู่ซิงอวี่กับหลิงเยี่ยนั้นแตกต่างกัน แม้รูปร่างหน้าตาของพวกเขาจะด้อยกว่าเล็กน้อยในทุกด้าน แต่พวกเธอก็กล้าที่จะมอง!
มีแม้แต่สาวน้อยบางคนที่กล้าพอจะพูดกับพวกเขาสองสามคำด้วยซ้ำ
หลิงเยี่ยยืนอยู่หน้าห้องทำงานของเสิ่นอี้โจวและเคาะประตู “เลขาธิการ เสิ่นครับ”
เสิ่นอี้โจวตอบว่า “เข้ามา”
เมื่อได้ยินคำอนุญาต หลิงเยี่ยก็เดินเข้ามาและพูดเสียงดัง “สวัสดีครับเลขาธิการเสิ่น ผมหลิงเยี่ยมาที่นี่เพื่อรายงานตัวครับ!”
อีกทั้งครอบครัวของหลิงเยี่ยยังเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการในเขตทหาร และตัวเขาก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยในเขตทหารได้ เขาอยู่ในกองทัพมาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยซื่อตรงและพึ่งพาได้
เขามาที่เมืองเตียนเฉิงในครั้งนี้ก็เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เช่นกัน
ต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่น่าดึงดูดมากตั้งแต่แรกเห็น
เสิ่นอี้โจวชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์ ยืนขึ้นและจับมือกับเขา “สวัสดีครับ ผมเสิ่นอี้โจว”
จากนั้นเสิ่นอี้โจวผายมือไปทางเก้าอี้ซึ่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะ “เชิญ”
เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นตลอดคืน แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองควรจะขอบคุณหลิงเยี่ยที่ช่วยชีวิตเซี่ยชิงหยวน
อย่างไรก็ตาม เขาจะใช้สิ่งนี้เพื่อเปิดเผยตัวตนของเขาและให้อีกฝ่ายรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนเป็นภรรยาของเขา
ส่วนฉู่ซิงอวี่ เขาจะส่งอีกฝ่ายไปทำงานแถบชนบทโดยเร็วที่สุด หลังจากเซี่ยชิงหยวนหมดความกระตือรือร้นที่มีต่อฉู่ซิงอวี่แล้วเขาค่อยย้ายอีกฝ่ายกลับมา
ส่วนการแนะนำพวกเขาให้เซี่ยชิงหยวนรู้จักตามแผนเดิม เขาจะทำเหมือนว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าตอนที่เสิ่นอี้โจวต้องการจะลงมือนั้น หลิงเยี่ยกลับพูดขึ้นก่อน “เลขาธิการเสิ่นครับ วันนี้ผมมาหาคุณเพราะมีคำขอที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัวน่ะครับ”
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้ว “โอ้ โปรดบอกผมมาเถอะ”
หลิงเยี่ยพูดโดยไม่กะพริบตา “ตอนที่ผมมาถึง ท่านเลขาธิการหยวนบอกผมว่าคุณมีผู้หญิงที่จะแนะนำให้ผมรู้จัก”
เสิ่นอี้โจวกำลังจะปฏิเสธเมื่อได้ยินเช่นนั้น
โดยไม่คาดคิด หลิงเยี่ยกลับฉุนกึกและพูดอย่างรวดเร็วว่า “สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ ผมมีผู้หญิงที่ชอบแล้วและผมตัดสินใจที่จะไล่ตามเธอ! ดังนั้นผมเกรงว่าคงจะตอบรับสิ่งที่คุณพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้ครับ”
ในขณะที่พูด ดวงตาที่ตื่นตระหนกของเซี่ยชิงหยวนปรากฏขึ้นในหัวเขา
นี่เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีของเขาที่รู้สึกอยากจะปกป้องผู้หญิงที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
ตั้งแต่เมื่อคืน ภาพของเซี่ยชิงหยวนก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาอย่างไม่อาจลบเลือนได้
เขาคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาวะที่ผู้ชายในกองทัพเรียกว่า ‘ตกหลุมรัก’
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นอี้โจวก็กลั้นยิ้มไว้
แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้า แต่หัวใจของเขากลับมีความสุขมาก
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเคลื่อนไหว ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นก็ถอนตัวออกไปแล้ว
เขาจึงแสร้งทำหน้าเสียใจ “ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”
เขายื่นมือไปหาหลิงเยี่ยอีกครั้งและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น ผมขอให้คุณประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ขอไว้นะ”
[1] ดอกป๊อปปี้ เป็นสัญลักษณ์ของความรักอันลึกซึ้งในความเชื่อแถบประเทศจีนและญี่ปุ่น