กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 162 ออกหน้าให้ภรรยา
บทที่ 162 ออกหน้าให้ภรรยา
บทที่ 162 ออกหน้าให้ภรรยา
“ขายเสื้อผ้า?” สมองของอาเซียงประมวลไม่ทันอยู่ชั่วขณะ
เธอชี้ไปทางร้านขายเสื้อผ้าหัวมุมถนนฝั่งตรงข้าม “ขายเสื้อผ้าแบบนั้นเหรอคะ?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและเอ่ยว่า “ใกล้เคียงจ้ะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด พี่วางแผนไว้ว่าช่วงแรกจะเปิดแผงขายแบบที่ขายสลัดตอนแรก ส่วนหน้าร้านพี่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะการขายเสื้อผ้าไม่เหมือนการขายสลัดเย็น มันต้องใช้ทั้งกำลังคนและต้นทุนมากมาย”
ยิ่งกว่านั้น การตกแต่งร้านขายเสื้อผ้าก็ไม่ได้ง่ายดายเหมือนร้านขายอาหาร
เซี่ยชิงหยวนต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเอง เธอต้องการทำแตกต่างจากสินค้าของคนอื่น
เมื่อเริ่มธุรกิจขายเสื้อผ้า หญิงสาววางแผนว่าจะเดินทางไปซื้อเสื้อผ้าที่เมืองตอนใต้
แต่เมื่อคำนวณเวลาในการเดินทางซึ่งน่าจะมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ อีกทั้งการไปที่นั่นลำพังอาจทำให้ครอบครัวเป็นห่วง หญิงสาวจึงคิดจะพาอาเซียงไปกับเธอด้วย
นอกจากนี้ อาเซียงยังอายุน้อยและคล่องแคล่ว อีกทั้งยังต้อนรับขับสู้ลูกค้าได้เป็นอย่างดี รวมถึงความคิดที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครด้วย เมื่อลูกค้าเลือกซื้อเสื้อผ้า พวกเขาไม่ได้ดูเพียงซื้อเสื้อผ้าที่ชอบเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ขายด้วยว่าเหมาะสมกับร้าน
ถ้าจับคู่กันได้ดี ลูกค้าจะเข้ามาใช้บริการในโอกาสหน้าอีกแน่นอน ดังนั้นอาเซียงจึงเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมมาก
อาเซียงพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “ได้ค่ะ! ฉันจะเก็บเรื่องนี้ไปลองคิดดูนะคะ”
แต่ทันใดนั้น เด็กสาวก็กังวลอีกครั้ง “พี่เซี่ยคะ พี่คิดว่าฉันทำได้จริง ๆ เหรอ?”
เธอไม่มีความรู้อะไรเลย และเพิ่งจะเรียนรู้ศัพท์บางคำจากเซี่ยชิงหยวนเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “เธอทำได้แน่นอนอยู่แล้ว เธอจำครั้งแรกที่เราพบกันได้ไหม? เธอรู้วิธีขายผักของตัวเองมากน้อยแค่ไหนล่ะ?”
“และตอนที่ขายเสื้อผ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ขายคือความเข้าใจว่าคนแบบไหนควรแต่งตัวอย่างไร ส่วนความรู้น่ะค่อย ๆ เรียนรู้ในอนาคตก็ไม่สาย”
เมื่ออาเซียงได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเธอก็เผยรอยยิ้มออกมา
เนื่องจากอุบัติเหตุที่ขาของพ่อเธอ ในฐานะลูกคนโตของครอบครัว เธอจึงกดดันอย่างมาก
เว้นแต่ตอนที่เซี่ยชิงหยวนสัญญาว่าจะสอนเธอกับอาจ้วงอ่านเขียน เด็กสาวก็ไม่เคยได้หัวเราะแบบนั้นอีก
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยอีกครั้งว่า “พี่วางแผนจะไปเมืองทางใต้ในเดือนหน้า เธอควรไปบอกกับพ่อแม่ทันทีที่เธอกลับถึงบ้านนะ”
อาเซียงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่เซี่ยมากนะคะ!”
…
หลังจากเซี่ยชิงหยวนทำข้อตกลงกับอาเซียงแล้ว เธอก็เดินเล่นรอบตลาดในขณะที่ยังเช้าอยู่
เธอต้องการทำอาหารอย่างอื่นเพิ่มอีก
แต่ข้อแม้คือมันต้องเป็นเมนูที่ไม่ทำยากเกินไป
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเดินใกล้จะสุดตลาด ร้านขายถั่วของชายชราคนหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของเธอ
ถั่วตากแห้งบรรจุอยู่ในถุงผ้า เมล็ดมีสีทองอวบซึ่งดูน่ากินมาก
ทว่าหลายคนกลับเดินผ่านแผงขายของเขา และไม่มีใครหยุดดูเลย
เซี่ยชิงหยวนนึกถึงฤดูร้อนในมณฑลทางใต้เมื่อชาติก่อน และบางครั้งก็คิดถึงวุ้นถั่ว*[1]ของที่นั่น
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงเดินไปสอบถามราคา ซึ่งชายชราขายถั่วเหล่านี้อยู่ที่แปดเฟินต่อจิน
เซี่ยชิงหยวนคาดคะเนว่าถุงถั่วน่าจะมีน้ำหนักประมาณสามสิบถึงสี่สิบจิน ดังนั้นเธอจึงซื้อมันทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวซื้อของมากมาย ชายชราจึงลดราคาให้เธอมากพอสมควร
เซี่ยชิงหยวนจำได้ว่ามีร้านบดถั่วบนถนนนอกตลาด เธอจึงคิดจะนำถั่วเหล่านี้กลับไปล้างน้ำสะอาดที่ร้านตัวเองก่อน จากนั้นจึงค่อยนำพวกมันให้ร้านบดอีกทอดหนึ่ง
เนื้อสัมผัสของวุ้นถั่วนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน วิธีทำก็ง่ายดาย หลังจากทำให้เนื้อวุ้นเย็นจนจับตัวเป็นก้อนแล้ว จึงตัดแบ่งเป็นเส้นหนาแล้วราดด้วยน้ำซอส มันอร่อยมาก
ช่วงนี้อากาศร้อน ทานวุ้นถั่วจะยอดเยี่ยมมาก
หลังจากซื้อถั่วตากแห้งแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็หยุดซื้อของ
เมื่อเธอกลับมาที่ร้าน เจียงเพ่ยหลานก็มาถึงแล้ว
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าเจียงเพ่ยหลานต้องไปส่งหลินอี้ตั่วและหลานชายไปโรงเรียนตอนเช้า เธอจึงอนุญาตให้เจียงเพ่ยหลานเข้าร้านหลังเก้าโมง
ถึงอย่างไร พวกเธอก็ขายอาหารเฉพาะช่วงเที่ยงกับช่วงเย็น อีกทั้งสลัดผักก็เตรียมได้ง่ายมาก พวกเธอจึงไม่จำเป็นต้องมาแต่เช้า
แม้แต่ตัวเธอเองก็ออกจากบ้านช้ากว่าเสิ่นอี้โจว
เซี่ยชิงหยวนเต็มใจที่จะซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องขูดหรือเครื่องหั่นซอย ดังนั้นการทำอาหารจึงยิ่งรวดเร็วขึ้น
มันเรียกว่าการลับคมมีดมิเป็นอุปสรรคต่องานตัดไม้*[2] เซี่ยชิงหยวนจึงไม่ต้องการให้ทุกคนเหน็ดเหนื่อยเพียงเพราะเงินเล็กน้อย
หลังจากล้างหอยขมจนสะอาดแล้ว เธอก็หั่นหน่อไม้เป็นชิ้น ๆ แล้วใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นหมักด้วยส่วนผสมเดียวกันกับครั้งที่แล้ว
เมื่อต้มในหม้อแล้ว ความสดของหอยขมและความเปรี้ยวของหน่อไม้ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว
พวกเธอคนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
เซี่ยชิงหยวนเสิร์ฟให้คนอื่นชิม “เป็นไง? อร่อยไหม?”
หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย “อร่อยจัง”
เจียงเพ่ยหลานพูด “จะดีกว่านี้ถ้าเอาไปผสมกับบะหมี่นะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “อืม มันก็เข้ากันได้ดีกับบะหมี่จริง ๆ”
ถ้ารู้ว่าการทำบะหมี่หอยขมไม่ยุ่งยาก หญิงสาวก็อาจขายบะหมี่หอยขมด้วย
เธอตักอาหารใส่หม้อเพื่อเตรียมขายในตอนเที่ยง และเก็บอีกครึ่งหม้อไว้ขายตอนบ่าย
ลูกค้าหลายคนที่เข้ามาซื้อของในตอนเที่ยงถูกดึงดูดด้วยกลิ่นของหอยขม พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสูดดมกลิ่นของมันและถามว่า “นี่คือหอยชนิดไหนเหรอ? ทำไมถึงมีกลิ่นหอมแต่ฉุนแบบนี้ล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ฉันใส่หน่อไม้ดองในหอยขมนี้ด้วยน่ะค่ะ น้ำจากในหน่อไม้ทำให้มันมีกลิ่นฉุนเป็นเรื่องปกติ และยิ่งกลิ่นฉุนเท่าไหร่ มันก็หมายถึงน้ำที่นำมาหมักมีคุณภาพดีด้วยนะคะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ทุกคนก็เข้าใจ และต่างพูดว่าอยากลองสักหน่อย
ไม่ว่าจะอย่างไร อาหารของร้าน ‘ในตรอกเก่า’ ก็มีรสชาติไม่เลว
ในร้านขายของชำที่ห่างไกลจากร้าน ‘ในตรอกเก่า’ ผู้หญิงวัยกลางคนที่เปิดแผงขายสลัดเย็นเหมือนกันชี้ไปยังผู้ชายตรงหน้าและด่าทอเขาว่า “ดูคนอื่นสิ กิจการของพวกเขาดีแค่ไหน? ฉันบอกคุณก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหมว่าให้เช่าร้านนั่นน่ะ! ตอนนี้เป็นไงล่ะ? คนอื่นแย่งเราไปแล้ว!”
ผู้ชายคนนั้นที่ถูกหญิงวัยกลางคนชี้และดุด่าเริ่มหน้าร้อนวาบเพราะความโมโห เขาโต้กลับว่า “ต่อให้คุณจะเปิดร้านแบบนั้น คุณก็สู้ร้านของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หรอก!”
หลังจากพูดจบ เขาหันกลับเข้าไปในบ้าน
ผู้หญิงคนนั้นมองตามหลังของสามีที่จากไป และกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ทำไมฉันถึงแต่งงานกับผู้ชายไร้ประโยชน์อย่างคุณนะ!”
“ทำไมฉันถึงชนะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้! เธอหัวเราะเก่งกว่าฉันหรือไง?!”
ยิ่งนึกถึงสลัดเย็นที่ซื้อมาเมื่อวาน หญิงวัยกลางคนก็ยิ่งโมโห เธอยังไม่ทันได้ดูด้วยซ้ำว่าอาหารใส่ส่วนผสมอะไรบ้าง สามีของเธอกลับกินหมดเกลี้ยงแล้ว
แถมเขายังบอกอีกว่าคราวหน้าให้ซื้อมากินอีก
เธอโกรธมากและมองค้อนใส่อีกฝ่ายทันที
จากนั้นเธอก็มองไปทางประตูร้าน ‘ในตรอกเก่า’ และสบถ “คอยดูเถอะ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าจะเก่งแค่ไหน!”
…
ณ สำนักงานของศาลากลาง
เซี่ยจิ่งเฉินนั่งอยู่ในห้องทำงานของเสิ่นอี้โจวอย่างสงบเสงี่ยม
เขาดูผอมกว่าตอนที่พบกับเซี่ยชิงหยวนครั้งล่าสุด
เขาถูมือตัวเองและพูดว่า “น้องเขย ขอบคุณมากสำหรับเรื่องนี้นะ”
ครั้งสุดท้ายที่เสิ่นอี้โจวโทรหาเขาและบอกว่าเขาจะได้ทำงานขับรถขนส่งที่ศาลากลาง เขาก็ดีใจจนเกือบจะกระโดดโลดเต้น
ถึงแม้ว่าจะเป็นงานคนขับรถขนของเหมือนกัน แต่สวัสดิการของที่ทำงานเก่ากลับเทียบกับงานที่ศาลากลางไม่ได้เลย
เดิมทีเจ้านายเก่าไม่ต้องการปล่อยเขาไป แต่เสิ่นอี้โจวแก้ไขปัญหาได้ด้วยการโทรศัพท์เพียงครั้งเดียว
แต่ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็กล่าวกับเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน “พี่รองครับ ชิงหยวนได้รับความทุกข์ใจมากมายตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะหลังจากพี่สะใภ้รองเข้ามาอยู่ในครอบครัว มันมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้นมากมาย แม้เธอจะไม่ค่อยพูด แต่ผมรู้ว่าชิงหยวนยังเศร้าอยู่เสมอ ผมจึงต้องการให้พวกคุณรับรู้และเห็นใจเธอนะครับ”
เขาหยุดชั่วคราว “ผมจึงไม่มั่นใจว่าพี่รองจะพอเป็นคนกลางในเรื่องนี้ได้หรือเปล่าครับ”
ทำไมเซี่ยจิ่งเฉินจะไม่เข้าใจคำพูดนี้?
ไม่ใช่ว่าเสิ่นอี้โจวกำลังออกหน้าแทนภรรยาหรือ?
เสิ่นอี้โจวใช้คำว่า ‘ความเข้าใจผิด’ เพื่อเปิดเผยสิ่งที่เสียหายในบ้าน แต่ยังคงไว้หน้าเขาในทางอ้อม
ดังนั้นเซี่ยจิ่งเฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลง “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะโทรกลับบ้านทีหลังและบอกแม่กับสะใภ้รองให้เอง เมื่อชิงหยวนกลับบ้านในอนาคต ฉันสัญญาว่าจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป!”
เซี่ยจิ่งเฉินรับปากพลางตบอกเสียงดัง แต่ถึงแบบนั้นจางอวี้เจียวก็ยังคงไม่ฟังเขาอยู่ดี
โชคดีที่ในครั้งนี้หวังผิงมีสติดี ไม่เช่นนั้นเขาอาจยังคงได้ขับรถบนถนนภูเขาที่สูงชันแทน
เสิ่นอี้โจวไม่ได้สนใจมากนัก และแม้แววตาของเขาจะอ่อนโยน แต่มันยังมีร่องรอยความห่างเหินอยู่ “พี่รอง คุณเป็นพี่ชายคนรองของชิงหยวน ดังนั้นเราจึงเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมองกันแบบนี้หรอกครับ”
เซี่ยจิ่งเฉินเข้าใจความหมายของคำพูดของอีกฝ่ายดี
มันไม่ได้หมายความว่าเสิ่นอี้โจวทำทั้งหมดนี้เพื่อเห็นแก่หน้าเซี่ยชิงหยวนหรอกหรือ?
เซี่ยจิ่งเฉินจึงให้สัญญาอีกครั้ง “ฉันจะบอกสะใภ้ให้ ฉันมั่นใจว่าเธอจะไม่ทำอะไรวุ่นวายอีกแน่นอน”
แม้ว่าเสิ่นอี้โจวจะไม่เชื่อในการรับประกันของอีกฝ่ายจริง ๆ แต่เขาก็ยังพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
ในขณะเดียวกันนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งก็มารายงานตารางการทำงาน ดังนั้นเซี่ยจิ่งเฉินจึงยืนขึ้น “ฉันจะไปรายงานตัวแล้ว นายทำงานต่อเถอะ”
เสิ่นอี้โจวก็ยืนขึ้นเช่นกัน “คุณไปพบเสี่ยวเหยียนที่โต๊ะบริการในล็อบบี้ชั้นหนึ่งก่อนนะครับ แล้วเขาจะพาคุณไปเดินเรื่องเอกสารต่าง ๆ คืนนี้มาทานอาหารเย็นด้วยกันที่บ้านก็ดีนะครับ ชิงหยวนไม่ได้พบคุณมาระยะหนึ่งแล้ว”
เซี่ยจิ่งเฉินตอบกลับ “ได้สิ”
ในขณะที่เซี่ยจิ่งเฉินเพิ่งลงไปถึงชั้นล่างและพบโต๊ะบริการที่เสิ่นอี้โจวกล่าวถึง เขาก็ถูกจางอวี้เอ๋อที่รออยู่ก่อนหน้านานแล้วดึงตัวไป
ดวงตาของเธอเป็นประกาย “พี่เขย ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ?”
[1] วุ้นถั่วหรือวานโต้วเหลียงเฟิ่น เป็นอาหารว่างที่ทำเยลลี่จากถั่วบดสะเอียด ลักษณะคล้ายเส้นบะหมี่หรือหั่นเป็นก้อน เป็นอาหารที่นิยมในยูนนาน เสฉวน และอื่น ๆ
[2] การลับคมมีดมิเป็นอุปสรรคต่องานตัดไม้ เป็นการอุปมา หมายถึง การทุ่มเทเวลาไปกับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน