กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 2 ฉันขอโทษ
บทที่ 2 ฉันขอโทษ
บทที่ 2 ฉันขอโทษ
เมื่อเสิ่นอี้โจวออกมายังลานบ้าน ผานเยว่กุ้ยก็ยังคงสาปแช่งและคุกคามหลินตงซิ่วอยู่
ด้วยใบหน้าอันยาวแหลม โหนกแก้มสูง และแก้มที่มีเนื้อมาก จึงทำให้อีกฝ่ายดูดุร้ายที่สุดเท่าที่ใบหน้าของคนคนหนึ่งจะทำได้
หญิงคนนั้นยังคงเท้าสะโพกด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างกำลังชี้ไปทางแม่ของเสิ่นอี้โจวและตำหนิอีกฝ่าย “ตงซิ่ว ทำไมแกถึงเลี้ยงลูกสะใภ้แบบนี้เอาไว้อีก?”
“รีบให้อี้โจวหย่ากับลูกสะใภ้ของแกซะ!”
“หลานสาวคนโตของฉันยังดีกว่านังนั่นตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง?”
“ถ้าแกเต็มใจ ฉันจะกลับไปบ้านแม่ และบอกลาแกที่นี่เลย!”
หลินตงซิ่วถูกผานเยว่กุ้ยกดขี่ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ตอนนี้เองก็เช่นกัน แต่ด้วยนิสัยที่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงของเจ้าตัว เธอจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกไปว่า “พี่สะใภ้หยุดพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เถอะค่ะ”
เสียงของผานเยว่กุ้ยดังเสียจนเพื่อนบ้านยังได้ยิน ทำให้หลายคนออกมายืนอยู่หน้าลานบ้านเพื่อมองหาต้นเหตุของมัน
เสิ่นอี้โจวยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “คุณป้า”
เมื่อเสียงของชายหนุ่มดังขึ้น ผานเยว่กุ้ยก็เงียบไป
เธอเคยชินกับการที่ตนสามารถควบคุมทุกอย่างที่บ้านเอาไว้ได้ และเธอก็มักจะโลภอยากได้ผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากครอบครัวนี้อยู่เป็นประจำ แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำเฉพาะตอนที่เสิ่นอี้โจวไม่อยู่ที่บ้านเท่านั้น
ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายด้วยท่าทางดุดัน บรรยากาศรอบกายของเขาเย็นเยียบเสียจนน่ากลัว “วันนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณป้าด้วย?”
นี่เป็นการตั้งคําถามกับหญิงตรงหน้าอย่างชัดเจน
เมื่อเผชิญหน้ากับเสิ่นอี้โจวที่ตัวสูงกว่าเธอมาก ผานเยว่กุ้ยก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
อย่าได้มองเพียงแค่รูปลักษณ์ที่เป็นมิตรยามปกติของชายหนุ่ม เพราะใบหน้าในตอนนี้ที่อีกฝ่ายแสดงออกอย่างตรงไปตรงมานั้น ค่อนข้างน่ากลัวมากเลยทีเดียว
แต่คำพูดก็หลุดออกไปแล้ว เธอจึงไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้อีกต่อไป
แต่การกระทำของเธอก็ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนเมื่อก่อน ผานเยว่กุ้ยพูดด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย “แต่ที่ฉันพูดก็เป็นความจริง เซี่ยชิงหยวนแต่งงานมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ท้องของเธอกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วยังไงคะ? ที่คุณป้าต้องการขับไล่ฉันออกไปอย่างรวดเร็วแบบนี้ ก็เพื่อที่จะได้มีที่ว่างสำหรับหลานสาวของคุณป้าใช่ไหม?” เสียงที่ไพเราะของหญิงงามดังขึ้น
เซี่ยชิงหยวนวางมือลงบนกรอบประตูและมองไปที่ผานเยว่กุ้ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
เธอสวมชุดเดรสติดกระดุมลายดอกไม้สีชมพูที่มีลายแต้มสีขาวอยู่บนเนื้อผ้าสีชมพูสวย ด้วยเอวที่คอดของหญิงสาว ยิ่งทำให้เธอดูสง่างามยิ่งขึ้น
ใบหน้าที่สดใสและมีเสน่ห์ ข้างใต้เรียวคิ้วหนาสวยประหนึ่งภูเขาเรียงรายนั้น มีดวงตากลมโตเหมือนลูกแอปริคอตที่ใสแจ๋วและเต็มไปด้วยความเสน่หา
ทว่าในขณะนี้ แววตาคู่นั้นกลับมีเพียงความเย็นชาที่ทำให้ผู้คนตัวสั่นขึ้นมา
เนื่องจากหญิงสาวเพิ่งตกลงไปในแม่น้ำ ใบหน้าอันงามงดของเธอจึงยังคงไร้สีเลือดฝาด และด้วยรูปร่างเพรียวบางของอีกฝ่าย ทำให้เซี่ยชิงหยวนในเวลานี้ดูสวยงามทว่าเปราะบางยิ่ง
เสิ่นอี้โจวหันกลับไปหาหญิงสาว ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยเหลือเธอ “คุณออกมาทำไม”
เมื่อเห็นลูกสะใภ้ของเธอตื่นขึ้นมา หลินตงซิ่วก็ยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรแล้วเหรอลูก”
แต่ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนได้ยินคำพูดทั้งหมดแล้ว ผู้เป็นแม่สามีจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
หญิงสาวถือโอกาสพิงไปที่แขนของเสิ่นอี้โจว และตะโกนเรียกหลินตงซิ่วว่า “แม่คะ” ก่อนจะจ้องมองไปทางผานเยว่กุ้ยอย่างเย็นชา
มุมปากของเซี่ยชิงหยวนกระตุกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พูดประชดประชันออกมาว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แต่ดูเหมือนจะมีบางคนกลัวว่าฉันจะไม่เป็นไรเอาน่ะสิ”
ในสายตาของผานเยว่กุ้ย แม่สามีและลูกสะใภ้นั้นล้วนจัดการได้ง่ายมาตลอด เธอจึงไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าเยาะเย้ยเธอต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้
เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายทำให้เธอตกตะลึงได้ จากนั้นผานเยว่กุ้ยก็ทำท่ายืดคอและพูดว่า “เธอมองมาที่ฉันทำไม ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย”
เซี่ยชิงหยวนสวนกลับมาอย่างเย็นชาว่า “ฉันบอกว่าเป็นคุณป้าหรือไงคะ จะร้อนตัวทำไมกัน?”
หญิงสาวยืนตัวตรงและขึ้นเสียงอีกเล็กน้อย “คุณป้ากลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ถึงแผนการที่ซ่อนอยู่เต็มท้องของตัวเองหรือยังไงกันคะ?”
“คุณป้าเคยได้ยินคํานี้ไหมคะ? ที่ว่าโลภกับไม่รู้จักพอน่ะ”
“คุณดูแลแค่เรื่องห่วย ๆ ในบ้านของตัวเองก็พอ อย่าสอดแขนเข้ามาให้มากนัก ระวังจะโดนฉัน…”
เซี่ยชิงหยวนหยุดพูดชั่วคราว ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ป้องมือขึ้นกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า “สับมันทิ้งซะ!”
คำพูดของเธอทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวในทันที
ผานเยว่กุ้ยชี้มาที่เธอ ผ่านไปพักหนึ่งกว่าเธอจะพูดขึ้นว่า “ผี…นี่มันผี! เธอต้องโดนพรายน้ำสิงแน่ ๆ”
ด้วยคําอุทานของผานเยว่กุ้ย เพื่อนบ้านจึงพากันมองไปที่เซี่ยชิงหยวนอย่างพร้อมเพรียง
เซี่ยชิงหยวนกัดริมฝีปากแน่นจนแทบไร้ความรู้สึก
ดูเหมือนว่าการที่หญิงสาวไม่ยอมให้ผานเยว่กุ้ยกดขี่เหมือนชาติที่แล้ว ทำให้อีกฝ่ายมุ่งร้ายมาทางเธอยิ่งกว่าเดิม จนเกิดการใส่ร้ายครั้งใหญ่นี้
ในเวลานั้น ชายหนุ่มพลันเข้ามาปกป้องเซี่ยชิงหยวน โดยกันเธอให้อยู่ด้านหลังเขา
เมื่อมองไปยังผานเยว่กุ้ยอีกครั้ง แววตาของเธอกลับดูกังวลเล็กน้อย “คุณป้า สาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งมาสามสิบปีแล้วนะคะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกเลย”
จากนั้นเธอก็เสริมขึ้นอีกว่า “คนที่มีผีในใจล้วนมองว่าทุกคนเป็นผีกันทั้งนั้น”
ผานเยว่กุ้ยก้าวถอยหลัง พลางจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เธอคิดผิดจริง ๆ !
แม้ว่าเธอในอดีตจะรังแกอีกฝ่ายอย่างรุนแรง เซี่ยชิงหยวนก็จะตอบโต้กลับมาแค่ไม่กี่คำ แล้วซ่อนตัวร้องไห้อยู่ในห้องตามลำพัง แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น?
ใบหน้าของผานเยว่กุ้ยซีดลงอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะพูดว่า “ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามคุณยายหลงกันดูสิ อย่าปล่อยให้มันทำร้ายใครได้อีก!”
ยายหลงเป็นแม่หมอที่อยู่ในหมู่บ้าน
เมื่อพูดจบ ผานเยว่กุ้ยก็กำลังจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน” เสิ่นอี้โจวหยุดอีกฝ่ายไว้
ผานเยว่กุ้ยหันกลับมาอีกครั้ง “ทำไม ต้องการจะทำอะไรอีก”
การแสดงออกของเสิ่นอี้โจวยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และชายหนุ่มก็พูดกับอีกฝ่ายว่า “คุณป้า คุณยังไม่ได้ขอโทษชิงหยวนเลย”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินคำพูดประโยคนี้ของชายหนุ่ม หัวใจของหญิงสาวก็อบอุ่นขึ้นมาทันที
ชายเลี้ยงสุนัขบอกว่าเขาต้องการที่จะหย่ากับเธอในวินาทีที่แล้ว แต่ต่อมาเขากลับยังคงปกป้องเธอ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้โจวทันที โดยพยายามส่งสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักไปให้อีกฝ่าย
แต่ใครจะไปรู้ว่าชายหนุ่มจะยืนตัวตรง และสายตาของเขาไม่ได้อยู่ที่เธอเลย!
เมื่อผานเยว่กุ้ยได้ฟังประโยคนั้น เธอก็โกรธขึ้นมาทันที “ทำไมฉันต้องทำ?”
เธอชี้ไปที่เซี่ยชิงหยวนแล้วชี้กลับมาที่ตัวเอง “เธอเป็นผู้น้อย ส่วนฉันเป็นผู้อาวุโส! อี้โจวแกสับสนอะไรหรือเปล่า? ”
เธอหันไปหาหลินตงซิ่วอีกครั้งเพื่อระบายความไม่พอใจ “ฟังนะ ลูกชายที่ดีของแกกำลังหลงใหลในนังจิ้งจอกตัวนี้!”
ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง ถ้าขอโทษเซี่ยชิงหยวน แล้วเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
หลินตงซิ่วก็ดูจะละอายใจเช่นกัน เพราะตั้งแต่แต่งงานเข้าตระกูลมา เธอก็เคยชินกับการถูกรังแกไปแล้ว
ยกเว้นก็แต่เสิ่นอี้โจวที่จะช่วยทวงความยุติธรรมให้กับเธอเมื่อพบเจอกับอีกฝ่าย พอเป็นแบบนี้แล้ว ใครจะกล้าขอให้ผานเยว่กุ้ยขอโทษกัน?
ผู้เป็นมารดาส่งสายตาอ้อนวอนไปทางชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว แต่บุตรชายเพียงแค่ส่งสายตาอ่อนโยนมาให้ แล้วเธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
เรื่องนี้ลูกสะใภ้ย่อมผิดแน่นอน
แต่ถ้าลูกชายไม่ยืนหยัดเพื่อเธอ เขาจะยังเป็นผู้ชายของเธอได้อยู่อีกหรือ?
สายตาของเสิ่นอี้โจวมืดลง “เมื่อก่อน ชิงหยวนอดทนกับคุณป้าเพราะเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ในตระกูล”
“แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ใหญ่ก็ควรทำตัวสมกับเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน”
“คุณป้าจะได้รับความนับถือได้ยังไง ถ้าคุณป้ายังไม่ทำตัวให้สมกับอายุ หรือจะอ้างความอาวุโสเพื่อรังแกคนอื่น? คุณป้าควรขอโทษที่ใส่ร้ายชิงหยวนตามใจชอบ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผานเยว่กุ้ยก็อ้าปากกว้างและอยากจะร้องกรีดออกมาเสียตรงนั้น
เสิ่นอี้โจวกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “หรือว่าผมควรเชิญคุณลุงมาตัดสินเรื่องนี้?”
ทันใดนั้น หญิงชราก็หยุดอยู่แค่นั้น
หากเสิ่นสิงรู้ว่าเธอมาก่อปัญหาที่นี่อีกครั้ง เพราะอี้โจวไม่สามารถส่งเงินแปดหยวนที่ควรจะส่งให้กับครอบครัวทุก ๆ เดือนละก็ อีกฝ่ายได้ตีเธอจนตายแน่
เซี่ยชิงหยวนเองก็รู้ถึงความคิดของอีกฝ่ายดี จึงได้พูดออกมาว่า “เฮ้ เดือนละแปดหยวนเลยนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผานเยว่กุ้ยก็กล่าวสาปแช่งอย่างดุเดือดอยู่ในใจ ‘เจ้าพวกเด็กสารเลว!’
จากนั้นเธอก็พูดสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ฉันขอโทษ”
เมื่อเห็นสภาพที่น่าสมเพชของผานเยว่กุ้ย เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกพอใจมาก
เธอกอดอกและหันหูเข้าหาอีกฝ่าย “คุณป้ากำลังพูดว่าอะไรนะ ฉันไม่เห็นได้ยินเลย”
ผานเยว่กุ้ยหน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธทันที
แม้จะโกรธแต่สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงตะโกนออกไปว่า “ฉันขอโทษ!”
หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่สามารถทนอยู่ได้อีกต่อไป จากนั้นจึงหันหลังและเดินจากไป
หลังจากผานเยว่กุ้ยเดินหายไป ผู้ชมต่างพูดคุยกันสองสามคำก่อนจะแยกย้ายกัน
หลินตงซิ่วแลดูกังวล แต่ก็ยังไม่พูดอะไรและเข้าไปในครัว
เซี่ยชิงหยวนยื่นมือออกไปกระตุกชายเสื้อของชายหนุ่ม และยิ้มอย่างสดใส “อี้โจว ขอบคุณนะ”
สายตาของเสิ่นอี้โจวมองไปที่มือของเธอที่จับเสื้อผ้าของเขาอยู่ ดวงตาของเขาก็ลุ่มลึกขึ้นและขมวดคิ้วเล็กน้อย
ก่อนที่หญิงสาวจะได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า “ชิงหยวน ฉันขอโทษ”
เซี่ยชิงหยวนนิ่งอึ้งไป “…”