กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 160 ภาพลวงตาที่ยังคงหลอกหลอน
บทที่ 160 ภาพลวงตาที่ยังคงหลอกหลอน
บทที่ 160 ภาพลวงตาที่ยังคงหลอกหลอน
เมื่อพบว่าสายตาของเซี่ยชิงหยวนหยุดกะทันหัน เจียงเพ่ยหลานก็เหลือบมองไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายมองอยู่ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
เธอจึงถามว่า “ชิงหยวน เกิดอะไรขึ้น?”
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “ผู้หญิงที่ตั้งแผงขายอาหารเหมือนเราตรงทางเข้าตลาดแอบมามองที่ประตูเมื่อกี้น่ะ”
ทำไมเธอถึงพูดว่าแอบดูน่ะหรือ? เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นยืนหลบตรงมุมประตู โดยชะโงกหัวออกมาพลางมองไปรอบ ๆ ร้านน่ะสิ
นอกจากนี้ สายตาของอีกฝ่ายยังจดจ้องไปทางตู้กระจกอีกต่างหาก
หากการกระทำลับ ๆ ล่อ ๆ นี้ไม่เรียกแอบมอง แล้วมันคือกันเล่า?
เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงเพ่ยหลานก็ขมวดคิ้ว “เธอกำลังจะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย?”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ใครจะรู้ แต่สองสามวันนี้เธอก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
อีกทั้งตอนที่พวกเธอมาตกแต่งร้านด้วยกันเมื่อสองสามวันก่อน ผู้หญิงคนนั้นก็ดูจะทำตัวแปลก ๆ
มันดูจะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เลยทีเดียว
เจียงเพ่ยหลานรับฟังพลางพยักหน้าอย่างระมัดระวัง
เซี่ยชิงหยวนคิดถูก ความคิดของผู้หญิงคนนั้นถูกเปิดเผยในช่วงบ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าคนที่มาเยือนคือลูกชาย
ทันทีที่ประตูร้านเปิดออก เด็กชายก็เข้ามา
เขารอและมองสำรวจอยู่ที่ประตูก่อน แล้วจึงเดินเข้ามาเมื่อเห็นว่ามีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากเข้ามา เด็กชายก็เข้าแถวเงียบ ๆ ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติมาก
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมอง แต่ไม่ได้ว่าอะไร
หลังจากขายสลัดผักหมดเกลี้ยงในตอนเที่ยง เซี่ยชิงหยวนก็บอกให้อาเซียงกับอาจ้วงมาส่งผักที่จะขายในช่วงบ่ายเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบจินเท่านั้น
เธอหยิบชามออกมาใส่สลัดเย็นแล้วส่งให้แก่เสิ่นอี้หลิน
“อี้หลิน ช่วยพี่เอาชามนี้ไปให้คุณปู่กับคุณย่าที่อยู่หลังร้านเราทีนะ”
ยายเฒ่าหลี่ชื่นชมสลัดของพวกเธอ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาชอบอาหารของเธอ
วันนี้เป็นวันแรกที่เปิดทำการ และมันก็สมเหตุสมผลที่จะส่งไปให้คนทั้งสอง
เสิ่นอี้หลินกำลังนั่งเล่นอยู่ทางด้านข้าง เมื่อได้ยินเซี่ยชิงหยวนเรียก เขาก็เดินไปหา
เดิมทีเขากลัวพี่สะใภ้คนนี้ แต่ซองแดงที่ได้รับมาเมื่อเช้านี้ซื้อใจเขาไปแล้ว
เขาหยิบชามมาแล้วพูดว่า “ครับพี่สะใภ้!”
แล้วเขาก็หันเดินไปทางด้านหลังร้านทันที
ในขณะที่ทักทายลูกค้า เซี่ยชิงหยวนสังเกตการกระทำของเด็กชายตัวเล็กคนนั้นจากหางตา
เจียงเพ่ยหลานก็เห็นเด็กน้อยคนนั้นเช่นกัน
เธอมองไปยังเซี่ยชิงหยวนโดยไม่รู้ตัว แล้วสายตาของเธอก็ประสานกับเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าให้เจียงเพ่ยหลานและขายอาหารต่อไป
ในที่สุดก็ถึงคิวของเด็กชายตัวน้อย
เขายืนอยู่หน้าตู้กระจกโดยไม่กล้ามองพวกเธอ
มือเล็ก ๆ สุ่มชี้ไปที่สลัดเย็นสองสามอย่าง น้ำเสียงดูจะถูกเค้นออกจากลำคอ “ผมต้องการพวกนี้หนึ่งจิน”
หลังจากพูดจบ มือเล็กของเด็กชายก็กำชายเสื้อของตัวเองและนิ่งเงียบไป
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอมองดูรอยตบบนใบหน้าของเด็กชายที่ยังไม่จางหาย แล้วถอนหายใจ
ผู้หญิงคนนั้นไม่กล้ามาที่นี่ จึงบังคับให้ลูกชายมาแทน
ทว่าเด็กชายคนนี้ก็ไม่กล้าเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธและถูกผู้เป็นแม่ทุบตี
เจียงเพ่ยหลานมองไปยังเซี่ยชิงหยวนและถามเธอว่าต้องทำอย่างไร
เซี่ยชิงหยวนหยิบใบตองสำหรับใส่สลัดขึ้นมาแล้วพูดว่า “ได้สิ รอสักครู่นะจ้ะ”
จากนั้นเธอก็ห่อมันให้เด็กน้อย
ผู้หญิงคนนั้นแค่ต้องการซื้อสลัดของเธอ เพราะต้องการขโมยสูตรของเธอใช่ไหมล่ะ?
แต่สูตรลับของเธอจะขโมยไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?
อีกอย่าง ใครมันจะเก่งถึงขนาดกินเข้าไปคำเดียวแล้วรู้ส่วนผสมทั้งหมด?
มันเป็นแค่ความฝันของคนโง่เท่านั้น
หรือต่อให้รู้ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง แต่สัดส่วนของส่วนผสมแต่ละอย่างก็แตกต่างกัน
ถ้าใส่มากไปหรือน้อยไป ความอร่อยก็จะลดลงมาก
แม้แต่ตัวผักเองก็มีกรรมวิธีการทำต่างกัน ซึ่งรสชาติของมันก็จะแตกต่างกันไปอีก
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงไม่กังวล หากอีกฝ่ายจะซื้อสลัดของเธอเพียงครั้งเดียวเพื่อคิดจะรู้สูตรลับของเธอ
เมื่อได้ยินเซี่ยชิงหยวนตอบตกลง เด็กชายก็โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
เขาจ้องมองมือของเซี่ยชิงหยวนอย่างตั้งใจ และเมื่อเธอตักทุกอย่างเสร็จ เขาก็หยิบขวดแก้วเปล่าออกมาจากทางด้านหลัง
เขายกมันขึ้นและพูดอย่างเขินอายว่า “ผมขอซื้อน้ำสลัดด้วยได้ไหมฮะ?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เธอไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะไร้ยางอายขนาดนี้
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ปฏิเสธการขายสลัดให้แก่ผู้หญิงคนนั้น แต่การซื้อน้ำสลัดคืออะไร?
อีกฝ่ายคิดว่าเธอโง่จริง ๆ เรอะ?
เธอเงยหน้ามองไปทางประตู และทันเห็นผู้หญิงคนนั้นซึ่งแอบอยู่ที่ประตูกำลังมองมาอยู่พอดี
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนมองมา หญิงวัยกลางคนก็รีบหลบหัวกลับไป
เซี่ยชิงหยวนยิ้มให้เด็กชาย “ฉันขอโทษด้วยนะ แต่ที่นี่ไม่ขายน้ำสลัดน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความผิดหวังฉายชัดในดวงตาของเด็กน้อย
ถ้าเขาซื้อมันกลับไปไม่ได้ แม่น่าจะทุบตีเขาอีกแน่
เขาพยายามรั้งตัวเองไม่ให้มองกลับไปยังผู้หญิงวัยกลางคน
เด็กชายรับสลัดเย็นที่เซี่ยชิงหยวนยื่นให้เขามา วางเงินบนเคาน์เตอร์แล้ววิ่งหนีไป
เมื่อมองตามหลังเด็กน้อย เจียงเพ่ยหลานก็มึนงงเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ลืมมันไปเถอะ นี่เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้”
พวกเธอรู้สึกสงสารเด็กคนนั้น แต่มันก็เท่านั้น เพราะแม่ของเด็กชายพยายามหาทางทำลายธุรกิจของพวกเธอ
บางเรื่องที่ช่วยได้ เธอก็จะช่วยอย่างเต็มที่ เช่นเรื่องของสองพี่น้องอาเซียงอาจ้วง และเจียงเพ่ยหลาน
ทว่าบางเรื่องก็ทำได้เพียงแค่ดูเฉย ๆ เท่านั้น
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ในที่สุดหญิงสาวก็เข้าใจสัจธรรมข้อหนึ่ง นั่นคือความเมตตาต้องมีขอบเขต
หลังจากเด็กชายออกไปไม่นาน ก็มีเสียงร่ำไห้ตามมาด้วยเสียงสาปแช่งของผู้หญิงวัยกลางคน
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นไม่พอใจเพราะไม่ได้รับน้ำสลัดมา
สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นเธอก็ส่งยิ้มให้ลูกค้ารายต่อไป “ไม่ทราบว่าคุณต้องการซื้ออะไรดีคะ?”
…
ช่วงบ่ายคล้อย พวกเธอก็ขายของหมดเกลี้ยงก่อนหกโมงเย็นด้วยซ้ำ
เซี่ยชิงหยวนลอบคำนวณดูว่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว วันนี้เธอน่าจะได้กำไรอย่างน้อยหนึ่งร้อยหยวน
วันนี้เปิดกิจการเป็นวันแรก และมีส่วนลดทำให้มีคนซื้อมามากขึ้น
หากเปิดขายในวันพรุ่งนี้ หญิงสาวลองประเมินคร่าว ๆ แล้ว เธอน่าจะขายอาหารได้สองห้าสิบจินถึงสามร้อยจินต่อวัน ฉะนั้นเธอจะทำเงินได้ถึงแปดสิบหยวน
ด้วยเหตุนี้ หลังจากหักค่าเช่า ค่าข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงค่าแรงแล้ว เธอจะมีเงินเก็บสองพันหยวนต่อเดือนในบัญชี!
นี่เป็นอัตรารายได้ที่รวดเร็วมาก
แต่สำหรับเซี่ยชิงหยวน มันยังห่างไกลจากความเพียงพอ เธอยังต้องการเงินมากกว่านี้เพื่อใช้สร้างรายได้ต่อไป
…
หลังจากพวกเขาทานอาหารเสร็จเรียบร้อยในตอนเย็น เสิ่นอี้โจวก็ต้มน้ำร้อน
เขากล่าวว่า “วันนี้ทุกคนคงเหนื่อยมาก มาแช่เท้าคลายเมื่อยกันหน่อยเถอะ”
หลินตงซิ่วเห็นอี้หลินเดินตามหลังเสิ่นอี้โจวซึ่งกำลังถืออ่างใบใหญ่ไว้ในมือ เขาคงวางแผนจะให้ทุกคนแช่เท้าร่วมกัน
เธอจึงปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องหรอก อี้หลินกับแม่ใช้อ่างใบเดียวกันก็ได้ ส่วนลูกกับชิงหยวนแช่ด้วยกันเถอะ”
วิธีการคิดของเธอยังคงเป็นแบบอนุรักษ์นิยม ถึงอย่างไร ลูกชายของเธอก็แต่งงานแล้ว เขาจึงไม่สามารถแช่เท้ากับเธอได้อีกต่อไป
เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นอี้โจวก็ไม่ได้บังคับผู้เป็นแม่
เขาไปเอากะละมังมาอีกใบ เทน้ำร้อน แล้วทุกคนก็แช่เท้ากัน
เซี่ยชิงหยวนเองก็รู้สึกอุ่นใจเช่นกัน
เพราะตอนที่เธอยังเด็ก เมื่อตกเย็นเธอจะต้มน้ำร้อนหนึ่งหม้อ แล้วทั้งครอบครัวไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก จะเอาเท้าจุ่มในอ่างน้ำร้อนร่วมกัน
หลายคนในครอบครัวออกไปทำงานในไร่นา ดังนั้นน้ำจึงเริ่มขุ่นเมื่อเท้าทุกคนจุ่มลงในอ่าง
จากนั้นหวังผิงก็จะแสร้งทำเป็นโกรธและดุพวกเขา ‘ไอ้ตัวเล็กคนไหนที่ไม่ล้างเท้าให้สะอาดเนี่ย’
เธอและพี่ชายทั้งสองคนหัวเราะด้วยกัน เตะเท้าให้น้ำกระเซ็น
หลังจากนั้นหวังผิงก็ดุและขับไล่พวกเขาออกไป
ความอบอุ่นจากหลังเท้ากระชากเซี่ยชิงหยวนออกจากห้วงความคิดของเธอ
เป็นเสิ่นอี้โจวที่วางเท้าบนหลังเท้าของเธอและถูเบา ๆ
แม้สีผิวของเสิ่นอี้โจวจะค่อนข้างขาว แต่เมื่อวางเท้าของเขาคู่กับของเซี่ยชิงหยวน มันก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน
เท้าใหญ่ปิดเท้าเล็ก นิ้วเท้าถูกับนิ้วเท้า ทำให้เกิดภาพหลวงเร้าอารมณ์อยู่กลาย ๆ
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและเห็นเสิ่นอี้โจวกำลังยิ้ม
ใกล้ ๆ พวกเขาคือหลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลิน เธอต้องการชักเท้ากลับโดยไม่รู้ตัว
แต่เสิ่นอี้โจวจับเธอไว้และพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “คุณคิดอะไรอยู่ หมกมุ่นขนาดนั้นเลยเหรอ?”
********************************