กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 191 ความลับ
บทที่ 191 ความลับ
บทที่ 191 ความลับ
จางอวี้เอ๋อหันกลับมาตามเสียงเรียกด้วยความงุนงง “คุณเรียกฉันเหรอคะ?”
เพราะเคยมีเพื่อนร่วมงานชี้ให้เธอดูอยู่ว่าเติ้งซูอี้คือภรรยาของเหอเส้าหยวน
และจางอวี้เอ๋อก็เคยเห็นอีกฝ่ายประมาณสองสามครั้งเช่นกันที่โรงอาหาร เลยจำอีกฝ่ายได้
แค่ว่าตอนนี้ใบหน้าของเติ้งซูอี้ดูแย่มาก
จางอวี้เอ๋อรู้สึกกลัวอยู่ครู่หนึ่ง และไม่รู้ว่าเธอทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองตอนไหนหรือเปล่า
เติ้งซูอี้พยักหน้า “ใช่ฉันเรียกเธอ มานี่สิ ฉันมีอะไรจะถามเธอหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางอวี้เอ๋อก็ยิ่งกลัวมากขึ้น
ถ้าเธอรู้แบบนี้ เธอคงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและจากไปอย่างเร็วแล้ว
เธอฝืนลากเท้าของตัวเองและเดินไปอย่างไม่เต็มใจ “ขออภัยด้วยค่ะ ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ?”
เติ้งซูอี้พอใจกับท่าทางต่ำต้อยของจางอวี้เอ๋อมาก
เธอโบกมือให้จางอวี้เอ๋อที่ยืนอยู่ข้างหน้า และพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าเธอเป็นน้องสะใภ้ของเลขาธิการเสิ่นสินะ”
เมื่อจางอวี้เอ๋อได้ยิน ปรากฏว่าเป็นเพราะเรื่องนี้เอง
เธอผ่อนคลายใจที่บีบแน่นลงครึ่งหนึ่ง หญิงสาวแสร้งทำเป็นอาย พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้วค่ะ”
เมื่อเติ้งซูอี้ได้ยินสิ่งนี้ คิ้วของเธอก็กระตุก “สิ่งที่เธอพูดหมายความว่ายังไง ความสัมพันธ์ทางเครือญาติแบบนี้ไม่น่าจะพูดออกมาได้ตามอำเภอใจนะ”
จางอวี้เอ๋อตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นของอีกฝ่ายก่อนจะพูดว่า “พี่สาวของฉันเป็นพี่สะใภ้ของภรรยาเลขาธิการเสิ่นน่ะค่ะ ดังนั้นฉันจึงถือว่าเป็นน้องสาวเธอด้วยส่วนหนึ่ง” เธอเสริมว่า “ที่บ้าน ฉันมักจะเรียกเลขาธิการเสิ่นว่าพี่เขยค่ะ”
เมื่อเติ้งซูอี้ได้ยินเช่นนี้ เธอก็หมดความสนใจในทันพลัน
เธอคิดว่าหญิงสาวคนนี้เป็นน้องสะใภ้แท้ ๆ เธอจะได้สามารถขุดคุ้ยบางอย่างเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวนจากผู้หญิงคนนี้ได้
ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นแค่น้องสาวของครอบครัวฝั่งพี่สะใภ้เท่านั้น
เป็นญาติห่างไกลขนาดนี้จะรู้อะไรมากมาย?
เธอโบกมือ “เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว เธอไปเถอะ”
จางอวี้เอ๋อรู้สึกได้อย่างชัดเจนจากคำพูดของอีกฝ่ายว่าต้องการทราบเรื่องของเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวน แต่ทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงปล่อยเธอไปล่ะ?
มันไม่ง่ายเลยที่จะฉวยโอกาสระบายความโกรธของเธอได้ ดังนั้นเธอจะปล่อยโอกาสไปได้อย่างไร?
เธอพูดขึ้นว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณอยากฟังเรื่องอะไร แต่ตอนฉันอยู่ต่างมณฑล ฉันมักจะไปอยู่บ้านพี่สาวของฉันเสมอ ฉันเลยรู้อะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับบ้านเลขาธิการเสิ่นอยู่นะคะ”
จางอวี้เอ๋อพูดออกมา ทันทีที่เธอพูดอย่างนั้น ดวงตาของเติ้งซูอี้ก็สว่างวาบขึ้น
เธอกลั้นยิ้มและโบกมือให้อีกฝ่าย “เธอรู้อะไรบ้าง? บอกฉันทีสิ”
ตอนนี้เริ่มมีคนมาเข้าทำงานทีละคน ๆ แล้ว เธอจึงยืนขึ้นพาจางอวี้เอ๋อไปที่บันไดด้านนอกและพูดว่า “มาคุยกันที่นี่เถอะ”
เมื่อนึกถึงความอัปยศอดสูที่เธอได้รับเมื่อคืนนี้ เธอพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าเซี่ยชิงหยวนดูเหมือนจะไม่สามารถท้องได้นะ”
แน่นอนว่าเธอเป็นคนสร้างประโยคนี้ขึ้นมาเอง
เพียงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของประโยคนี้ และเพื่อให้ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้แต่งขึ้น เธอจึงเปลี่ยนวิธีการแสดงออกถึงมัน
จางอวี้เอ๋อพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติจนศีรษะแทบหลุด
ในตอนแรกเธอก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ และชื่นชม “คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไงเหรอคะ?”
ขณะเดียวกัน จางอวี้เอ๋อมองไปรอบ ๆ และพูดว่า “ฉันได้ยินมาจากคนในหมู่บ้านของเธอ ก่อนหน้านี้ป้าสะใภ้ของเลขาธิการมักจะดุด่าเธอ โดยบอกว่าเธอเป็นแม่ไก่ที่ไม่ออกไข่น่ะ”
จางอวี้เอ๋อยังคงทำท่าทางลำบากใจ “รายละเอียดลึก ๆ ฉันไม่รู้หรอกค่ะ”
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยชิงหยวนอาจรู้ความลับของเธอ เธอแทบจะรอไม่ไหวที่จะใส่ร้ายให้เซี่ยชิงหยวนกลายเป็นผู้หญิงเสเพลและไร้ยางอายไปเลย
แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ถ้ามันหลุดออกไป เซี่ยชิงหยวนก็ถูกนินทาจนแทบจมดินแน่นอน
นอกจากนี้ เสิ่นอี้โจวอาจหย่ากับเซี่ยชิงหยวนด้วยเหตุนี้ก็ได้
ยังไงก็ตาม เธอก็เพียงบอกว่าเธอพูดในสิ่งที่ตัวเองเคยได้ยินมาเท่านั้นก็พอ
ถึงแม้จะมีคนต้องการตามหาความจริง แต่จะพูดได้ยังไงว่าเป็นความผิดของเธอ?
นอกจากนี้เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวแต่งงานกันมาเกือบสองปีแล้ว และเซี่ยชิงหยวนก็ยังไม่ท้อง นี่คือสิ่งที่ทุกคนสามารถเห็นได้ เพราะงั้นจะบอกว่าโกหกงั้นเหรอ?
เติ้งซูอี้ทำหน้าตาราวกับได้ยินความลับที่ยิ่งใหญ่ เธอระงับความยินดีในใจของตัวเองและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว”
จากนั้นเธอก็ดึงจางอวี้เอ๋อเข้ามาใกล้ และพูดว่า “ถ้าเธอมีเวลา ก็มาที่ห้องเก็บเอกสารให้บ่อยขึ้นนะ”
จางอวี้เอ๋อรู้เลยว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรในประโยคนี้
นี่คือภรรยาของรองผู้อำนวยการ ถ้าพวกเธอเข้ากันได้ มันจะส่งผลดีต่อตัวเธอเองในอนาคตถูกไหม?
ดังนั้นเธอจึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ได้ค่ะ จริง ๆ ฉันยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะพูดอีก ตราบใดที่คุณยังสนใจ เราสามารถพูดคุยกันได้ทุกเมื่อเลยค่ะ”
เติ้งซูอี้หัวเราะอย่างชอบใจจนเธอตาแทบปิด “ดีมาก ดีมาก!”
พวกเธอสองคนก็เหมือนกัน ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเองและแยกกันไป
เติ้งซูอี้คิดว่าสามารถได้เปรียบเซี่ยชิงหยวนได้แล้ว แม้แต่ตอนที่เธอทำงานอยู่ เธอยังรู้สึกว่าชีวิตผ่านไปเร็วขึ้น
เธอเดินไปที่นั่น นั่งที่นี่ และเมื่อคุยกับคนอื่น เธอเล่าสิ่งที่ได้ยินจากจางอวี้เอ๋ออย่างเป็นกันเอง
ในตอนท้าย เธอแสร้งทำเป็นรำคาญตัวเอง และพูดว่า “โอ้ดูปากของฉันสิ”
และบอกพวกเขาว่า “อย่าเอาไปพูดต่อนะ มันไม่ดีต่อฝ่ายหญิง”
แต่ทันทีที่เธอเดินจากไป ผู้คนที่เธอเพิ่งนินทาด้วยก็บ่นว่า “เธอนั่นแหละ เกียจคร้านทั้งวัน เอาแต่จ้องมองบ้านคนอื่นทั้งวัน”
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่หยุดการแพร่กระจายของข่าวลือได้…
….
ในวันนี้เซี่ยชิงหยวนเอาเสื้อผ้าไปขายหนึ่งร้อยตัว
เสื้อผ้าที่เธอหยิบมาส่วนใหญ่เป็นสินค้าระดับกลางถึงระดับสูง สไตล์ค่อนข้างใหม่และดูเรียบร้อยมากกว่า
ผู้ที่มาตลาดส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนและผู้สูงอายุ เป็นคนที่อยู่ในช่วงอายุมากกว่าสามสิบปีขึ้นไป เสื้อผ้าบางประเภทจึงไม่เหมาะกับพวกเธอเสียเท่าไหร่นัก
แน่นอนว่าเสื้อผ้าผู้ชายก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้นวันนี้เธอจึงเลือกขายเสื้อผ้าที่สีสว่าง และวางแผนที่จะลองไปเสี่ยงโชคขายที่ทางเข้าหน่วยงานราชาการและโรงงานดู
เธอรอจนกระทั่งพวกเขาพักเที่ยง จึงไปที่สี่แยกของโรงงานน้ำตาลและโรงงานน้ำกับอาเซียงเพื่อลองขายดู
โรงงานน้ำตาลและน้ำในเตียนเฉิงถูกสร้างขึ้นใกล้กับภูเขาทางตอนบนของแม่น้ำเตียนเฉิง
สถานที่ที่เซี่ยชิงหยวนเลือกขายนั้นอยู่เหนือสี่แยกที่ผ่านได้ทั้งสองโรงงาน เมื่อออกจากแยกนี้ ทุกคนก็แยกกัน
ทั้งสองจอดรถสามล้อไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เอาเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนและรอให้กริ่งโรงงานดังขึ้น ซึ่งพนักงานจะหลั่งไหลออกมาจากอีกฝั่งของถนน
บางคนขี่จักรยาน บางคนเดินจับมือกัน และเหล่าลูกค้าเข้ามาหาพวกเธอทีละคน
เซี่ยชิงหยวนและอาเซียงต่างก็สวมกางเกงยีนในวันนี้ และเสื้อตัวในเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้น
ในตอนแรก อาเซียงไม่อยากใส่เลย
เธอคิดว่าตัวเองยังไม่ได้สร้างผลงานอะไรมากมาย ดังนั้นจึงยังไม่สมควรได้รางวัลเป็นชุดเสื้อผ้า
แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยชิงหยวนก็เกลี้ยกล่อม “เราขายเสื้อผ้า ถ้าเราดูไม่ดี เราจะดึงดูดลูกค้าให้ซื้อได้ยังไง เมื่อเราสวมใส่เสื้อผ้าที่เราขาย มันจะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเช่นกันว่าเสื้อผ้าของเรานั้นดีหรือไม่ ไม่งั้นฉันจะหาคนอื่นมาช่วยฉันขายเสื้อผ้าทำไมล่ะ”
นี่มันเป็นเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการสวมใส่พวกมันนั้นยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นเธอจึงไม่ลังเลใจ
เธอจำได้ว่าในร้านขายเสื้อผ้าหลาย ๆ ร้านในเวลาต่อมา เหล่าพนักงานจะสวมใส่เสื้อผ้ารูปแบบใหม่ล่าสุดประจำฤดูกาลด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อาเซียงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ฉันจะทำ ฉันจะทำค่ะ”
ทันทีที่พวกเธอเห็นว่าเริ่มมีลูกค้ามา พวกเธอก็เริ่มขายเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
“เสื้อผ้าใหม่ล่าสุดในฮ่องกง อย่าพลาดเข้ามาดูกันก่อน!”
“เราซื้อสินค้ามาจากกว่างโจวแหล่งขายโดยตรง มาดูก่อนได้!”
เสียงที่ไพเราะและคมชัดดังขึ้น สายตาของทุกคนก็หันมาทางด้านนี้
ทุกคนเห็นเซี่ยชิงหยวนและอาเซียงยืนอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ มีเสื้อผ้าแขวนอยู่ มีทั้งเสื้อผ้าผู้หญิงและเสื้อผ้าผู้ชาย
พอเจอแบบนี้ก็ละสายตาไม่ได้เลย
คนหนุ่มสาวให้ความสำคัญกับเทรนด์มากกว่าคนที่มีอายุตอนนี้ และพวกเขาอาจรู้ว่าเสื้อผ้าแบบใดที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้
เมื่อมองแวบแรกก็เห็นได้ว่าเสื้อผ้าที่แขวนอยู่มีสไตล์ที่ดี และสามารถบอกได้ทันทีว่าพวกมันเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ
ผู้คนวัยรุ่นเริ่มเบื่อสีเทาหรือสีเขียวทหารแบบเดิม ๆ แล้ว พวกเขาชอบแฟชั่นและความแตกต่าง
ดังนั้นไม่นานนักเหล่าลูกค้าก็กรูกันเข้ามา คนหนึ่งดึง อีกคนผลัก และแผงลอยก็ถูกปิดล้อมอย่างรวดเร็ว