กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 149 ขอบคุณแต่ฉันขอปฏิเสธ
บทที่ 149 ขอบคุณแต่ฉันขอปฏิเสธ
บทที่ 149 ขอบคุณแต่ฉันขอปฏิเสธ
นับตั้งแต่วันนั้น หลิงเยี่ยจะมาที่สี่แยกนี้ทุกครั้งหลังเลิกงานเพื่อดูว่าเขาจะได้เจอเซี่ยชิงหยวนอีกไหม
แน่นอนว่าทุกครั้งที่มาสี่แยกนี้ เขาภาวนาให้ตัวเองโชคดีได้เจอกับหญิงสาว
ในเมืองใหญ่อย่างเตียนเฉิง โอกาสที่จะพบคนคนเดิมอีกครั้งท่ามกลางผู้คนที่มากมายนั้นก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร
นอกจากนี้ ตอนที่เห็นเสื้อผ้าของเซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วในเวลานั้น พวกเธอดูไม่เหมือนคนเตียนเฉิงเลย
เขายังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน หากเธอกลับไปยังบ้านเกิดกับหลินตงซิ่วแล้วเขาจะทำยังไงดีล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ง่าย ๆ
ถ้าเขารอหนึ่งวันแล้วไม่สำเร็จ เขาก็จะรอถึงสิบวัน หนึ่งเดือนหรือแม้แต่หนึ่งปี
เขาเชื่อว่าวันหนึ่งจะได้พบเธออีกครั้ง
วันนี้ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะยังเมตตาเขาอยู่
ในที่สุดเขาก็พบเธออีกครั้ง
วันนี้หลิงเยี่ยสวมเครื่องแบบของศาลากลาง และเขาดูทรงพลังและสง่างามกว่าวันนั้นมาก ราวต้นสนสีเขียวสูงตระหง่านงามงด
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบของเขา ซึ่งเธอค่อนข้างคุ้นตาและตกตะลึงไปชั่ววินาทีก่อนที่จะรู้ว่าเป็นเขา
วันนี้เซี่ยชิงหยวนทำงานทั้งวัน แก้มของเธอจึงขึ้นสีแดงเรื่อ
ผมปรกหน้าผากของเธอเปียกไปด้วยเหงื่อและยังมีส่วนที่ติดอยู่ที่แก้ม ริมฝีปากของหญิงสาวเป็นสีแดงสดขณะแย้มยิ้ม อีกทั้งยังเปล่งประกายยามต้องแสง
เธอน่าจะดูเหนื่อย แต่ดวงตาของเธอกลับเปล่งประกายเต็มไปด้วยความหวังสำหรับชีวิตที่ดีขึ้น
สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเซี่ยชิงหยวนที่พ่ายแพ้เหมือนกวางน้อยในอดีต
หลิงเยี่ยรู้สึกว่ามันไม่น่าประหลาดเลยที่ทำให้เขารู้สึกตราตรึงกับเซี่ยชิงหยวนที่เป็นแบบนี้
ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าที่เคลื่อนไหวหรืออยู่นิ่ง เธอก็ล้วนดูอ่อนโยนและน่าหลงใหล
เขายืนนิ่งอยู่ข้างหน้าเซี่ยชิงหยวนและจับด้านหน้ารถสามล้อของเธออย่างแข็งขัน
ใบหน้าคมคายของเขามีรอยยิ้มที่จริงใจปรากฏอยูู่ “บังเอิญจริง ๆ นะครับ”
เซี่ยชิงหยวนกล่าว “คราวที่แล้วฉันรีบจากไปจนลืมถามที่อยู่ของคุณไปเลยค่ะ ฉันก็เลยยังไม่ได้ขอบคุณคุุณอย่างถูกต้อง”
หลิงเยี่ยเข็นรถเข็นและเดินไปพร้อมกับหญิงสาว “แค่เรื่องเล็กน้อยอย่าใส่ใจเลยครับ คุณไม่จำเป็นต้องกล่าวคำขอบคุณให้ยุ่งยากหรอก”
เขาเห็นว่ามีหม้อและโถมากมายบนรถสามล้อของเซี่ยชิงหยวน ทั้งยังมีกลิ่นของน้ำสลัดเย็นตลบอบอวล
เขาเอ่ยถาม “คุณขายสลัดงั้นเหรอครับ?”
เซี่ยชิงหยวนประหลาดใจกับความจมูกไวของอีกฝ่าย หญิงสาวพยักหน้า “ใช่ค่ะ”
เธอนึกถึงร้านที่เพิ่งเช่ามาและพูดว่า “แต่หลังจากนี้ฉันไม่จำเป็นต้องขนของไปกลับแบบนี้ทุกวันอีกแล้วค่ะ”
เธอชี้ไปทางตลาด “ฉันเช่าร้านเล็ก ๆ ที่ตลาดไว้แล้วน่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจ “ไม่คิดเลยว่าคุณจะมีความสามารถขนาดนี้ตั้งแต่ยังสาวนะครับ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างสุภาพ “ฉันทำเงินได้ด้วยการตั้งแผงขายริมถนน และบางส่วนได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของฉันน่ะค่ะ”
หลินตงซิ่วเป็นผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์ดูดีตั้งแต่เธอยังเด็กแล้ว แม้ตอนนี้จะแก่ตัวลง แต่ร่องรอยความสวยเมื่ออดีตก็ยังมองเห็นได้ราง ๆ บนใบหน้าของเธอ
หลิงเยี่ยคิดไปเองว่าหลินตงซิ่วเป็นแม่ของเซี่ยชิงหยวน
พวกเขาสองคนสนทนากันเช่นนั้น หนึ่งประโยคสำหรับคุณ และประโยคหนึ่งสำหรับฉัน
ก่อนพวกเขาจะรู้ตัว ทั้งสองคนก็เดินใกล้จะถึงทางเข้าเขตที่พักของเจ้าหน้าที่ ซึ่งห่างออกไปสิบกว่าเมตรแล้ว
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “ฉันอยู่ที่นี่ค่ะ ทำไมคุณไม่มาทานอาหารเย็นที่บ้านฉันวันนี้ล่ะ?”
จากการสนทนาในตอนนี้ เซี่ยชิงหยวนจึงได้รู้แล้วว่าหลิงเยี่ยเพิ่งถูกสั่งย้ายมาจากเขตกองทัพในเมืองหลวงของมณฑล
แม้เธอจะสงสัยว่าทำไมคนที่มีหน้าที่การงานอยู่ในเมืองหลวงของมณฑลถึงย้ายมายังเมืองเตียนเฉิง แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา และเซี่ยชิงหยวนคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะถามถึงรายละเอียด
เมื่อหลิงเยี่ยได้ยินว่าเซี่ยชิงหยวนอาศัยอยู่ในเขตที่พักครอบครัวของเจ้าหน้าที่ด้วย เขาก็มีความสุขขึ้นมา
ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะโปรดปรานเขาอย่างแท้จริง และต้องการให้เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น
เขาเลิกคิ้วและพูดว่า “ดูเหมือนว่าชะตาของเราจะไม่ได้ตื้นเขินเหมือนคนทั่วไปซะแล้วนะครับ เผอิญว่าผมก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย”
เซี่ยชิงหยวนผงะไปครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “ช่างบังเอิญอะไรแบบนี้นะคะ”
เธอมองท่าทีของหลิงเยี่ย เธอคิดว่าเขาอยู่ในสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ แต่ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วเขามาทำงานในศาลากลาง
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในใจของเซี่ยชิงหยวน
เธอรู้สึกเหมือนตนมองข้ามอะไรบางอย่างไป
เธอเงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปยังหลิงเยี่ยอย่างเพ่งพินิจ
ดวงตาที่สงบนิ่งของหลิงเยี่ยเผยให้เห็นความอ่อนโยนดุจสายน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ และเขากำลังจ้องมองกลับยังเซี่ยชิงหยวน
“คุณมีความสัมพันธ์กับเสิ่นอี้โจวยังไงเหรอคะ?”
“สมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนทำงานในศาลากลางเหรอครับ?”
ทั้งสองฝ่ายถามคำถามแทบจะพร้อมกัน และทันใดนั้นทั้งสองก็ผงะ
หลิงเยี่ยตอบเป็นคนแรก “ผมได้รับความไว้วางใจจากใครบางคนให้มาทำงานภายใต้คำสั่งของเลขาธิการเสิ่นครับ”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงข่าวลือที่ว่าเลขาธิการเสิ่นมีภรรยาที่ทั้งสวยและมีเสน่ห์มาก เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ร้ายในใจขึ้นมา
เขามองไปยังใบหน้างามของเซี่ยชิงหยวน และอดไม่ได้ที่จะพยายามใส่ตัวตนของเธอลงไป
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เขาหวังมากที่สุดคือขอให้เซี่ยชิงหยวนเป็นเพียงญาติของเสิ่นอี้โจวหรือหญิงสาวม่ายที่เสิ่นอี้โจวต้องการแนะนำให้รู้จัก
เขาพูดต่อจากประโยคที่ยังพูดไม่จบ “มันก็มีเหตุอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่อส่วนตัวของเลขาฯ เสิ่นครับ”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคนี้
ที่แท้ หลิงเยี่ยก็เหมือนกับฉู่ซิงอวี่! เสิ่นอี้โจวพาตัวสองคนนี้มาจากเมืองหลวงของมณฑล ส่วนไอ้เรื่องส่วนตัวที่พูดไม่ได้นั่น เธอจะไม่เข้าใจได้ยังไงว่ามันคือเรื่องอะไร!
เสิ่นอี้โจว คุณนี่ยอดจริง ๆ!
ถึงขนาดเตรียมผู้ชายให้เธอพร้อมกันสองคน!
ความโกรธมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากฝ่าเท้าของเธอลามเผาไปทั่วทั้งร่างกายของเซี่ยชิงหยวน
หญิงสาวกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ขณะเธอกำลังคิดร้อยแปดวิธีเพื่อให้เสิ่นอี้โจวต้องรู้สึกขมขื่นอย่างโหดเหี้ยม!
หลิงเยี่ยสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติกับท่าทางของเซี่ยชิงหยวน เขาเอ่ยเรียกเบา ๆ “สหายเซี่ย?”
เซี่ยชิงหยวนระงับอารมณ์โกรธ จากนั้นก็ส่งยิ้มขอโทษให้อีกฝ่าย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ตัดสินใจจะบอกความจริงแก่เขา
ถึงอย่างไร หลิงเยี่ยก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ซื่อตรงมาก
เธอไม่ต้องการให้เขารู้สึกแย่กับเรื่องราวของเธอและเสิ่นอี้โจว
ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “คนรักของฉันคือเสิ่นอี้โจวน่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลิงเยี่ยก็ตกตะลึงทันที
เขาใช้เวลาสองวินาทีในการตอบสนอง
ร่างกายของเขาตึงเครียดและเสียงของเขาสั่น “คุณ…คุณเพิ่งพูดว่า…คุณเป็น?”
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายและดับมันทันที “ใช่ค่ะ เขาเป็นสามีของฉัน”
เธอหยุดพูดไปชั่วขณะ “ส่วนเรื่องที่เขามอบหมายให้คุณช่วยทำ ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉันขอโทษด้วยนะคะ”
หลิงเยี่ยในตอนนี้ยิ่งงุนงงหนัก
เขายังไม่หายตกใจที่เซี่ยชิงหยวนเป็นภรรยาผู้ทรงเสน่ห์ของเสิ่นอี้โจว ประโยคสุดท้ายของเธอยิ่งทำให้เขาสับสนกับคำพูดของเธออีกครั้ง
เสิ่นอี้โจวต้องการแนะนำใครสักคนให้เขากับฉู่ซิงอวี่ได้รู้จัก แต่มันเกี่ยวอะไรกับเซี่ยชิงหยวน?
ทำไมเธอถึงขอโทษ?
ทว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ได้พูดต่อ
เธอโค้งให้หลิงเยี่ยอย่างจริงจังและพูดว่า “คุณเป็นคนดีจริง ๆ ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยฉันไว้นะคะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็เข็นสามล้อและจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
หลิงเยี่ยมองไปตามแผ่นหลังของเซี่ยชิงหยวนและกว่าจะกลับมารู้สึกตัวก็เป็นเวลานานแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเซี่ยชิงหยวน แต่เขาก็รู้เรื่องหนึ่ง
นั่นคือหัวใจของเขาที่ปิดเงียบงันมากว่ายี่สิบปีได้ตกหลุมรักใครสักคนเป็นครั้งแรก และมันก็จบลงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าคำพูดของเซี่ยชิงหยวนเมื่อครู่ มันหมายถึง ‘ขอบคุณ แต่ฉันขอปฏิเสธ’ ใช่ไหม?
เขาไม่เข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับความรักที่แตกสลาย แต่ตอนนี้เขารู้เพียงว่าหัวใจของเขาที่กำลังเต้นอยู่รู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดมากเหมือนมีใครสักคนมาบีบมันแรง ๆ ซึ่งทำให้รู้สึกแย่มาก
ในเวลาเดียวกัน เขาชื่นชมนิสัยของเซี่ยชิงหยวนเป็นอย่างมาก
ทั้งตรงไปตรงมา เด็ดขาด และไม่มีการอ้อมค้อม
เขาคิดว่าเธอสมควรเป็นคนที่เขารักจริง ๆ
มันเป็นครั้งแรกในชีวิตตลอดยี่สิบปีของเขาที่มีความคิดน่ารังเกียจเช่นนี้
ถ้าเซี่ยชิงหยวนเป็นสาวม่ายตามที่เสิ่นอี้โจวพูดถึง เขาจะมีโอกาสใช่ไหม?
เขาส่ายหัวพลางถอนหายใจ และเดินก้าวหนัก ๆ ไปยังเขตที่พักครอบครัว
…
เซี่ยชิงหยวนขึ้นไปถีบสามล้ออีกครั้งอย่างแรง
ความโกรธครึ่งหนึ่งในใจของเธอค่อย ๆ กลายเป็นความคับแค้นใจ และในไม่ช้าน้ำตาของเธอก็คลอหน่วย
ทำไมเขาถึงแอบจัดการชีวิตของเธอแบบนี้?
ทันทีที่รถเลี้ยวโค้ง เธอก็เห็นเสิ่นอี้โจวที่จงใจออกมารอรับ
รถสามล้อของเซี่ยชิงหยวนไม่ได้หยุด และพุ่งตรงไปยังทิศทางของเสิ่นอี้โจว
ด้วยสายตาที่เฉียบคมและมือที่ฉับไว เสิ่นอี้โจวเหยียดแขนยาวของเขาออกและกดแน่นไปที่ด้านหน้าของรถ
จากนั้นในจังหวะที่รถกำลังจะพลิกคว่ำ เขาโอบกอดร่างของเซี่ยชิงหยวนออกจากรถ
เขายังคงตกใจ “ชิงหยวน คุณ… อั่ก!”
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้โจวจากอ้อมแขนของเขา เมื่อเธอเห็นผู้ชายเลวคนนี้อย่างชัดเจน เธอกัดฟัน ยกเท้าเหยียบหลังเท้าของอีกฝ่ายเต็มแรง!