กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 190 พูดเปิดอก
บทที่ 190 พูดเปิดอก
บทที่ 190 พูดเปิดอก
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้หลินกำลังคุยกันอยู่ที่สนาม ส่วนเสิ่นอี้โจวและหลินตงซิ่วก็พากันเข้าไปในห้อง
เสิ่นอี้โจวดึงเก้าอี้ออกมาแล้วพูดว่า “แม่ครับ นั่งลงก่อน”
หลินตงซิ่วพยักหน้าและนั่งลง
เธอก้มศีรษะและวางมือบนเข่าเหมือนเด็กนักเรียนที่ทำผิด
เดิมทีเสิ่นอี้โจวยืนอยู่ เขาก็รู้สึกว่านี่เหมือนกับตัวเองเป็นหัวหน้าที่กำลังจะสั่งสอนลูกน้อง เขาจึงดึงเก้าอี้จากด้านข้างและนั่งตรงข้ามหลินตงซิ่ว
ขณะที่เสิ่นอี้โจวนั่งลง หลินตงซิ่วรู้สึกได้ทันทีถึงการกดดันที่มาจากตัวลูกชาย
เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกชายของเธอเอง เธอมักจะรู้สึกถึงออร่าดังกล่าว
แม้แต่เสิ่นอี้หลินก็ยังเคารพและรู้สึกเกรงกลัวพี่ชายคนนี้
เสิ่นอี้โจวพิจารณาคำพูดของตัวเองก่อน และพูดว่า “แม่บอกผมได้ไหมว่าทำไมแม่ถึงกังวลมากแบบนี้”
หลินตงซิ่วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เสิ่นอี้โจวอย่างรวดเร็ว แล้วก้มลงอีกครั้ง “แม่แค่กลัวว่าลูกจะตำหนิแม่น่ะ”
เพราะเธอตระหนักรู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง เธอจึงรู้สึกไม่กล้าเผชิญหน้ากับเสิ่นอี้โจวตรง ๆ
บนใบหน้าของเสิ่นอี้โจวปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ไหนบอกผมทีว่าเพราะอะไรผมถึงต้องตำหนิแม่?”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนแฝงโน้มน้าวใจ
หลินตงซิ่วคล้อยตามคำพูดของเขา และพูดว่า “แม่ไม่ควรฟังหล่อนพูดนินทามาก ไม่สิ แม่ไม่ควรปล่อยให้หล่อนพูดสิ่งเลวร้ายมากมายเกี่ยวกับครอบครัวของเราต่อหน้าแม่”
‘หล่อน’ ที่ว่าหมายถึงเติ้งซูอี้คนนั้น
เสิ่นอี้โจวพูดอีกครั้ง “มีอะไรอีกไหมครับ?”
หลินตงซิ่วกล่าวต่อว่า “แม่ควรจะกล้ากว่านี้ หรือถ้าแม่ไม่กล้าพูดเถียงหล่อนคนนั้นต่อหน้า แม่ก็ควรบอกลูกหรือไม่ก็ชิงหยวนให้รับมือ”
แม้ว่าหลินตงซิ่วจะไม่ทำตามที่เสิ่นอี้โจวบอกก่อนหน้านี้ เธอก็ยังคงจำได้ว่าลูกชายตัวเองเคยย้ำอะไรไว้บ้าง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นอี้โจวก็จับมือของหลินตงซิ่ว
มือของมารดาเคยผอมและเต็มไปด้วยหนังด้าน
แต่ในช่วงเวลานี้ ด้วยอาหารการกินที่ดีขึ้นมาก ทั้งเซี่ยชิงหยวนยังให้ครีมกับเธอมากมาย มือของหลินตงซิ่วจึงไม่ผอมบางเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เนื้อหนังบางส่วนค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้น แม้ว่ามันจะยังผอมอยู่ แต่มันก็ไม่แห้งแตกจนน่ากลัวเหมือนกิ่งไม้อีกแล้ว
มือเหล่านี้เคยเลี้ยงดูเขา ดูแลพ่อของเขาที่ป่วยหนัก และรับใช้ผู้เฒ่าเสิ่นที่ชราบราวนี่ออนไลน์
แน่นอนว่าหลังจากถูกกดขี่มานานนับหลายปี อารมณ์ของเธอก็ก่อตัวขึ้น
ในฐานะลูกชาย เขาไม่สามารถขอให้เธอเปลี่ยนเพื่อเขาได้
นอกจากนี้ หลินตงซิ่วยังดีกว่าแม่สามีที่ชั่วร้ายที่ทำให้ลูกสะใภ้ลำบากตลอดทั้งวัน
เสิ่นอี้โจวได้แต่โทษตัวเองที่ไม่ดีพอ ปล่อยให้แม่กับภรรยาของตัวเองต้องเผชิญความอยุติธรรมเหล่านี้อย่างไร้ยางอาย
เขาเลยพูดว่า “แม่ ถ้าแม่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติหรือมีบางสิ่งที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ แม่สามารถทำตามหัวใจของตัวเองได้เลย แม่จำไว้ว่าลูกชายคนนี้ของแม่มีกำลังมากกว่าที่แม่คิดมาก ดังนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองต้องทนกับสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผลเพียงเพราะแม่เป็นห่วงผมเลย”
เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง และจึงพูดต่อ “ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้แม่พูดว่าอยากให้อารมณ์ของชิงหยวนดีขึ้น และตราบใดที่ความสัมพันธ์ของผมกับเธอดีขึ้นอีกนิด แม่ก็พอใจแล้ว แม้ว่าเธอจะเคยเป็นคนเย็นชา แต่เธอก็ยังเคารพแม่อยู่ถูกไหม? ตอนนี้เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผมแล้ว และเธอก็เริ่มใส่ใจแม่กับอี้หลินด้วย ดังนั้นชิงหยวนในปัจจุบันนี้คือเป็นแบบที่แม่ตั้งตารอมาตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ?”
หลินตงซิ่วอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเมื่อได้ยินสิ่งที่เสิ่นอี้โจวพูด
เธอเช็ดน้ำตาจากมุมตาของตัวเอง และพูดว่า “แม่เข้าใจแล้ว ในอนาคตหากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก แม่จะไม่ทะเลาะกับพวกเขา แต่แม่จะไล่พวกเขาออกไป”
คำพูดแบบนี้ของหลินตงซิ่วเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอสามารถทำได้ด้วยนิสัยของเธอ
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าด้วยความโล่งใจ “แม่ครับ ตราบใดที่เราเป็นครอบครัว แล้วจะไปกลัวอะไรอีก?”
หลินตงซิ่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ใช่ ลูกพูดถูก”
เธอนึกถึงเซี่ยชิงหยวนที่อารมณ์ไม่ดีเมื่อคืนนี้ พลางถามว่า “แม่ควรขอโทษชิงหยวนไหม?”
เสิ่นอี้โจวยิ้มและส่ายหัว “ไม่จำเป็น ชิงหยวนไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องแบบนั้น ตราบใดที่แม่ได้ยินเรื่องซุบซิบเหล่านี้ เธอจะมีความสุขมากถ้าแม่กล้าดุคนเหล่านั้นได้สักสองสามคำ”
นี่เป็นวิธีแสดงจุดยืนของคนคนหนึ่ง
แต่ถ้าไม่เคยได้ยินคำพูดเลยก็อดสงสัยไม่ได้
หลินตงซิ่วรู้ว่าเธอขี้ขลาดเพราะตัวเองเป็นกังวลเกี่ยวกับเสิ่นอี้โจว กลัวทำให้ลูกชายลำบาก
เธอเอ่ยสาบานว่า “แม่จะไม่เป็นแบบเดิมอีกแล้ว แม่จะกล้าหาญขึ้น!”
แม่และลูกชายจบการสนทนาด้วยความผ่อนคลาย
เมื่อเธอออกมา เซี่ยชิงหยวนก็ได้เตรียมอาหารเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว
เมนูวันนี้เป็นบะหมี่เนื้อและไข่ใส่ผัก มีส่วนผสมของทั้งเนื้อสัตว์และผักครบถ้วน
ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนพยายามทำโจ๊กหรืออาหารที่เป็นน้ำให้มากที่สุด หมอบอกว่าวิธีนี้ดีสำหรับปัญหากระเพาะอาหารของเสิ่นอี้โจว อีกทั้งเธอยังทำสลัดเย็นมาด้วย
ส่วนเสิ่นอี้หลินชอบกินพริก เธอจึงใส่เยอะขึ้นมาหน่อย
แต่จานที่ใส่พริก เสิ่นอี้โจวไม่สามารถแตะต้องได้
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันใส่ผักให้คุณเยอะหน่อยนะ เพราะคุณทานสลัดเย็นไม่ได้”
คิ้วและดวงตาของเสิ่นอี้โจวเลิกขึ้น “ได้ ผมจะเชื่อฟังคุณ”
เขาคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนแรกที่ครอบครัวของเขาขายสลัดเย็น แต่เขากลับกินสลัดเย็นไม่ได้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เสิ่นอี้หลินจงใจคีบสลัดเย็นคำใหญ่ใส่ปากของตัวเองแล้วเคี้ยวเสียงดังต่อหน้าพี่ชายอย่างน่าเอร็ดอร่อย
แล้วพูดว่า “พี่ชาย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พี่กินพริกไม่ได้ล่ะเนี่ย?”
เขายังจำได้เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก เมื่อที่บ้านไม่มีของว่าง เสิ่นอี้โจวจะเก็บพริกชี้ฟ้าในทุ่งให้เขา แล้วโยนพริกเหล่านั้นใส่ขี้เถ้าในกองไฟร้อนๆ เพื่อรับประทานมัน
เมื่อได้เวลาก็เอาพริกออกมา ปาดขี้เถ้าด้านนอกออก แล้วลอกผิวพริกย่นชั้นนอกสุดออก เวลากินมันทั้งอร่อยและเผ็ดมาก
เสิ่นอี้โจวลูบหัวของน้องชายและพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ พี่ชายแก่แล้ว และกินอาหารรสเผ็ดไม่ได้อีกแล้ว นายต้องเติบโตให้ไว ๆ นะ พี่ใหญ่จะได้พึ่งพิงนายในอนาคต”
เสิ่นอี้หลินตบหน้าอกเล็ก ๆ ของเขา “ไม่มีปัญหา!”
หลินตงซิ่วมองจากด้านข้างแล้วก็หัวเราะ
ดวงตาของเธอสบเข้ากับเซี่ยชิงหยวน เธอกำลังจะหลบสายตา แต่เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มให้เธอซะก่อน
ด้วยรอยยิ้มของเซี่ยชิงหยวน ความลำบากใจที่คาใจอยู่ก็หายไป
เธอยังมองไปที่เซี่ยชิงหยวนและยิ้มอย่างเต็มใจ
อีกทางด้านหนึ่ง เติ้งซูอี้เองก็ทำงานในศาลากลาง ตัวเธอไม่ได้สมัครเข้ามาอยู่เป็นทางการหรือถูกเชิญให้มาทำงาน แต่ด้วยความสัมพันธ์ของเหอเส้าหยวน เธอจึงได้เข้ามาทำงานอยู่ที่นี่
เธอได้ทำงานในห้องเก็บเอกสารของศาลากลาง แต่สิ่งที่เธอทำมีเพียงแค่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อย ๆ และดื่มชาสักแก้วเท่านั้น
แต่วันนี้เธอไม่ได้มาทำงานเหมือนปกติทุกวัน เธอมาแต่เช้าตรู่
ไม่ใช่อะไร แต่แค่หวังว่าจะได้ไม่เจอผู้คนมากมายเท่านั้น
เมื่อคืนเธอทะเลาะกันที่บ้านของเซี่ยชิงหยวน จากนั้นก็ไปขอโทษอีกฝ่าย เธอคิดว่าป่านนี้เธอคงโด่งดังไปทั่วแล้ว
เธอกลั้นหายใจ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่จางอวี้เอ๋อมาที่ห้องเก็บเอกสาร เพื่อคืนหนังสือเล่มเล็กให้กับผู้บังคับบัญชา
เติ้งซูอี้จำเรื่องซุบซิบที่เธอเคยได้ยินมาได้ ดังนั้นเธอจึงเรียกหาจางอวี้เอ๋อทันที “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”