กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 188 ไม่ได้รับความเป็นธรรม
บทที่ 188 ไม่ได้รับความเป็นธรรม
บทที่ 188 ไม่ได้รับความเป็นธรรม
รอยยิ้มของเหอเส้าหยวนกว้างขึ้น
เขาเหลือบมองเข้าไปในบ้านก่อนจะพูดว่า “ผมเพิ่งกลับมาและได้ยินอะไรบางอย่างน่ะ อาจมีเรื่องเข้าใจผิดระหว่างภรรยาของผมกับภรรยาของคุณได้ เพราะอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมจึงไม่อยากให้ติดใจอะไรกันนาน ไม่เช่นนั้นถ้าปล่อยผ่านไป จากความเข้าใจผิดอาจจะกลายเป็นหนามในใจของเราได้ จริงไหมครับ?”
หลังจากพูดจบ เขาดึงชายเสื้อของเติ้งซูอี้ กระตุ้นให้เธอพูดอะไรออกมาบ้าง หรือพูดสักสองสามคำก็ยังดี
ตอนนี้เติ้งซูอี้รำคาญแทบตาย
เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของเหอเส้าหยวนนั้นใหญ่กว่าของเสิ่นอี้โจว แล้วทำไมเธอต้องมาขอโทษเซี่ยชิงหยวนด้วย?
หลังจากเป็นภรรยาของเจ้าหน้าที่มาหลายปี เธอไม่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อน
ตอนแรกเธอเอะอะและปฏิเสธที่จะมา แต่เหอเส้าหยวนกลับชี้หน้าและดุด่าเธอ “ฉันบอกให้เธอหักห้ามใจตัวเองไง แต่ทำไมถึงไม่ฟังกัน ตอนนี้กลายเป็นว่าทำให้คนอื่นขุ่นเคืองซะงั้น! กว่าฉันจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ ถ้าเกิดหน้าที่การงานของฉันมีปัญหาเพราะเธอ เธอจะรับผิดชอบได้ไหม!”
แน่นอนว่าเติ้งซูอี้ปฏิเสธที่จะยอมรับโดยปริยาย “ถ้าฉันทำให้นังนั่นขุ่นเคืองแล้วยังไง? คุณจะไม่ประสบความสำเร็จในการงานแบบไหน? คุณไม่ได้ยินคำที่นังนั่นด่าฉัน มันไม่ไว้หน้าฉันเลยคุณรู้บ้างไหม!”
เหอเส้าหยวนขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายความซับซ้อนของปัญหาให้เธอฟัง
แม้ว่าตอนนี้ตำแหน่งของเสิ่นอี้โจวจะต่ำกว่าเขา แต่เสิ่นอี้โจวก็มีผู้สนับสนุนในมณฑล
และเขายังได้ยินมาว่าแม้แต่ในเมืองหลวง เสิ่นอี้โจวก็มีความสัมพันธ์อันดีกับคนบางคน
เสิ่นอี้โจวมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งและมีความสามารถขนาดนี้ เขาสามารถทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองได้ด้วยเหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้นในศาลากลางทั้งหมด ใครไม่รู้บ้างว่าเสิ่นอี้โจวรักภรรยาของเขามากแค่ไหน?
ถ้าเซี่ยชิงหยวนไม่พอใจกับเรื่องนี้ เสิ่นอี้โจวจะทำอย่างไรกับเขาต่อในอนาคต?
ในอนาคตเมื่อเสิ่นอี้โจวไปทำงานที่เมืองหลวงของมณฑล แล้วเสิ่นอี้โจวผูกใจเจ็บและใช้อำนาจกดทับลงมา เขาคงทำได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ยากลงท้องโดยไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย
ดังนั้นเขาจึงไม่อธิบายให้เติ้งซูอี้ฟังอีก และพูดตรง ๆ ว่า “ฉันจะพูดสั้น ๆ เธอต้องไป ต่อให้เธอไม่ต้องการก็ต้องไปให้ฉัน ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้จัดการให้ดีและทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ฉันกับเธอจะได้เห็นดีกันแน่!”
เหอเส้าหยวนไม่เคยสนใจเรื่องในครอบครัวมาก่อน
เติ้งซูอี้มักจะทำตัวเป็นใหญ่ที่บ้าน ตัวเขาก็ไม่เคยถือสา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
ดังนั้นเธอจึงตื่นตระหนกเช่นกัน หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พูดได้ในที่สุด “ไป ฉันไปก็ได้”
ในตอนนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของเหอเส้าหยวน ดวงตาของเสิ่นอี้โจวพลันแข็งค้าง จากนั้นเขาก็หรี่ตาจ้องที่เหอเส้าหยวน “อันที่จริงผมยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
จากนั้นสายตาของเขามองไปที่เติ้งซูอี้ และเขาพูดว่า “พวกคุณสองคนเข้ามาก่อนสิ”
เมื่อเห็นเสิ่นอี้โจวดูยังไม่โกรธเท่าไหร่ เหอเส้าหยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นี่แสดงว่าสิ่งต่าง ๆ ยังคงคุยกันได้ เขายิ้มและพูดว่า “ได้เลย ได้เลย”
จากนั้นเขาเดินตามเสิ่นอี้โจวเข้าไปในบ้านก่อนจะขยิบตาส่งสัญญาณให้เติ้งซูอี้พูดเรื่องนี้ในภายหลัง
ในขณะที่เหอเส้าหยวนและเติ้งซูอี้กำลังคุยกันอยู่ที่ประตู เซี่ยชิงหยวนพอได้ยินเสียงอยู่บ้าง แต่เธอไม่ได้ยินคำที่เฉพาะเจาะจงอย่างชัดเจนนัก
ไม่คาดคิดเลยว่าคนพวกนี้จะมาเร็วมาก
หลังจากที่เสิ่นอี้โจวนำผู้คนเข้ามา
เซี่ยชิงหยวนก็ทักทายเหอเส้าหยวน แต่สำหรับเติ้งซูอี้ที่ตามเข้ามานั้น หญิงสาวทำเป็นเหมือนไม่เห็นอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้ทะเลาะกันไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพหรือไว้หน้าอะไรทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ต้องการญาติดีกับคนอย่างเติ้งซูอี้อีกต่อไป เพราะมันจะยิ่งทำให้เธอเหนื่อยและพลอยรังเกียจอีกฝ่ายในอนาคต
เสิ่นอี้โจวขอให้ทั้งสองนั่งลงแล้วขยิบตาให้เสิ่นอี้หลิน เพื่อส่งสัญญาณให้น้องชายกลับไปที่ห้องนอน
เสิ่นอี้หลินทักทายเหอเส้าหยวนด้วยคำว่า ‘คุณลุง’ อย่างสุภาพมาก จากนั้นก็กลับไปที่ห้องนอนของตน
เมื่อเห็นฉากนี้ หลินตงซิ่วก็ยิ่งรู้สึกผิด เธอพูดขึ้นว่า “พวกลูกพูดคุยกันไปนะ แม่ขอตัวไปล้างจานก่อน”
เดิมทีเสิ่นอี้โจวต้องการให้หลินตงซิ่วอยู่ด้วย เพื่อให้นั่งฟังด้วยกัน
แต่เมื่อเห็นท่าทางของแม่แล้ว เขาก็ไม่อยากให้มารดาลำบากใจเกินไป จึงพยักหน้า “ครับแม่”
เหอเส้าหยวนทักทายเซี่ยชิงหยวนด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ที่ผมมาที่นี่ เพราะต้องการคุยกับคุณเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะครับ”
จากนั้นเขาก็ไอเบา ๆ ทำสัญญาณให้เติ้งซูอี้พูดต่อ
เติ้งซูอี้และเหอเส้าหยวนนั่งในเยื้องตรงข้ามกับเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจว
ทว่าเมื่อเติ้งซูอี้มองที่เซี่ยชิงหยวน เธอเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังมองตัวเธอด้วยรอยยิ้มกึ่งหนึ่งราวกับว่ากำลังดูเรื่องตลกของตน
คำพูดที่เธอคิดมาคร่าว ๆ ในตอนแรกกระจัดกระจายหายไปทันที เมื่อเธอพบสายตาของเซี่ยชิงหยวน เธอระงับลมหายใจและไม่ต้องการจะพูดอะไรอีก
นี่มันน่าอับอายเกินไป
เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่พูด เหอเส้าหยวนจึงสะกิดภรรยาเบา ๆ ด้วยข้อศอกของเขา กระตุ้นให้เธอพูดเร็ว ๆ
ส่วนเสิ่นอี้โจวยังสุมไฟเพิ่มเข้าไปอีก “รองผู้อำนวยการเหอและภรรยาอุตส่าห์มาหาเราวันนี้คงอยากจะดื่มชาและพูดคุยสินะ”
ขณะที่พูด เสิ่นอี้โจวก็นำชาที่ชงแล้วมาให้พวกเขา การเคลื่อนไหวของเขาช้าและสง่างามมาก
เหอเส้าหยวนและเติ้งซูอี้หน้าแดงทันที เมื่อได้ยินเสิ่นอี้โจวพูดคำเหล่านี้
ทั้งรู้สึกรำคาญและรู้สึกเสียหน้าในเวลาเดียวกัน เหอเส้าหยวนก็ได้แต่ยอมจำนนต่อความสัมพันธ์ที่อยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย
เขาไม่สามารถรั้งไว้ได้อีกแล้ว เขาแอบเอื้อมมือไปข้างหลังและหยิกเติ้งซูอี้ทันที
เติ้งซูอี้เจ็บปวดและเกือบจะร้องออกมา
เหอเส้าหยวน ไอ้สารเลวคนนี้ไม่มีความสามารถเทียบเท่าคนอื่นแล้วยังมาบังคับให้เธอขอโทษเนี่ยนะ!
เธอกระอักเลือดในใจ แต่จำคำเตือนของสามีเธอเองได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงฝืนใจพูดว่า “ก็…ที่ฉันพูดไปเมื่อบ่ายนี้มันมากเกินไป ฉันแค่พูดไร้สาระ ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร”
เธอหยุดชั่วคราวก่อนจะกัดฟันพูดประโยคปิดท้าย “ดังนั้นฉันหวังว่าพวกเธอจะไม่สนใจเรื่องที่ฉันพูดไปนะ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เซี่ยชิงหยวนก็ยังไม่ตอบสนองใด ๆ เลย
เมื่อมองไปที่เสิ่นอี้โจวอีกครั้ง ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากของเขา ไม่สามารถเห็นความคิดของเขาได้เลย
นี่ได้ยินไหม?
เหอเส้าหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ภรรยาของผมเป็นคนปากร้ายแต่ในใจของเธอไม่มีอะไรหรอก ถ้าเธอพูดอะไรผิด ผมขอโทษแทนเธอด้วย และผมหวังว่าเลขาธิการเสิ่นและภรรยาจะไม่ถือสา”
เมื่อเห็นว่าเหอเส้าหยวนพูดแทนเติ้งซูอี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่อาจเฉยได้อีกต่อไป
เธอพยักหน้า “รองผู้อำนวยการ คุณไม่จำเป็นต้องออกมาพูดเรื่องนี้เลยค่ะ มันเป็นแค่เรื่องระหว่างผู้หญิง และเรามีวิธีแก้ไขของเราเอง พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันถึงขนาดตบตีกระชากหัวกันหรอกค่ะ”
เธอสังเกตเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเสิ่นอี้โจว จากนั้นจึงพูดต่อ “แต่ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่แล้ว ฉันขอพูดให้ชัดเจนก็แล้วกัน อย่างแรก ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูถูกคนในครอบครัวของฉันมากที่สุด เกี่ยวกับประเด็นนี้ ฉันทนไม่ได้ และอีกอย่างฉันไม่ต้องการให้ภรรยาของคุณมายุ่งวุ่นวายเรื่องในครอบครัวของเราอีก ดังนั้นจากนี้ไปฉันขอให้เธออย่ามายุ่มย่ามอีก เผื่อว่ามันอาจจะทำให้แม่สามีของฉันเข้าใจผิดเข้าสักวัน และก็มามีปัญหากับฉัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็คงไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก”
แม้เซี่ยชิงหยวนจะพูดคำว่า ‘รองผู้อำนวยการเหอ’ และ ‘คุณ’ แต่ทุกคำล้วนตำหนิในสิ่งที่วันนี้หรือวันก่อน ๆ เติ้งซูอี้พูดมาทั้งสิ้น
ใบหน้าของเหอเส้าหยวนหม่นหมองเมื่อได้ยินเช่นนี้ ขณะที่เติ้งซูอี้หน้าแดง
น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถหักล้างอะไรได้
ถัดมาเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนได้แลกเปลี่ยนสายตากัน เธอส่งสัญญาณให้เขาสรุปประเด็น
เสิ่นอี้โจวรับไม้และพูดว่า “สรุปเลยคือเราไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องชีวิตคู่ของเรา ต่อให้เรามีปัญหาอะไร ถ้าเราไกล่เกลี่ยกันได้ เราก็ไกล่เกลี่ยได้ หรือถ้าเราไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ เราจะแก้ไขปัญหาของเราเองตามที่เราต้องการ ไม่ต้องให้ใครมาวุ่นวาย”
เหอเส้าหยวนได้ยินแล้วเกือบกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหอเส้าหยวนและเติ้งซูอี้ก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้อีกนอกจากขอโทษ และทำให้คนอื่นเห็นเรื่องตลกของตัวเอง
ไม่ว่าเสิ่นอี้โจวจะพูดดีหรือพูดแย่ พวกเขาก็ต้องรับมันให้ได้ เป็นพวกเขาเองที่เริ่มก่อน พวกเขาจะพูดเถียงอะไรได้อีกล่ะ
เหอเส้าหยวนมองไปที่เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจว พยักหน้าและพูดว่า “เอาตามนี้เลย เอาตามนี้เลย”
แต่เขามีความประทับใจใหม่เกี่ยวกับคู่รักนี้อยู่ในใจ
ทั้งหมดที่เขารู้ก็คือเขาจะไม่ยุ่งกับคู่รักนี้อีก
หลังจากส่งเหอเส้าหยวนกับเติ้งซูอี้ออกไปแล้ว เสิ่นอี้โจวก็จับมือเซี่ยชิงหยวนและพูดว่า “วันนี้ผมผิดไปแล้ว”
สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนและน้ำเสียงเป็นกังวล ราวกับว่าเขากังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเผชิญในวันนี้
เซี่ยชิงหยวนมองออกไปนอกประตู ซึ่งหลินตงซิ่วยังคงอายที่จะเข้ามา
เธอเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไรหรอกที่จะสู้กลับไปบ้าง”
เพียงแต่ว่าบางครั้งเธอก็ไร้กำลังเมื่อเผชิญกับความอ่อนแอของคนของเธอเอง
นิ้วเรียวของเสิ่นอี้โจวสอดประสานที่หว่างนิ้วของภรรยา
ดวงตาของเขาเจือด้วยความทุกข์ใจ “ดูเหมือนว่าภรรยาของผมจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจริง ๆ สินะ”