กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 214 ลูกเขยในอุดมคติ
บทที่ 214 ลูกเขยในอุดมคติ
บทที่ 214 ลูกเขยในอุดมคติ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเซี่ยจื่ออี้แข็งค้างในตอนแรก จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้า “ทำไมฉันถึงเป็นศัตรูกับผู้หญิงคนนั้นงั้นเหรอ?”
น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของเธอ “นายเองก็ไปที่เมืองเตียนเฉิงโดยไม่บอกกล่าว พอกลับมาก็มีคำถามกับฉันแบบนี้อีก แทนที่จะพูดว่าทำไมฉันถึงเป็นศัตรูกับผู้หญิงคนนั้น จะเป็นการดีกว่านะที่นายจะบอกว่านายนั่นแหละที่ปกป้องผู้หญิงคนนั้นมากเกินไป”
เธอมองเขา “เป็นไปได้ไหมว่านายตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นแล้ว?”
เซี่ยจื่ออี้นั้นมีความงามที่ละเอียดอ่อนดุจหยกอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เมื่อดวงตาของเธอเปลี่ยนสีแดง มันยิ่งทำให้ผู้คนต้องการปลอบโยนเธออย่างห้ามไม่ได้
ฉู่ซิงอวี่รู้สึกขอโทษ แต่ก็ต้องตกใจกับประโยคถัดไปของเธอ เขายืนขึ้นอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าที่ไม่มีความสุข “จื่ออี้ เธอพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้ยังไง!”
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามืดหม่น ดวงตาของเขาเย็นชาขึ้น แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนตามปกติของเขาอย่างสิ้นเชิง
เซี่ยจื่ออี้ตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงนี้มาก เธอซ่อนความไม่สบายใจไว้ในใจ และน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตา “ซิงอวี่ ฉันแค่บ่นแทนซูอวี้ แต่นายกลับโกรธฉันเพราะคนนอกงั้นเหรอ?”
เมื่อโฉมงามร่ำไห้ แม้แต่คนใจแข็งยังยากจะติเตียน
ยิ่งกว่านั้น เธอยังเป็นน้องสาวคนเล็กที่เขาคอยปกป้องและเติบโตมาด้วยกัน
ฉู่ซิงอวี่ถอนหายใจ “ฉันก็ไม่ได้อยากจะโกรธเธอ แต่คนที่เธอกำลังพาดพิงคือภรรยาของเลขาธิการเสิ่น ส่วนฉันเป็นเลขาของเขา มันไม่เหมาะที่เธอจะพูดแบบนี้ ถ้าเธอพูดแบบนี้ให้พวกคนที่มีความคิดไม่ดีได้ยินมันจะทำให้เกิดปัญหาอย่างง่ายดาย”
“เธอโตมาในแวดวงสังคม ดังนั้นเธอควรจะรู้ตัวเองต้องไม่พูดสิ่งที่ฟังดูแล้วสองแง่สองง่าม ฉันสันนิษฐานว่าเธอต้องการระบายความโกรธให้ซูอวี้ แต่เธอควรอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรด้วยตัวเอง ซูอวี้มีนิสัยดื้อรั้นและชอบการแข่งขัน เธอไม่ควรทำตัวเป็นศัตรูกับคนอื่นเพียงเพราะคำพูดเพียงฝ่ายเดียวของซูอวี้”
หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบกระเป๋าเอกสารและลุกขึ้น “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำ ฉันขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เขาก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
เซี่ยจื่ออี้มองไปที่ด้านหลังของฉู่ซิงอวี่ โดยที่เห็นว่าเขาไม่หันกลับมาเลย ทำให้แววตาของเธอซับซ้อนขึ้นมา
ในที่สุดเธอก็ก้มศีรษะลง หยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ
ผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที ดวงตาของเธอก็กลับมามีความอ่อนโยนและเฉลียวฉลาดเช่นเดิม
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยชิงหยวนตั้งใจที่จะออกไปซื้อของฝากให้เสิ่นอี้หลินและคนอื่นๆ ในวันนี้
ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดที่เธอถามอยู่ห่างออกไปพอสมควร เธอจึงหันกลับและขอให้เสี่ยวหลิวขับรถไปส่งเธอ
แต่พอไปถึงห้าง มันกลับกลายเป็นว่าเธอเดินนำหน้าและเสี่ยวหลิวเดินตามหลังเพื่อช่วยเธอถือของไปทุก ๆ ที่ คล้ายกับนางเอกที่ร่ำรวยในซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่อง
ในความเป็นจริงเซี่ยชิงหยวนไม่ต้องการแบบนี้
แต่ทุกครั้งที่พนักงานขายแพ็คของ เขาจะส่งมอบให้เสี่ยวหลิวที่อยู่ข้างหลังเธอถือโดยอัตโนมัติ
แม้ว่าเธอจะก้าวไปข้างหน้าและยื่นมือออกไปเพื่อจะหยิบมันมา เสี่ยวหลิวก็ยังนำหน้าเธอหนึ่งก้าวตลอด
เซี่ยชิงหยวนต้องการที่จะปฏิเสธ ดังนั้นเสี่ยวหลิวจึงพูดว่า “เลขาธิการขอให้ผมออกมาซื้อของกับคุณนาย ดังนั้นผมจะปล่อยให้คุณนายถือของเองได้ยังไงล่ะครับ? ถ้าเลขาธิการรู้เขาคงไล่ผมออกแน่”
เซี่ยชิงหยวนไม่เชื่อว่าเสิ่นอี้โจวจะลงโทษได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่สามารถโต้แย้งคำพูดของเสี่ยวหลิวได้ ดังนั้นเธอจึงปล่อยให้เขาทำตามใจ
ในที่สุดเธอก็ซื้อนมผงอีกสองกระป๋องและวางแผนที่จะมอบให้เสี่ยวหลิวเมื่อเธอกลับไป
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่าพ่อของเสี่ยวหลิวเสียชีวิตไปนานแล้ว ทิ้งเขาไว้ตามลำพังกับแม่ที่ป่วย
เธอได้ยินว่าเมื่อก่อนเสี่ยวหลิวมักจะไม่เต็มใจกินอะไรเพื่อเก็บเงินไว้รักษาแม่ และร่างกายของเขาก็ทรุดโทรมลง
เสี่ยวหลิวมีความขยันหมั่นเพียร มีมโนธรรมในการทำงาน และเสิ่นอี้โจวก็รู้สึกชื่นชม
ในฐานะภรรยาของหัวหน้า การให้นมผงสองกระป๋องแก่แม่ของเสี่ยวหลิวไม่ใช่เรื่องใหญ่
หลังจากซื้อของเสร็จก็เกือบเที่ยงแล้ว
เสิ่นอี้โจวจะไม่กลับมาตอนเที่ยง เธอจึงขอให้เสี่ยวหลิวพาเธอไปยังสถานที่ที่เสิ่นอี้โจวพาเธอไปทานอาหารเมื่อคืนนี้
ขณะรับประทานอาหาร เสี่ยวหลิวยืนกรานที่จะนั่งห่างจากเซี่ยชิงหยวนแยกเป็นสองโต๊ะโดยไม่ชิดกัน
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และไม่เกลี้ยกล่อมเขา
หลังจากกินเสร็จ เซี่ยชิงหยวนก็พูดว่า “ฉันอยากเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารสักหน่อยน่ะ”
เสี่ยวหลิวขับรถตามหลังเธอไปอย่างช้า ๆ และเว้นระยะห่างไว้เล็กน้อย
แน่นอนว่าเซี่ยชิงหยวนพูดแย้งขึ้นมา “จากตรงนี้ฉันรู้ทางกลับแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะ”
เสี่ยวหลิวส่ายหัวรัว ๆ “ไม่ได้หรอกครับ ในเมื่อผมออกมากับคุณนายแล้ว ผมก็ต้องพาคุณนายกลับที่พักด้วย”
ภรรยาของเจ้านายเขาสวยมาก เขาจะทำอย่างไรถ้าภรรยาของเจ้านายโดนพวกกุ๊ยรังแกตอนที่เขากลับไปก่อนล่ะ?
เซี่ยชิงหยวน “ก็ได้…”
เมื่อเธอเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าเหมยเซี่ยงที่มาเมื่อวานนี้ เฉินเหมยเซี่ยงซึ่งเฝ้าประตูอยู่ทุกเช้าก็เดินมาอย่างรวดเร็ว
เธอหยุดเซี่ยชิงหยวนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “น้องสาว เธอมาเดินซื้อของอีกแล้วเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึง เธอถอยหลังหนึ่งก้าวและออกห่างจากอีกฝ่าย “ฉันแค่ออกมาเดินเล่นน่ะค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เต็มใจที่ถูกเข้าใกล้มากเกินไป
ซึ่งเฉินเหมยเซี่ยงไม่สนใจการแสดงออกของเซี่ยชิงหยวนเลยสักนิด
เธอชำเลืองมองกางเกงยีนทรงเข้ารูปและเสื้อเชิ้ตรัดรูปที่เซี่ยชิงหยวนสวมใส่ในวันนี้ พลางพูดว่า “ชะตากำหนดให้เราพบกันอีกแล้ว ฉันมีอะไรบางอย่างจะถามเธอหน่อย เธอสะดวกไหม?”
ถึงจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่เฉินเหมยเซี่ยงก็ยืนขวางหน้าเซี่ยชิงหยวนอย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้ปฏิเสธเลย ในใจของเซี่ยชิงหยวนรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
เซี่ยชิงหยวนระงับอารมณ์และถามว่า “คุณมีอะไรเหรอ?”
เฉินเหมยเซี่ยงกล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ฉันแค่อยากจะถามเธอว่าสามีของเธอซื้อเสื้อผ้ามาเท่าไหร่น่ะ”
ตั้งแต่ที่เฉินเหมยเซี่ยงเห็นเสื้อผ้าที่เซี่ยชิงหยวนสวมใส่เมื่อวาน เธอก็นอนไม่หลับเลยทั้งคืน
หลังจากนอนพลิกตัวไปมา เธอรู้สึกเสมอว่าเพื่อนร่วมหมู่บ้านของเธอกำลังโกหกว่าสินค้าที่ขายให้เป็นรุ่นล่าสุดในเมืองกว่างโจวและคุณภาพดี ดังนั้นราคาจึงสูง เมื่อรับของมาในราคาสูง เธอจึงต้องขายเสื้อผ้าในร้านด้วยราคาที่แพงขึ้น
ทว่าก็ไม่มีใครอยากถูกเอาเปรียบ เช้าตรู่วันนี้เธอเลยรออยู่ที่ประตูร้านเพื่อดูว่าเธอจะได้พบกับเซี่ยชิงหยวนอีกหรือไม่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เลิกคิ้วขึ้น นึกถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายที่ถามคำถามนี้ก่อนจะพูดว่า “สามีของฉันซื้อมา ฉันไม่รู้ว่ามันราคาเท่าไหร่เหมือนกัน”
เซี่ยชิงหยวนคาดเดาว่าเฉินเหมยเซี่ยงคงกำลังอยากรู้ราคาของเสื้อของเธอเพื่อเอาไปเทียบกับราคาซื้อส่งของร้านตัวเอง
ถ้าเธอบอกเฉินเหมยเซี่ยงไป และเฉินเหมยเซี่ยงไปหาผู้ขาย เมื่อทั้งสองฝ่ายคุยกันถึงเรื่องนี้ มันจะต้องมีสักคนที่ตำหนิเธอที่ตัดโชคของตัวเองไม่ใช่เหรอ?
เฉินเหมยเซี่ยงไม่ต้องการถูกเอาเปรียบ แต่เซี่ยชิงหยวนก็ไม่อยากมีส่วนร่วมเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเธออาจจะเปิดร้านที่นี่ในอนาคต ถ้าเธอไปขัดใจใครตอนนี้ เธอจะไม่สร้างปัญหาให้ตัวเองเหรอ?
“เธอจะไม่รู้ได้ยังไง?” เห็นได้ชัดว่าเฉินเหมยเซี่ยงไม่เชื่อ
ตอนนี้ทุกคนต่างกังวลกันเรื่องเงินทั้งนั้นโดยเฉพาะเมื่อเวลาผู้ชายซื้อของกลับบ้าน ผู้หญิงจะต้องถามทุกอย่างชัดเจน
แต่ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้กลับบอกว่าไม่รู้จริง ๆ เนี่ยนะ?
การแสดงออกของเซี่ยชิงหยวนนั้นสงบนิ่งอย่างมาก “ฉันไม่สามารถช่วยอะไรได้ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ฉันไม่เคยถามราคาเสื้อผ้าที่สามีของฉันซื้อมาให้เลยสักตัว”
คำพูดนี้ของเซี่ยชิงหยวนทำให้ผู้ฟังเกิดความเกลียดชังริษยาอย่างแน่นอน
ครอบครัวนี้ต้องรวยขนาดไหน ผู้ชายต้องเอาใจขนาดไหนถึงเป็นแบบนี้
เมื่อเฉินเหมยเซี่ยงได้ยินสิ่งนี้ เธอแทบจะกระอักเลือดในอก
เธออยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่จู่ ๆ เธอก็เห็นรถยี่ห้อหงฉีที่ประชาชนทั่วไปไม่อาจครอบครองได้ที่โดดเด่นมาจอดอยู่ข้างหน้าร้าน
ชายหนุ่มรูปร่างปานกลางลงจากรถ และพยักหน้าให้เซี่ยชิงหยวนด้วยท่าทางที่เคารพมาก “คุณนายครับ เชิญขึ้นรถครับ”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะชมในใจว่าเสี่ยวหลิวมาถูกเวลาเหลือเกิน
เธอยกคางขึ้น “อืม”
จากนั้นภายใต้ดวงตาที่ตกตะลึงของเฉินเหมยเซี่ยง เซี่ยชิงหยวนก็เดินเข้าไปในรถ
จนกระทั่งรถแล่นออกไปจนลับตา เฉินเหมยเซี่ยงก็หุบปากลง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เซี่ยชิงหยวนบอกว่าเธอไม่เคยรู้ว่าเสื้อผ้าราคาเท่าไหร่ ครอบครัวนี้มีคนขับรถเต็มเวลาแล้วจะไม่รวยได้อย่างไร?
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่นักธุรกิจ แต่เธอก็ยังคงเป็นภรรยาของข้าราชการ
เธอดีใจที่ไม่ได้พูดอะไรเกินเลยกับเซี่ยชิงหยวนเมื่อกี้นี้ มิฉะนั้นเธอคงกินอะไรไม่ลงแน่
….
เวลาต่อมา ในที่สุดการประชุมระดับสูงของมณฑลสองวันก็สิ้นสุดลง
หลังจากคำแนะนำของเซี่ยเจิ้ง เสิ่นอี้โจวก็ได้รู้จักข้าราชการรุ่นใหญ่ในมณฑลหลายคน
เสิ่นอี้โจวโดดเด่นมาก แม้จะอยู่ท่ามกลางข้าราชการระดับสูงมากมาย
ดังนั้นจึงมีหลายคนที่โยนกิ่งมะกอกให้กับเขา
เสิ่นอี้โจวยิ้มและปฏิเสธทีละคน
เซี่ยจื่ออี้ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา รออย่างเงียบ ๆ ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
สายตาของใครบางคนสังเกตเห็นเซี่ยจื่ออี้และพวกเขาก็จำเธอได้
ดูเหมือนว่าบุคคลที่โดดเด่นเช่นนี้คู่ควรกับเธอ
แม้แต่พวกเขาก็ยังอยากได้เสิ่นอี้โจวมาเป็นลูกเขย
จากการพูดคุยทักทายกันหลายครั้ง ทุกคนก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
หลังจากที่ทุกคนออกไป เสิ่นอี้โจวกำลังจะจากไปพร้อมกับฉู่ซิงอวี่ แต่แล้วเซี่ยจื่ออี้ก็เดินเข้ามาเสียก่อน
เธอมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้า ราวกับไม่มีพิษมีภัยกับใคร “เลขาธิการเสิ่น ถ้าคุณไม่รีบเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ ทำไมเราไม่ไปเที่ยวเล่นกันสักหน่อยล่ะ? ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันขอแนะนำตัวเองเป็นไกด์นำเที่ยวก็แล้วกันนะ”