กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 155 ท่ามกลางดอกไม้ไฟในตรอกเก่า
บทที่ 155 ท่ามกลางดอกไม้ไฟในตรอกเก่า
บทที่ 155 ท่ามกลางดอกไม้ไฟในตรอกเก่า
ท่ามกลางความไม่เต็มใจของเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้โจวก็เดินออกไปขึ้นรถแล้ว
แต่ก่อนรถจะแล่นจากไป เขาก็โผล่หน้ามาทางหน้าต่าง และเอ่ยกับเซี่ยชิงหยวนว่า “คุณรีบกลับเข้าบ้านเถอะ พระอาทิตย์ข้างนอกใกล้จะสว่างแล้ว”
เสี่ยวหลิวมองไปยังท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่ออกมา “…”
อืม…เขาไม่เข้าใจความโรแมนติกของหัวหน้าตัวเองเลยจริงๆ
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นสบสายตากับเสิ่นอี้โจวในกระจกมองหลัง
เสี่ยวหลิว “…”
เขารู้สึกว่า คราวนี้ตัวเองถึงวาระแล้วจริง ๆ
ดังนั้นเขาจึงเหลือบมองเสิ่นอี้โจวอีกครั้งผ่านกระจกมองหลังด้วยความวิตก
เขาเห็นเสิ่นอี้โจวก้มศีรษะลงและจัดขอบแขนเสื้อให้ตรง
“ส่งฉันที่ศาลากลาง จากนั้นนายก็กลับไปพักผ่อนแล้วค่อยมารับฉันตอนบ่าย”
เสี่ยวหลิว “!”
เขาลอบมองเสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวนครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองน่าจะถูกลงโทษแน่ ๆ คราวนี้
แต่ผลลัพธ์กลับเป็นแบบนี้น่ะหรือ?
ให้เขาไปพักเนี่ยนะ?
เสี่ยวหลิวเหลือบมองกระจกหลังอีกครั้ง เพียงเพื่อจะเห็นว่าสายตาของเสิ่นอี้โจวกำลังจ้องมองไปยังทิศทางที่เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ภรรยาของเลขาธิการช่วยชีวิตเขาไว้!
เสิ่นอี้หลินนั่งอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว จากนั้นมองไปทางเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจว
เมื่อเห็นคู่รักหวานชื่นดูรักใคร่กันในวันนี้ เด็กชายก็รู้สึกว่าเขาได้ค้นพบความลับบางอย่าง
กลับกลายเป็นว่าพี่ชายของเขาชอบถูกทุบตีให้เจ็บปวดมากขึ้น
เขาจำใบหน้าของเสิ่นอี้โจวที่เต็มไปด้วยเลือดกำเดาเมื่อคืนนี้ได้ และอดไม่ได้ที่จะหดคอ
นั่นรุนแรงเกินไป!
ตามปกติ เซี่ยชิงหยวนจะเริ่มทำงานหลังจากสอนหนังสือให้เสิ่นอี้หลิน อาเซียงและอาจ้วง
ทันทีที่ได้ยินว่าชั้นเรียนจบลง เสิ่นอี้หลินก็หายตัวไปในชั่วพริบตา
เมื่อมองตามหลังเขาไป เซี่ยชิงหยวนอดส่ายหัวไม่ได้
แต่เมื่อเห็นว่าวันนี้เขาเคร่งเครียดเป็นพิเศษในชั้นเรียน เธอจึงไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไป
หลังจากล้างผักเสร็จเรียบร้อย เซี่ยชิงหยวนก็ขี่จักรยานสามล้อไปที่ร้านอีกครั้ง
วันนี้เธอจะตกแต่งร้านเพิ่มเติม เพื่อที่จะสามารถเปิดขายได้ในวันพรุ่งนี้
ภายในร้านมีครัวขนาดเล็ก แต่ไม่มีอุปกรณ์การทำอาหาร
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงซื้อชุดอุปกรณ์ทำอาหารมาใส่ไว้
อย่างไรก็ตาม เธอซื้อของชิ้นใหญ่เพราะอาหารแต่ละวันที่ทำมีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้หม้อใบใหญ่ย่อมสะดวกกว่า
เธอซื้อเครื่องปรุงรสอีกหลายขวดและเตรียมชามสำหรับทานไว้ด้วย
มีเก้าอี้นอนสำหรับพักผ่อนด้วย เธอซื้อไว้สองตัวแล้ววางไว้หลังร้าน
เธอจินตนาการเอาไว้แล้ว
เมื่อมีหน้าร้านในอนาคต การขายสลัดเย็นจะแบ่งขายเป็นรอบเที่ยงกับบ่าย
หลังจากขายรอบเที่ยงเสร็จ เธอก็หาข้าวกินแถวนี้แล้วพักผ่อนรอจนถึงช่วงบ่ายเพื่อเตรียมสลัดเย็นชุดใหม่ที่จะขายตอนเย็นต่อไป
ยิ่งกว่านั้น ยังมีลูกค้ามากมายเข้ามาซื้อในตอนเที่ยง ทำให้พวกเธอปิดร้านเร็วได้
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองพื้นที่ส่วนบนที่ค่อนข้างว่างเปล่าของร้าน จากนั้นก็เบนสายตา
เธอต้องการป้ายชื่อร้าน มันไม่ต้องมีขนาดใหญ่มาก รูปแบบเรียบง่ายก็พอแล้ว
เธอจึงกลับไปหาช่างไม้คนเมื่อวานและขอให้เขาช่วยหาแผ่นไม้เล็ก ๆ มาทำเป็นป้ายชื่อร้าน
ช่างไม้ชรายิ้ม “คุณจะขายสลัดเย็นให้ดูพิเศษกว่าใครเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนหัวเราะและพูดว่า “ไม่ว่าจะทำธุรกิจประเภทไหน คนเราก็ควรสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่ะ เพราะเมื่อมีคนพูดถึงสลัดเย็นของฉัน พวกเขาจะต้องไม่ใช่จำแค่ว่า ‘ร้านขายสลัดเย็นร้านแรกตรงทางเข้าตลาดผักฝั่งตะวันออก’ เพื่ออธิบายให้คนอื่นรู้ว่าเป็นร้านของฉัน”
“อีกอย่าง ในอนาคตจะมีคู่แข่งมากขึ้นที่ขายสลัดเหมือนกับฉัน ดังนั้นร้านของฉันจึงจำเป็นต้องมีชื่อร้านที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง”
หญิงสาวคาดหวังว่าเมื่อทุกคนได้ยินชื่อร้านของเธอแล้ว จะต้องนึกถึงรสชาติของสลัดเย็นของเธอทันที
นี่ถือได้ว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงด้วยวิธีปากต่อปากที่เธอวางแผนไว้
ช่างไม้ชราหัวเราะร่า “แล้วคุณต้องการชื่ออะไรล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนพึมพำ “ในตรอกเก่า”
อาหารจานเย็นที่หญิงสาวขายมีรสชาติที่ธรรมดาและคุ้นเคยที่สุดในตรอกดอกไม้ไฟที่เก่าแก่ที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?
เมื่อนึกถึงชื่อนี้แล้ว ก็รู้สึกหวนคิดถึงขึ้นมา
ช่างไม้ชราเองยังพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ดี ดีมาก”
เขากล่าว “ฉันจะเอาผ้าสีแดงคลุมป้ายให้อย่างดีแล้วค่อยส่งไปให้คุณในตอนบ่ายนะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ เถ้าแก่”
หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว เซี่ยชิงหยวนก็กลับบ้าน
เธอยังแวะร้านขายดอกไม้ของเด็กหญิงตัวเล็กที่ข้างทางและนัดกับเด็กหญิงเพื่อให้ไปส่งดอกไม้ที่ร้านของเธอในเช้าวันพรุ่งนี้
เมืองเตียนเฉิงไม่มีร้านรับจัดช่อดอกไม้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือซื้อดอกไม้ป่าที่ชาวบ้านเก็บมา
แต่มันก็ไม่สำคัญมากนัก เธอแค่ต้องการเพิ่มบรรยากาศรื่นเริงภายในร้านเท่านั้น
เมื่อมีคนมาซื้อของที่ร้านของคุณ การวางดอกไม้หลากสีไว้รอบ ๆ จะช่วยให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้นหลังจากได้เห็นมัน
ความคิดนี้ของเซี่ยชิงหยวนได้ถูกร้านค้าอื่นนำไปปรับใช้ในภายหลังเช่นกัน
ภายในโรงอาหารของศาลากลาง
นอกจากเสิ่นอี้โจวกับหลิงเยี่ยแล้ว ยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีกสองสามคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงรวม
เนื่องจากผลงานทางการเมืองเมื่อเดือนที่แล้วอยู่ในเกณฑ์ดี อีกทั้งศาลากลางของเมืองเตียนเฉิงยังได้รับการยกย่องจากทางมณฑล ดังนั้นจึงมีการจัดงานเลี้ยงอาหารขึ้นในห้องโถงใหญ่ของโรงอาหาร
คราวนี้พวกเขาไม่ได้ออกไปจัดงานเลี้ยงในร้านอาหารข้างนอก แต่จัดที่โรงอาหารกลางแทน ถึงอย่างนั้น อาหารของเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ยังอยู่ในความดูแลเป็นพิเศษของพ่อครัว
จางอวี้เอ๋อจับคอเสื้อเครื่องแบบโรงอาหารที่เธอใส่อยู่ ความรังเกียจฉายชัดในแววตาของเธอ
มันเป็นชุดที่ดูโบราณมาก สีก็น่าเกลียด แล้วแบบนี้เธอจะแสดงเสน่ห์ของตัวเองได้ยังไงกัน?
เดิมทีเธอต้องการลอบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่พี่จู้กลับรู้ทันและดักคอไว้เสียก่อน
พี่จู้ยังยื่นกระดาษทิชชู่ให้เธอเช็ดเครื่องสำอางบนหน้าออก “แต่งหน้าซะเหมือนก้นลิงขนาดนี้ เธอคิดจะขู่ให้คนกลัวจนตายรึไงยะ?”
พี่จู้ตวาดเสียงต่ำ “รีบเช็ดออกซะ!”
“ฉันไม่มีสิทธิ์แต่งหน้ารึไงคะ? ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย!”
พี่จู้พ่นลมหายใจใส่ “ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ให้เธอแต่งหน้า แต่เธอควรแต่งหน้าให้พอดีกว่านี้!”
พี่จู้ชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของจางอวี้เอ๋อ “ดูปากเธอสิ ดูแก้มนี่สิ เธอคิดอะไรอยู่ทำไมถึงทาซะแดงขนาดนี้? เธอคิดว่ากำลังจะขึ้นไปร้องเพลงรายการใหญ่อยู่รึไง?”
พี่จู้เท้าเอว “ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดจะมาที่นี่วันนี้! ถ้าขืนคนใหญ่คนโตเห็นเธอสภาพนี้พวกเขาต้องตำหนิฉัน โทษฐานไม่สั่งสอนลูกน้องให้ทำตัวดี ๆ ถ้าเธออยากเข้าไป จงไปเช็ดหน้าให้สะอาดซะ!”
จางอวี้เอ๋อจ้องมองพี่จู้อย่างขมขื่น ขณะกำลังฉีกทึ้งอีกฝ่ายเป็นชิ้น ๆ อยู่ในใจ
ตั้งแต่เสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวนมาที่นี่ครั้งล่าสุด พี่จู้คนนี้ก็ควบคุมตัวเธอไปทุกที่ เธอเกลียดมันที่สุด!
ก่อนหน้านี้เธอโทรหาจางอวี้เจียวแล้วเช่นกัน ซึ่งเธอถูกเตือนว่าอย่าทำให้เซี่ยชิงหยวนขุ่นเคืองอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกเลย
ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังมองว่าเธอไร้ค่าหรือ?
คอยดูเถอะ ถ้าเธอสามารถสานความสัมพันธ์กับผู้นำคนใดได้ละก็ เธอจะคิดบัญชีกับทุกคนที่ทำให้เธอไม่พอใจแน่นอน!
จากนั้นเธอก็เข้าไปล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าด้วยความรู้สึกขื่นขม
เมื่อออกมาอีกครั้ง เธอยังคงมีรอยยิ้มปกติบนใบหน้าของตัวเอง
เมื่อพี่จู้นำอาหารออกมาจากครัว จางอวี้เอ๋อก็ก้าวออกไป ถือถาดอาหารและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่จู้ ให้ฉันทำนะ”
พี่จู้ไม่ได้ยินดียินร้าย และพูดประโยคหนึ่งว่า “อย่าทำให้เสียเรื่องอีกเด็กขาด!”
พอพูดจบ เธอก็เดินออกไป
จางอวี้เอ๋อหายใจเข้าลึก ๆ และยืดเอวของเธอให้ตรงเพื่อให้หน้าอกของเธอดูอวบอิ่มขึ้น
จากนั้นจึงผลักประตูเข้าไป
หลิงเยี่ยอยู่ห่างจากจุดที่เธอให้บริการสองที่นั่ง
จางอวี้เอ๋อเอียงศีรษะหันหน้าเข้าหาหลิงเยี่ยจากมุมที่เธอคิดว่าดูดีที่สุด เขาเป็นเป้าหมายของเธอในวันนี้เช่นกัน
หญิงสาวไม่ทราบว่า ใครเป็นคนได้ข่าวมาว่าครอบครัวของหลิงเยี่ยมาจากเมืองหลวงของมณฑล และพ่อแม่ของเขาก็รับราชการในกองทัพเช่นกัน
ถ้าข่าวเป็นความจริง แสดงว่าเขามีสถานะมาก
ทว่าหลิงเยี่ยไม่ได้สนใจเธอ และเอาแต่คุยกับคนที่อยู่ข้าง ๆ เขา
และไม่ว่าเธอจะกล้ามองไปยังเสิ่นอี้โจวแค่ไหน ชายหนุ่มก็ไม่ชายตามองเธอแม้แต่นิด
จางอวี้เอ๋ออดรู้สึกโชคร้ายไม่ได้
จากนั้น เมื่อหญิงสาวยังคงพยายามทำให้คนในห้องอาหารรู้ว่าเธอมีตัวตน โดยการอ้อยอิ่งทำทุกอย่างช้า ๆ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ข้าง ๆ เธอก็พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ “จะใช้เวลาเสิร์ฟอาหารอีกนานแค่ไหนกัน? รีบเสิร์ฟแล้วก็รีบไปสักทีเถอะ”
แม้ว่าเสียงของเขาจะไม่ดัง แต่ผู้คนรอบข้างล้วนได้ยิน
ทุกคนมองมาทางนี้พร้อมกัน
แม้แต่หลิงเยี่ยก็เหลือบมองมา
จางอวี้เอ๋ออับอายมากเสียจนรู้สึกเหมือนใบหน้าของเธอกำลังไหม้
อย่างไรก็ตาม ทุกคนเหลือบมองเพียงไม่กี่วินาทีและหันหน้าหนีไม่สนใจอีกราวกับว่าเธอไม่สมควรได้รับความสนใจจากพวกเขา
จางอวี้เอ๋อทำได้เพียงต้องออกไปอย่างไม่เต็มใจ
จากหางตา เธอเห็นเสิ่นอี้โจวชูแก้วเหล้าของเขาไปทางหลิงเยี่ย