กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 205 เสียงคุณดีมากร้องอีกสิ!
บทที่ 205 เสียงคุณดีมากร้องอีกสิ!
บทที่ 205 เสียงคุณดีมากร้องอีกสิ!
หลินตงซิ่วจะปล่อยเสิ่นอี้หลินไปได้ยังไง?
เธอรีบรั้งเขาไว้ “พี่ชายของลูกก็อยู่ในห้อง! ถ้ามีหนู เขาจะจัดการมันเอง ลูกจะไปช่วยเขาทำไม?”
เธอเกรงว่าลูกชายคนโตของเธอคือหนูตัวนั้นน่ะสิ
เธอหยิบไม้ไผ่เล็ก ๆ ในมือของเสิ่นอี้หลินมาแล้วดึงเขากลับไปที่เตียง “ลูกรีบเข้านอนเร็ว ๆ เถอะ อย่ามัวกังวลกับมันเลย”
เสิ่นอี้หลินไม่พอใจ “แม่ ทำไมผมจะช่วยไม่ได้? ผมก็เก่งเหมือนกันนะ! แม่ลืมไปแล้วเหรอว่าผมก็เคยฆ่าหนูในบ้าน”
หลินตงซิ่วเมินเฉยต่อลูกชายคนเล็กและปิดไฟอย่างรวดเร็ว “ไปนอนเร็ว ๆ เลยจะได้สูงขึ้นไว ๆ”
เสิ่นอี้หลินถูกหลินตงซิ่วดึงความสนใจส่วนใหญ่ไปแล้ว เขาเบะริมฝีปาก ล้มตัวนอนบนเตียง พลางกอดผ้านวมและนิ่งเงียบ
พรุ่งนี้เช้าเขาต้องถามพี่สะใภ้ว่าจับหนูได้ไหม
พี่ชายคนโตที่เอาแต่ถือปากกาจะจับหนูได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นอี้หลินก็ผล็อยหลับไป
เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กไม่เอะอะอีกต่อไป หัวใจของหลินตงซิ่วก็จมดิ่งลงไปในท้องของเธอ
เธอฟังอย่างตั้งใจ ห้องข้าง ๆ ก็เงียบไม่มีเสียงใด ๆ อีกราวกับว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาของพวกเขาเท่านั้น
จากนั้นไม่นานหลินตงซิ่วก็หลับไปด้วยเช่นกัน
เสิ่นอี้โจวมักจะพูดอย่างใจดี เขาจะทรมานภรรยาของเขาแบบนั้นได้อย่างไร?
มันต้องเป็นภาพลวงตาของเธอแน่ๆ
ในห้องนอนใหญ่ที่ถูกคั่นไว้ด้วยห้องหนังสือจากห้องนอนเล็ก เซี่ยชิงหยวนฝังศีรษะของเธอไว้ในผ้านวม
เธอกัดเสื้อผ้าที่เสิ่นอี้โจวถอดออกข้าง ๆ ไว้ในปากของตัวเอง และไม่กล้าส่งเสียงใด ๆ อีกต่อไป
แม้จะมีพยางค์ขาด ๆ ออกมาจากปากของเธอเป็นบางครั้ง เธอก็หยุดได้อย่างรวดเร็ว แล้วกัดเสื้อผ้าในปากแน่นขึ้น
ขณะที่เสิ่นอี้โจวโน้มตัวใกล้ เหงื่อจากร่างกายของเขาก็ไหลหยดลงบนร่างกายของเธอบราวนี่ออนไลน์
เขาขบกัดหูของเธอเบา ๆ และพูดว่า “ภรรยาของผมเสียงดีมากจริง ๆ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ต้องให้กัดเสื้อผ้าแล้วเงียบเสียง น่าเสียดายเหลือเกิน”
ฝ่ามือใหญ่ของเขากดเธอไว้แน่น “ไหนออกเสียงให้ผมฟังอีกสักหน่อยได้ไหม หรือคุยกับผมก็ได้นะ ว่าไหม?”
เธอทนไม่ได้อีกต่อไป ก่อนจะส่งเสียง “เฮอะ” ออกมา
เซี่ยชิงหยวนจับเสื้อผ้าที่กัดไว้ในมือแล้วโยนไปทางเขา “เสียงดีบ้านคุณสิ บ้าเอ๊ย! เสียงของคุณก็ดีเหมือนกัน ทำไมฉันถึงไม่ได้ยินคุณกรีดร้องมากกว่านี้เล่า!”
มันรู้สึกเจ๋งที่ได้พูดตอบโต้ แต่เธอก็เสียใจหลังจากพูดออกไป
เธอไม่ควรต่อต้านเขาในเวลาเช่นนี้เลย
แน่นอนว่าต่อมา เธอสนใจเพียงการร้องขอความเมตตาเท่านั้น “ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะไม่ยั่วคุณอีกแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ~”
เสิ่นอี้โจวเหงื่อออกราวกับสายฝน และดวงตาของเขาเปล่งประกาย “ขอร้องผมก่อนสิ”
เซี่ยชิงหยวนร้องคร่ำครวญอย่างหนักราวกับเธอร้องไห้ “ฉันขอร้องคุณนะ~”
เสิ่นอี้โจว “เอาล่ะ คราวนี้ผมจะอภัยให้คุณ””
เมื่อเซี่ยชิงหยวนคิดว่ามันจะจบลงในที่สุด เธอได้ยินเขาพูดว่า “อีกสามรอบ!”
เซี่ยชิงหยวน “!”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เสิ่นอี้หลินที่ยังไม่ได้ล้างหน้ารีบวิ่งเข้ามาหาเซี่ยชิงหยวน และถามว่า “พี่สะใภ้ เมื่อคืนพี่จับหนูได้ไหม?”
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับพลางลูบเอวตัวเอง “หนูอะไร?”
เสิ่นอี้หลินหันหัวโต ๆ ของเขาไปข้าง ๆ “มันเป็นหนูตัวใหญ่ที่ทำให้พี่ร้องเพราะความกลัวเมื่อคืนไง ผมได้ยินพี่ร้องเสียงดัง หนูตัวนั้นน่าจะใหญ่และน่ากลัวเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอ?”
เหมือนมีเสียงระเบิดในใจของเซี่ยชิงหยวน ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงไปจนถึงคอ
เธอไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนด้วยซ้ำ เธอได้แต่พูดว่า “ใช่ มันเป็นหนูตัวใหญ่และมันดุร้ายมาก”
เสิ่นอี้โจวโผล่จากด้านหลังของเธอ แล้วตบหัวของเสิ่นอี้หลินทันที
เขาเอามือวางไว้บนหัวของน้องชาย จับหัวของเสิ่นอี้หลินแล้วบังคับให้หันมาทางตัวเขา
เขาคุกเข่าลงและพูดว่า “ไอ้ตัวยุ่ง ทำไมนายคำถามมากมายแบบนี้?”
สิ่งที่เสิ่นอี้หลินกลัวที่สุดคือเสิ่นอี้โจว และเมื่อได้ยินพี่ชายพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาถูนิ้วตัวเองไปมาเป็นเวลานานก่อนจะเค้นประโยคออกมา “ผมก็แค่ถามเพราะความเป็นห่วง”
เสิ่นอี้โจวหรี่ตาของเขา “มีพี่ชายคนโตของนายอยู่ที่นี่ทั้งคน ฉันสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างให้กับพี่สะใภ้ของนายได้ เข้าใจไหม?”
เสิ่นอี้หลินดูเหมือนจะเข้าใจและพยักหน้า แต่ในใจรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว”
เสิ่นอี้โจวปล่อยน้องชายตัวยุ่งไป “เอาล่ะ ไปล้างหน้าล้างตัวได้แล้ว”
เมื่อเสิ่นอี้หลินเดินจากไป เซี่ยชิงหยวนก็จ้องที่เสิ่นอี้โจว แต่เธอไม่กล้าแม้แต่จะดุเขา
ใช่ เธอทำได้แต่เดินจากไปเท่านั้น
เสิ่นอี้โจวลูบจมูกตัวเอง “ก็แค่เนี่ย”
ระหว่างที่รับประทานอาหารเช้า หลินตงซิ่วรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบเกินไป เธอจึงเปิดปากพูดว่า “ทุกวันนี้ การค้าของตรอกเก่าค่อนข้างดีเลย ร้านของเราได้เพิ่มเมนูเนื้ออีกสองสามอย่าง เพื่อให้ลูกค้าเปลี่ยนรสชาติได้”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ตอนนี้ธุรกิจสลัดเย็นถือว่ามั่นคงแล้ว และสามารถสร้างรายได้ประมาณสองพันห้าร้อยหยวนต่อเดือนด้วยนะคะ”
ปัจจุบันรายได้สุทธิต่อวันคือแปดสิบหรือเก้าสิบหยวน บางครั้งก็ขายได้ดีกว่าปกติ ซึ่งจะได้ประมาณหนึ่งร้อยหยวนหลังจากหักค่าแรงและค่าเช่าแล้ว
หลินตงซิ่วถอนหายใจ “ในอดีต ถ้าใครในหมู่บ้านบอกว่าจะออกไปทำการค้า เราทุกคนจะรู้สึกว่าเสียเงินเปล่า มันจะดีกว่าถ้าทำไร่ไถนาอย่างปลอดภัย โดยไม่รู้ตตัวเลยว่าเราได้เริ่มต้นทำธุรกิจแล้ว”
เธอยิ้มให้เซี่ยชิงหยวน “ครอบครัวของฉันได้แต่งชิงหยวนมาเป็นลูกสะใภ้ถือว่าเป็นพรที่บรรพบุรุษหลายชั่วอายุประทานให้แล้วจริงๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มออกมา “หนูก็ขอบคุณเช่นกันค่ะ ถ้าไม่ได้แม่มาช่วย ลำพังมีแค่หนูกับเพ่ยหลานคงไม่สามารถทำได้ดีขนาดนี้”
หลินตงซิ่วทำงานอย่างหนักสำหรับการทำอาหารต่าง ๆ โดยเป็นไปตามสูตรและขั้นตอนที่เซี่ยชิงหยวนบอกไว้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มาก็ไม่เลวเลย
เสิ่นอี้หลินยิ้มและพูดว่า “สิ่งนี้เรียกว่าการจับคู่แม่สามีกับลูกสะใภ้ และงานก็ไม่เหนื่อยด้วย”
ทันทีที่คำพูดจบลง ทุกคนก็หัวเราะออกมาทันที
เมื่อวานนี้ เสิ่นอี้โจวบอกเธอเกี่ยวกับการไปที่ศาลากลางเพื่อขายสลัดเย็นและเธอรู้สึกประทับใจเมื่อได้ยิน
เธอจึงวางแผนที่จะไปเมืองกว่างโจวกับเสิ่นอี้โจวหลังจากกลับมาจากเมืองหลวงของมณฑล จากนั้นจะเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับผู้หญิงที่ทำงานข้าราชการมาขาย
หลังอาหารเช้า เซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วไปที่ภูเขาด้วยกัน
เดิมทีเสิ่นอี้หลินต้องการไปด้วย แต่เซี่ยชิงหยวนไม่ยอมให้เขาไป
“บนภูเขามีแมลงเยอะมากเกินไป คราวหน้าที่ไปแม่น้ำเพื่อจับหอยนายค่อยไปกับเรานะ”
เสิ่นอี้หลินทำได้เพียงแค่พยักหน้า “ก็ได้ งั้นพี่สะใภ้กับแม่ก็ไปกันเถอะ”
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วจึงสวมเสื้อผ้ารัดกุม หมวกฟาง มีดพร้า และจอบเล็ก แล้วออกเดินทางด้วยรถจักรยานสามล้อ
คราวนี้นอกจากจะสับไม้ไผ่สองลำแล้ว พวกเธอยังขุดหน่อไม้ด้วย
หน่อไม้เปรี้ยวที่เคยได้มาส่วนใหญ่ใช้หมดแล้ว
นอกจากนี้หน่อไม้ที่หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วลวกในน้ำยังสามารถทำเป็นอาหารแสนอร่อยได้เช่นเดียวกับการเปลี่ยนรสชาติ
ป่าไผ่เติบโตที่ด้านล่างของภูเขา หลินตงซิ่วนำเซี่ยชิงหยวนไปตัดต้นไผ่สองต้นแล้วตัดกิ่ง ซึ่งกลายเป็นต้นไผ่โล้น ๆ สองต้น
หลินตงซิ่ววางแผนที่จะเลี้ยงไก่สองสามตัวที่บ้าน
ทว่าช่วงเดือนนี้อากาศยังร้อนอยู่ เธอกลัวว่าลูกไก่ตัวเล็ก ๆ จะทนไม่ไหว ดังนั้นเลยรอให้อากาศเย็นลงหน่อยค่อยเลี้ยงดีกว่า
ดังนั้นเมื่อพวกเธอตัดไม้ไผ่เสร็จ ทั้งสองก็สามารถทำรั้วไม้ไผ่ล่วงหน้าเอาไว้ล้อมรอบไก่ได้แล้ว
หลังจากตัดไม้ไผ่แล้วก็วางทิ้งไว้บนพื้นก่อน คลุมด้วยใบไม้ที่อยู่บนพื้นและเดินต่อขึ้นไปยังภูเขา
เมื่อพิจารณาดูแล้วพวกเธออาจขุดหน่อไม้เกือบหมดในจุดเดิมก่อนหน้านี้ พวกเธอจึงใช้เส้นทางอื่นในวันนี้
ป่าไผ่จุดใหม่ทึบและอากาศจะชื้นกว่า
ใช้จอบเล็กขูดกิ่งที่ตายแล้วที่มีหนามแหลมและใบที่ร่วงหล่นตามพื้นเล็ก ๆ ออก ปลายของหน่อไม้จะโผล่ออกมาให้เห็น
ต้องบอกว่าหน่อไม้บนภูเขาด้านนี้อ่อนนุ่มกว่าคราวที่แล้วที่ขุดมาก
เดินขึ้นไปตามป่าไผ่ไปจะเจอกับป่าทึบ
ต้นไม้ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์จนแทบมิด ทำให้บางจุดดูเป็นเหมือนป่าดึกดำบรรพ์
เซี่ยชิงหยวนยังคงมีความกลัวอยู่บ้างในตอนแรก แต่เมื่อเธอเห็นเห็ดดอกเล็ก ๆ บานอยู่บนพื้น เธอก็ลังเลที่จะออกไป
เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นได้ว่ามีเห็ดขึ้นบนตอไม้ที่โค่นแล้วจำนวนมาก
หลินตงซิ่วเห็นเห็ดเหล่านี้ด้วยเช่นกัน เธอแย้มยิ้มและพูดว่า “โอ้ เห็ดพวกนี้ดีนะ และมีเยอะมากเลย!”
เธอก้มลงและเริ่มเก็บมัน
เห็ดเหล่านี้จะมีไม่มากนักเมื่ออากาศเย็นลง
ตอนนี้พวกเธอสามารถเก็บไปได้บางส่วน แล้วนำกลับไปทำความสะอาด ตากแดดให้แห้ง และเก็บไว้สำหรับฤดูหนาว
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันในตอนกำลังเลือกอยู่นั้น ทันใดนั้นเองพวกเธอก็ได้ยินเสียงหึ่ง ๆ
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นและเห็นว่ามีรังผึ้งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามสิบถึงสี่สิบเซนติเมตรห้อยอยู่เหนือหัวของเธอ!