กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 186 ไสหัวออกไป
บทที่ 186 ไสหัวออกไป
บทที่ 186 ไสหัวออกไป
เมื่อกลับถึงบ้าน เซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วก็เข้าครัวทำอาหารด้วยกัน
ในช่วงเวลานั้นเซี่ยชิงหยวนเรียกเสิ่นอี้หลินให้มาหา และทั้งสองคนก็ทำมะม่วงแช่อิ่มกินด้วยกัน
ที่เรียกว่าแช่อิ่มนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการปอกเปลือกสีเขียวของมะม่วงออก และตัดเป็นเส้นยาว จากนั้นจึงใส่น้ำ พริกป่นและเกลือลงไป
สุดท้ายนำมะม่วงเขียวแช่ลงในโหล ซึ่งรสเค็มเผ็ดของเครื่องปรุงที่ผสมผสานกับรสเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ของมะม่วงเขียว
แต่ถึงอย่างนั้น รสชาติของการแช่อิ่มยังทำให้รสเปรี้ยวของมะม่วงเบาบางลง ทำให้รสเปรี้ยวไม่ชัดเจนเหมือนกินแบบเปล่า ๆ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนยังเด็ก เธอเคยเห็นบางคนเก็บมะม่วงดิบจากต้นมาเช็ดด้วยเสื้อผ้าแล้วกินมันโดยตรง
คนคนนั้นกินมันอย่างกับไม่เปรี้ยวเท่าไหร่
แต่เธอไม่สามารถกินแบบนั้นได้ เพราะมันเปรี้ยวเกินไปสำหรับเธอจริงๆ
เสิ่นอี้หลินกินกับเธอ พอกัดเข้าไปแล้วรู้สึกเปรี้ยวมาก
ทว่าเสิ่นอี้หลินก็ปลอกมะขามออก และส่งให้เซี่ยชิงหยวน “พี่สะใภ้ กินสิ”
ปากของเซี่ยชิงหยวนเปรี้ยวจากมะม่วงดิบแล้ว และเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับมะขามมาอีกภายใต้ดวงตาอันคาดหวังของเสิ่นอี้หลิน
ทันทีที่เธอเอาเข้าปาก เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกเปรี้ยวจนตัวสั่นไปทั้งตัว
มันเปรี้ยวมากจริง ๆ!
ตอนนี้มันราวกับว่าฟันของเธอดูเหมือนจะไม่ได้เป็นของตัวเองอีกต่อไป
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เสิ่นอี้หลินก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
เด็กน้อยยังยัดพุทราอีกลูกเข้าปากเธออย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้เซี่ยชิงหยวนเปรี้ยวมากจนดวงตาของเธอปิดแน่น และไม่สามารถเปิดได้อยู่ครู่หนึ่ง
ขณะเดียวกัน เติ้งซูอี้ก็เพิ่งกลับมาจากเลิกงานในเวลานี้
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้หลินกำลังทำหน้าตาเหยเก พลางได้กลิ่นเปรี้ยวในอากาศ ทำให้เธอเกิดอาการน้ำลายสอทันที
เธอหันปลายเท้าแล้วเดินเข้าหาทั้งสองอย่างแน่วแน่
เติ้งซูอี้ยิ้มและพูดว่า “กำลังกินมะม่วงกันอยู่เหรอ?”
เธอสูดจมูกอีกครั้ง “ดูเหมือนจะมีมะขามด้วยใช่ไหม?”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้หลินเห็นเติ้งซูอี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็หุบลงทันที
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและตอบว่า “ใช่”
ท่าทีของเธอไม่เย็นชาก็จริง แต่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากนักเช่นกัน
แต่เติ้งซูอี้ไม่คิดอย่างนั้น
อีกฝ่ายพูดต่อ ‘ทำไมจู่ ๆ เธอถึงชอบกินของพวกนี้ล่ะ หรือว่ามีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้นเหรอ?”
ขณะที่เธอพูด สายตาก็จับจ้องไปที่หน้าท้องแบนราบของเซี่ยชิงหยวน
สายตาของเธอชัดเจนมาก
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินและเห็นแบบนั้น สีหน้าของเธอดูแย่ทันที
เติ้งซูอี้ผู้นี้ไม่ได้เรียนรู้เลยจริง ๆ ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเย็นชาและพูดว่า “ผู้คนในมณฑลอวิ๋นชอบรับประทานอาหารร้อนและเปรี้ยว ถ้าคิดตามคำพูดของคุณ ผู้คนในมณฑลอวิ๋นทั้งหมดคงมีเรื่องดีกันทุกคนเลยสินะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเติ้งซูอี้แข็งค้าง เธอโบกมือและพูดว่า “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ฉันแค่เห็นเธอกินของพวกนี้อยู่ก็เลยรู้สึกเป็นห่วงน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เลิกคิ้วขึ้น “โอ้ เราสนิทหรือคุ้นเคยกันด้วยเหรอคะ? ถ้าไม่คุ้นเคยกันทำไมคุณต้องมาสนใจทุกอย่างในบ้านของฉันนัก? ถ้าคนอื่นไม่รู้ พวกเขาจะคิดว่าครอบครัวของคุณอาศัยอยู่ริมทะเล*[1]เอานะ”
คำพูดนี้ไม่สุภาพอย่างแน่นอน
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกไม่ชอบเติ้งซูอี้คนนี้เลย ผู้หญิงคนนี้มักจะนินทาเธอให้หลินตงซิ่วฟังอยู่เสมอเมื่อเธอไม่อยู่บ้าน
ผู้หญิงคนนี้มักชอบพูดไร้สาระเรื่องที่เธอไม่อยู่ดูแลทุกอย่างที่บ้าน ดูแลผู้ชาย และให้เกียรติแม่สามีของตนเอง
แถมยังบอกอีกว่าการทำงานหนักนอกบ้านทุกวันมีแต่จะทำให้ผู้คนซุบซิบนินทา
และยังลามนินทาไปถึงเรื่องว่าหลังจากแต่งงานมานาน เธอก็ยังไม่ท้องเสียที ดังนั้นควรไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายซะ…
ถ้าเสิ่นอี้หลินไม่บอกเซี่ยชิงหยวนเรื่องนี้ เธอก็คงไม่รู้ และยังโชคดีที่แม่สามีของเธอไม่ใช่คนหูเบา ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นแม่สามีคนอื่นก็คงทะเลาะกับเธอไปนานแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับคนประเภทนี้ที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายพอ เธอก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างดีด้วยอีกแล้ว
เติ้งซูอี้ไม่สามารถรักษารอยยิ้มได้อีกต่อไป
เธอพูดว่า “นี่ เธอเป็นอะไรของเธอ ฉันเห็นว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกัน ผู้ชายของเราก็ทำงานด้วยกัน ฉันเลยเป็นห่วง ถ้าเธอไม่ชอบก็ลืมไปสิ ทำไมต้องพูดแรงขนาดนี้ด้วยล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนพูดอย่างเย็นชา “ไม่ใช่ว่าฉันต้องเป็นคนถามประโยคหรอกเหรอ? ในเมื่อคุณรู้ว่าฉันไม่ต้องการฟัง แต่คุณมักจะมาหาฉันเพื่อแสดงตัวตนของคุณเสมอ คนอย่างคุณมันความจำสั้นรึไง หรือว่ากินอิ่มนอนหลับแล้วจะทำอะไรกับคนอื่นก็ได้?”
เธอมองหล่อนอย่างเย็นชา “คุณบอกว่าผู้ชายของฉันกับผู้ชายของคุณเป็นเพื่อนร่วมงานกัน แต่การกระทำของคุณทำให้ฉันคิดว่าครอบครัวของฉันมีความแค้นกับคุณมากกว่า ฉันเห็นคุณเอาแต่รบกวนสร้างความไม่สงบให้กับครอบครัวฉันอยู่ตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ!”
พอได้ยินแบบนั้น เติ้งซูอี้ก็ชี้ไปที่เซี่ยชิงหยวน “เธอ…เธอ…เธอ…”
หลังจากผ่านไปนาน เธอก็พูดอะไรไม่ได้สักคำ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหอเส้าหยวนได้เป็นรองผู้อำนวยการ และสถานะของเธอก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ใครบ้างในศาลากลางหรือบริเวณที่พักอาศัยครอบครัวเจ้าหน้าที่เห็นเธอแล้วจะไม่ทักทายเธออย่างสุภาพบ้าง?
แม้แต่ฟางเยว่ที่ขัดแย้งกับเหอเส้าหยวนก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้าด้วยความไม่เป็นมิตรกับเธอเช่นนี้เลย
เติ้งซูอี้ไม่เพียงแต่โกรธเท่านั้น แต่ยังอับอายอีกด้วย นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้
เธอจ้องไปที่เซี่ยชิงหยวนอย่างดุเดือดและพูดว่า “เธอนี่มันไม่รู้เลยว่าใครหวังดีด้วย ฮึ่ม!”
หลังจากเดินไปได้สองก้าว เธอก็หันศีรษะกลับมาอีกครั้ง “หน้าตาดีจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเป็นแม่ไก่ที่วางไข่ไม่ได้!”
ขณะเดียวกัน เมื่อตอนที่เสิ่นอี้หลินอยู่ในหมู่บ้านซีสุ่ย เขามักจะได้ยินผานเยว่กุ้ยพูดจาแบบนี้กับเซี่ยชิงหยวนเช่นนี้ จากนั้นเซี่ยชิงหยวนจะซ่อนตัวอยู่ในห้องคนเดียวและร้องไห้เงียบ ๆ
เขาถามผู้ใหญ่ในภายหลังว่ามันหมายความว่าอย่างไร และรู้ว่านี่เป็นคำด่าที่เลวร้ายมาก
เด็กชายโกรธมาก ก้าวไปยืนอยู่ข้างหน้าเซี่ยชิงหยวนเหมือนนกอินทรีเฝ้าลูกของมัน และตะโกนกลับไป “คุณมันผู้หญิงเลว! คุณน่ะสิที่เป็นไก่! และครอบครัวคุณทั้งหมดก็เป็นไก่ทั้งหมด! ไก่และลูกเจี๊ยบ! คุณไม่ได้รับการต้อนรับในครอบครัวของเรา!”
เติ้งซูอี้ไม่คาดคิดว่าเธอจะถูกเสิ่นอี้หลินด่าแบบนี้
เธอขมวดคิ้วชี้ไปที่เสิ่นอี้หลินและดุว่า “แกมันก็เป็นแค่เด็กเหลือขอที่เกิดมาแล้วไม่ได้รับการสั่งสอนจากพ่อแม่ ไม่น่าแปลกใจเลย… อ๊า!”
ในขณะที่เธอกำลังสาปแช่ง เซี่ยชิงหยวนก็คว้ามือของเธออย่างแรงจนอีกฝ่ายกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากของเธอ “ปล่อยนะ!”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเติ้งซูอี้ดุน้องสามีของเธอเช่นนี้ ความโกรธของเธอก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด
เสิ่นอี้หลินต้องทนทุกข์ทรมานมากกับการถูกจ้องมองและกลั่นแกล้ง เพราะเขาไม่มีพ่อตั้งแต่ยังเด็ก
บางคนถึงขนาดนินทาเขาว่าเป็นตัวซวยที่เกิดมาฆ่าพ่อตัวเอง และถูกนินทาล้อเลียนด้วยคำพูดที่น่าเกลียดสารพัด
ประสบการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจวัยเยาว์ของเสิ่นอี้หลินอย่างมาก
เซี่ยชิงหยวนบีบมือของเติ้งซูอี้อย่างแรงแล้วพูดว่า “คุณแก่มากแล้วยังพูดจารุนแรงกับเด็กแบบนี้อีก มีชีวิตที่ยืนยาวอย่างสิ้นเปลืองเปล่าจริง ๆ!”
เติ้งซูอี้ “เขา…”
เซี่ยชิงหยวนขัดจังหวะเธอ “เขาอะไร? ไม่ใช่ว่าเขาพูดถูกแล้วเหรอ? บ้านของคุณอยู่ที่ไหนก็รีบไปซะ! ไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
*อาศัยอยู่ริมทะเล [住海边的] หมายถึง การแสดงความคิดเห็นของตนเพื่อตัดสินผู้อื่น และบางครั้งก็พูดมากจนเกินไป ทำให้หลายคนเกิดความรำคาญ ซึ่งความจริงแล้วพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติผู้อื่นเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ยังเป็นสุภาษิตจีนที่ใช้กันทั่วไป ส่วนใหญ่จะแสดงออกถึงการยกย่องและชื่นชมในวิถีชีวิตและความคิดของใครบางคน มักจะหมายความว่าบุคคลหนึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่สวยงามและได้รับประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทะเล เช่น อาหารทะเล การพักผ่อน และความบันเทิงริมทะเล เป็นต้น
แต่ความหมายเฉพาะของประโยคนี้จำเป็นต้องดูตามบริบทและสถานการณ์เฉพาะประกอบด้วย
********************************