กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 18 ฮวงจุ้ยพลิกผัน
บทที่ 18 ฮวงจุ้ยพลิกผัน
บทที่ 18 ฮวงจุ้ยพลิกผัน
ในสายตาของทุกคน แม้ว่าเสิ่นอี้โจวจะไม่ชอบหัวเราะ แต่เขาก็ดูเป็นมิตรเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นด้านนี้ของเขา
เมื่อสีหน้าของชายหนุ่มบูดบึ้ง เขาก็ดูน่ากลัวราวกับเป็นคนละคน
พวกผู้หญิงรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าพวกเธอผิด ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดอะไร พวกเธอทั้งหมดจึงมุ่งความสนใจไปที่ผานเยว่กุ้ยแทน
ผานเยว่กุ้ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวออกมา และสีหน้าที่มักจะหยิ่งยโสไม่เกรงใจใครในเวลาปกติได้เลือนหายไปในเวลานี้
เธอพูดว่า “เราเพิ่งพบหวังชุ่ยเฟินกับตู้อวิ๋นเซิงที่ลานตากข้าว แต่หวังชุ่ยเฟินบอกว่าเธอเป็นเพียงผู้ส่งข้อความให้กับภรรยาของแก เธอบอกว่าภรรยาของแกนัดตู้อวิ๋นเซิงไปพบที่ลานตากข้าว แต่สุดท้ายภรรยาของแกกลับวางแผนจัดฉากให้หวังชุ่ยเฟินเป็นคนผิด”
การแสดงออกของเสิ่นอี้โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สีหน้าของเขายังคงไว้ด้วยความเย็นชาก่อนที่เขาจะตะคอกออกมา “คุณป้าเยว่กุ้ย นี่คือสาเหตุที่คุณพาคนมาพังบ้านของผมในตอนนี้เหรอครับ? ถ้าคนอื่นไม่รู้ พวกเขาคงคิดว่าคุณยังอยู่ในสังคมแบบเก่าที่ไร้ซึ่งกฎหมาย!”
คำพูดของชายหนุ่มในเวลานี้เป็นคำพูดที่รุนแรงมาก
รอยแดงบนใบหน้าของผานเยว่กุ้ยที่ยังไม่จางหาย มันก็เริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เธอพึมพำ “อี้โจว หลานอย่าโกรธป้าขนาดนี้สิ จริง ๆ ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนให้ป้ามาบอกให้ชิงหยวนไปที่ลานตากข้าว ตอนนี้ป้านำคำพูดมาบอกหลานแล้ว หลานจะไปหรือไม่ไปก็ได้ตามที่หลานต้องการ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ส่ายศีรษะและเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อกลุ่มหญิงแก่เห็นสิ่งนี้ พวกเธอก็เดินจากไปด้วยความสิ้นหวัง
หลินตงซิ่วที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ฟังสิ่งที่พวกเขาพูด เธอจึงรีบเอ่ยถามบุตรชายว่า “อี้โจว เราควรทำยังไงดี”
ชายหนุ่มยิ้มและแตะแขนของหลินตงซิ่วเบา ๆ “แม่ครับ ไม่เป็นไรหรอก ผมจะไปกับชิงหยวนเอง แม่กับอี้หลินพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะ”
เมื่อเห็นท่าทางสงบไร้กังวลของลูกชายคนโต หัวใจของหลินตงซิ่วก็ผ่อนคลายลงได้ครึ่งหนึ่ง
เธอมองไปยังเซี่ยชิงหยวนแล้วคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะเกลี้ยกล่อมเสิ่นอี้โจว “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกต้องยืนเคียงข้างภรรยาของลูกก่อน ถ้ามีอะไรค่อยกลับมาคุยกันที่บ้านนะ”
เมื่อได้ยินแม่สามีพูดแบบนั้น เซี่ยชิงหยวนก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด เธอจึงเอื้อมไปจับมือที่หยาบกร้านของอีกฝ่ายเอาไว้และพูดว่า “แม่คะ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ อี้โจวกับหนูจะกลับมาเร็ว ๆ นี้”
จากนั้นเธอก็พูดกับเสิ่นอี้หลินซึ่งยืนอยู่ข้างประตู “อี้หลิน อยู่กับแม่ที่บ้านนะ”
ทว่าเสิ่นอี้หลินวิ่งเข้ามาพลางส่ายหัวและพูดกับพวกเขาว่า “ไม่เอา ผมจะไปกับพวกพี่”
เสิ่นอี้โจวยิ้มและตบหัวของเขาเบา ๆ “นายไปจะทำอะไรได้?”
เสิ่นอี้หลินพูดอย่างกังวล “ผมจะเป็นพยานให้กับพี่สะใภ้ของผม!”
จากการสนทนาของพวกเขาในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
สำหรับเด็กชายคนนี้ ตราบใดที่เซี่ยชิงหยวนเต็มใจที่จะรั้งอยู่ในครอบครัวและปฏิบัติต่อพี่ชายคนโตกับแม่ของเขาเป็นอย่างดี แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว
อีกทั้งเขายังตระหนักดีถึงสิ่งที่หญิงสาวคนนี้ปฏิบัติต่อเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นอย่างดี
ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะช่วยอธิบายให้กับอีกฝ่าย
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เด็กชายตัวเล็กคนนี้ที่เมื่อก่อนแทบไม่แยแสเธอเลย แต่ตอนนี้เขากลับเลือกที่จะยืนขึ้นกางปีกปกป้องเธอ มันคล้ายมีกระแสอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเธอ
เธอจับมือเขาและเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของเธอ “อย่ากังวลเลย พี่ชายของนายกับฉันจัดการมันได้”
สัมผัสอันอ่อนโยนและละเอียดอ่อนที่แตกต่างจากแม่ของเขา มาจากมือที่เขาจับกับเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้หลินดิ้นไปมาอย่างไม่เป็นทำธรรมชาติ แต่ไม่ได้ใช้กำลังกับอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็หันหน้าหนี โดยพยายามทำให้ตัวเองดูเฉยเมยที่สุด
“ใครเป็นห่วงพี่? ผมแค่กลัวว่าพี่จะโง่เง่าจนถูกคนพวกนั้นรังแกเมื่อไปถึงที่นั่นก็เท่านั้น”
ท่าทีของพี่สะใภ้ดูแปลกไปอย่างมาก หลังจากตกลงไปในน้ำ ใครจะรู้ว่าเธอจะพลาดพูดอะไรหลุดไปในยามคับขันหรือเปล่า
เสิ่นอี้โจวลูบหัวน้องชายตัวเอง “มันดึกแล้ว นายกับแม่ควรเข้านอนได้แล้ว”
เมื่อถึงเวลานั้น การโต้เถียงอันยืดเยื้อก็จะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าเด็กชายจะฉลาดแค่ไหน เขาก็ยังเป็นแค่เด็ก จึงไม่ค่อยเหมาะนักหากจะให้เขาไปอยู่ที่นั่น
ดังนั้นจึงมีเพียงพวกเขาที่เดินตามผานเยว่กุ้ยและคนอื่น ๆ ไปที่ลานตากข้าว
หลินตงซิ่วมองตามแผ่นหลังของพวกเขา แล้วก็รู้สึกราวกับคนทั้งสองกลายเป็นมดที่ตกลงไปในหม้อไฟร้อนระอุ
จากนั้นเธอก็พูดกับลูกชายคนเล็กว่า “อี้หลิน ลูกอยู่บ้านนะ แม่จะไปคุยกับลุงของลูกเพื่อขอความช่วยเหลือ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นอี้หลินก็รีบหยุดอีกฝ่าย “แม่ต้องการอะไรจากคุณลุง”
เสิ่นสิงกับผานเยว่กุ้ยล้วนแต่เป็นคนไม่ดีทั้งนั้น
ใคร ๆ ก็รู้ว่าเสิ่นสิงเป็นนักบัญชีของหมู่บ้าน ถ้าไปบอกให้อีกฝ่ายพูดแทน พวกเธอคงต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรบางอย่าง
หลินตงซิ่วขมวดคิ้วจนสามารถบีบให้ยุงตายได้ “แล้วลูกคิดว่าเราควรทำยังไง”
เสิ่นอี้หลินเกาศีรษะ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นว่า “ไปนอนกันเถอะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวมาถึงลานตากข้าว ทั่วทั้งลานก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว แสงไฟฉายสาดส่องจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นสว่างขึ้น
บรรยากาศในหมู่บ้านซีสุ่ยนั้นดีมาตลอด ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาวแบบนี้ขึ้น ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนเช่นกัน
ทั้งที่ยังไม่ทันจะเข้าไป ทุกคนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากกลางลานตากข้าว อีกทั้งยังมีเสียงด่าทอสาปแช่งของผู้ชายที่ดังไม่หยุด และสุดท้ายคือเสียงห้ามปรามจากคนอื่น ๆ
ซึ่งนั่นก็คือ หวังชุ่ยเฟินกับเจี่ยกุ้ยผู้เป็นสามีของเธอ
ดูเหมือนว่าเจี่ยกุ้ยจะได้ยินเรื่องราวมาแล้ว จากนั้นเขาก็บึ่งมาที่นี่และทุบตีผู้เป็นภรรยาทันที
เจี่ยกุ้ยขายเนื้อหมูอยู่ในตัวเมือง เขามีรูปร่างสูง แม้จะดูเจ้าเนื้อ ทว่ากลับแข็งแรงอย่างน่าเหลือเชื่อ
เมื่อผู้คนเห็นเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวเดินเข้ามา พวกเขาก็หลีกทางให้ทีละคน และมองทั้งคู่ด้วยความสงสัยและแปลกประหลาด ชายหนุ่มจับมือเซี่ยชิงหยวนเดินเข้ามา
หญิงสาวเดินตามหลังเสิ่นอี้โจว ขณะมองแผ่นหลังกว้างของเขา เธอก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของชายหนุ่ม เธอจึงรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อไปถึงกลางลาน พวกเขาก็เห็นผู้ใหญ่บ้านคนเดิมยืนค้ำไม้เท้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและไม่พูดอะไร
ฝั่งตรงข้ามของเขาคือหวังชุ่ยเฟินซึ่งนั่งอยู่บนพื้นด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง แก้มแดงและบวมช้ำ ทั้งยังมีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากของเธอ
เจี่ยกุ้ยถูกลากไปข้าง ๆ เขาแทบจะหายใจไม่ออกด้วยความโกรธ ดวงตาที่จ้องมองไปยังผู้เป็นภรรยาของเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
และแม่เฒ่าเจี่ยก็อยู่ข้าง ๆ กำลังชี้หน้าด่าหวังชุ่ยเฟิน “นังหญิงสำส่อน แกสมควรโดนตีให้ตาย!”
หวังชุ่ยเฟินก้มหน้าลง กัดริมฝีปากและนิ่งเงียบ
สิ่งนี้เรียกว่าฮวงจุ้ยพลิกผัน เมื่อเธอถูกจับได้ ทุกคนต่างก็ตำหนิเธอ แม้หญิงสาวจะหวังว่าตู้อวิ๋นเซิงอธิบายให้ทุกคนฟังสักประโยคสองประโยค แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่ตู้อวิ๋นเซิงจะปิดปากเงียบ แม้แต่ผานเยว่กุ้ยก็ยังซ้ำเติมจนเธอ
แม้แต่คนใกล้ชิดที่สุดรอบตัวก็พูดว่าเธอผิดเช่นกัน ไม่ว่าหญิงสาวจะแก้ตัวยังไงก็ไม่มีประโยชน์
แล้วเธอในเวลานี้จะรู้สึกโกรธแค้นได้ยังไงกัน?
ทั้งที่วันนี้เธอหวังจะให้เซี่ยชิงหยวนได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดและอัปยศอดสู แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเธอมองไปที่เซี่ยชิงหยวน อีกฝ่ายก็มองเธออยู่เช่นกัน
สายตาของหวังชุ่ยเฟินจับจ้องไปที่เสิ่นอี้โจวก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนมาที่เซี่ยชิงหยวน
ทว่าความเฉยเมยและความรังเกียจบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว และรอยยิ้มครึ่งหนึ่งบนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนกลับกระตุ้นเธอเป็นอย่างมาก
ดวงตาของหวังชุ่ยเฟินเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เธอกระโดดขึ้นจากพื้นและพุ่งไปหาเซี่ยชิงหยวนแล้วตะโกนว่า “นังเลว! ฉันจะฆ่าแก!”