กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 22 เรามาทำกันต่อดีไหม
บทที่ 22 เรามาทำกันต่อดีไหม
บทที่ 22 เรามาทำกันต่อดีไหม
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเห็นด้วย เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านก็อดไม่ได้ที่จะชมเชยเธอในใจ จากนั้นเขาจึงพูดกับเจี่ยกุ้ยว่า “เจี่ยกุ้ย คุณจะคัดค้านข้อเสนอของผมไหม”
เจี่ยกุ้ยจะพูดอะไรได้อีกในตอนนี้?
หวังชุ่ยเฟินแอบชอบผู้ชายคนอื่น แล้วโยนความผิดให้เพื่อนตัวเองจนทำให้เขาผู้เป็นสามีเสียหน้า ทั้งยังให้ครอบครัวของเขาต้องออกหน้าขอโทษแบบนี้อีก นี่มันบ้าบอที่สุด!
เขาจ้องไปที่ผู้เป็นภรรยาอย่างอาฆาต อยากจะทุบเธอให้ตายตรงนี้จริง ๆ!
จากนั้นเขาก็พูดเสียงลอดไรฟันพร้อมตีหน้าบึ้งตึง “ไม่คัดค้าน”
แต่แม่เฒ่าเจี่ยไม่เต็มใจและตะโกนออกไปว่า “เลขาธิการพรรค คุณพูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง! เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าหญิงเลวคนนี้สร้างเรื่องทั้งหมดคนเดียว ทำไมเราถึงต้องขอโทษด้วย”
เมื่อได้ยินคำถามของแม่เฒ่าเจี่ย เลขาธิการพรรคก็ไม่ได้รีบร้อนและพูดเสียงประนีประนอมว่า “ตอนไปที่บ้านของชิงหยวนเพื่อจับตัวคนมา คุณก็เป็นคนตะโกนเสียงดังที่สุดไม่ใช่เหรอครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงชราก็ละอายใจขึ้นมาและนิ่งเงียบไป
ตอนที่เห็นลูกสะใภ้กับตู้อวิ๋นเซิงกอดกัน เธอจึงโกรธมากเนื่องจากครอบครัวของเธอต้องอับอายและตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน
ดังนั้นเมื่อหวังชุ่ยเฟินบอกว่าเซี่ยชิงหยวนเป็นตัวการ เธอจึงเห็นแสงแห่งความหวังที่จะกู้หน้าครอบครัวของตัวเองคืนกลับมา เธอจึงตะโกนอย่างกระฉับกระเฉง
ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า จากนั้นเธอก็บิดแขนของหวังชุ่ยเฟินอย่างแรง “นังสารเลว! หลังจากนี้ฉันจะพาแกไปบ้านครอบครัวตระกูลหวัง และจะให้พ่อแม่ของแกขอโทษพวกฉัน! พ่อแม่ของแกมีส่วนผิดที่สั่งสอนแกไม่ดีจนทำให้ครอบครัวของฉันเดือดร้อน!”
หวังชุ่ยเฟินรู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว เธอทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความงุนงง แต่เมื่อเผชิญกับคำด่าของแม่สามีอีกรอบ ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หญิงสาวกรีดร้องและลุกขึ้นกระโจนเข้าใส่แม่เฒ่าเจี่ย
มีหรือที่คนอย่างแม่เฒ่าเจี่ยจะยืนอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้ลูกสะใภ้ทุบตีตัวเอง? ทั้งสองปลุกปล้ำกันไปมาอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้หวังชุ่ยเฟินแลกด้วยทุกอย่าง โดยไม่คำนึงถึงหมัดและเท้าของแม่เฒ่าเจี่ยที่กำลังทุบตีเธอ จากนั้นเธอก็กระชากผมของอีกฝ่าย
เมื่อถูกกระชากผม หญิงชราก็กรีดร้อง ส่วนเจี่ยกุ้ยก็รีบวิ่งเข้ามาทุบตีหวังชุ่ยเฟินทั้งซ้ายขวา
ทุกคนอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทะเลาะวิวาทกันอีกครั้ง
เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านถึงกับตะโกนออกมาด้วยโทสะว่า “รีบแยกพวกเขาเร็ว!”
เมื่อถูกแยกออกจากกัน คนทั้งสามก็มีสภาพสะบักสะบอมมาก โดยเฉพาะหวังชุ่ยเฟินซึ่งใบหน้าบวมปูดจนแทบจำไม่ได้
เลขาธิการพรรคกล่าวว่า “ถ้าพวกคุณจะคุยกันต่อ ก็กลับไปคุยที่บ้าน!”
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “นี่มันเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว ฉะนั้นพวกคุณต้องฟังคำผม ตอนนี้รีบกลับไปได้แล้ว!”
ครอบครัวของเจี่ยกุ้ยรู้สึกเสียหน้ามาก ดังนั้นพวกเขาจึงโทษหวังชุ่ยเฟินที่เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา
เจี่ยกุ้ยดึงตัวของหญิงสาว จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวว่า “ผมขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และเราจะไปขอโทษพวกคุณอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันพรุ่งนี้”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลากหวังชุ่ยเฟินออกไปราวกับกำลังลากกระสอบใบหนึ่ง
หวังชุ่ยเฟินยังคงจ้องมองไปยังเซี่ยชิงหยวนอย่างไม่ลดละ ก่อนจะกรีดร้องด้วยแรงเฮือกสุดท้ายของเธอ “เซี่ยชิงหยวน อย่าคิดว่าแกจะรอดตัวไปได้นะ! สิ่งที่ฉันได้รับในวันนี้ ฉันจะตอบแทนแกคืนเป็นสองเท่าแน่นอน!”
มุมปากของเซี่ยชิงหยวนหยักยิ้ม แววตาที่มองไปยังอีกฝ่ายของเธอเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เจี่ยกุ้ยยังหนุ่มนัก แต่น่าเสียดายที่เขาแต่งงานกับผู้หญิงอย่างหวังชุ่ยเฟิน
เมื่อเห็นหวังชุ่ยเฟินเป็นอย่างนี้ ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างก็ส่ายหัวไปตาม ๆ กัน
เธอคงเสียสติเพราะความโลภไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้กล้าทำเรื่องบ้าบอพวกนี้ขึ้นมา
เมื่อเห็นครอบครัวเจี่ยจากไป เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านจึงพูดกับตู้อวิ๋นเซิงอีกครั้ง “แม้ว่าเหตุการณ์นี้ส่วนใหญ่จะเกิดจากหวังชุ่ยเฟิน แต่ในฐานะครู คุณควรปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวังมากกว่านี้เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คนอื่น เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปคุยเรื่องลางานของคุณกับครูใหญ่ที่หมู่บ้านเซี่ยปี้เอง ในระหว่างนั้น คุณตู้ก็ทบทวนทุกอย่างที่ทำลงไป แล้วค่อยกลับไปสอนนะครับ”
หมู่บ้านซีสุ่ยเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดเล็ก ส่วนหมู่บ้านเซี่ยปี้ที่ข้างเคียงนั้นมีขนาดใหญ่กว่ามาก ซึ่งที่นี่ในตอนนี้กำลังขาดแคลนครู และในบรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย หมู่บ้านเซี่ยปี้เป็นเพียงพื้นที่เดียวที่มีการสร้างโรงเรียน โดยรวมชั้นเรียนขนาดใหญ่และขนาดเล็กเข้าด้วยกัน
และตู้อวิ๋นเซิงก็เป็นหนึ่งในครูไม่กี่คนที่สอนอยู่ในโรงเรียนนั้น
คำพูดของเลขาธิการกระทบใจของทุกคน
ถ้าเขามีพฤติกรรมผิดหลักจรรยาบรรณาเช่นนี้ ในฐานะคนเป็นครู จะมีผู้ปกครองคนไหนกล้าฝากฝังลูกไว้กับคนแบบนี้กัน?
แม้จะขาดแคลนครู แต่ก็คงไม่มีใครอยากให้ลูกหลานมีครูแบบนี้
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวบ้านจึงรู้สึกสะท้อนใจกับคำพูดของเลขาธิการพรรค
มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวของตู้อวิ๋นเซิงบีบเข้าหากันแน่น ก่อนจะคลายลงในที่สุด
เขาหายใจเข้าลึก ๆ และตอบกลับไปว่า “ผมเข้าใจแล้วครับ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับแล้ว เลขาธิการพรรคก็โบกมือ “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว คุณก็กลับไปก่อนเถอะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเหมือนหุ่นเชิด ก่อนจะเดินจากไป
สีหน้าของเขาดูหวาดกลัว ไม่หลงเหลือเค้าความมั่นใจเช่นก่อนหน้านี้อีก
เซี่ยชิงหยวนมองตามหลังค่อมงอของเขา ความเย็นชาบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
ตู้อวิ๋นเซิง คุณคิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้วเหรอ?
น่าเสียดาย เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นวันพรุ่งนี้จะกลายเป็นนรกสำหรับคุณ!
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มกลับสู่วิถีปกติ เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านก็โบกมือให้ผานเยว่กุ้ย “คุณภรรยาเสิ่น มานี่หน่อยครับ”
หลังจากรับชมความบันเทิงจนพอแล้ว ผานเยว่กุ้ยที่คิดว่าจะตัวเองจะรอดพ้นข้อหา ก็เริ่มหวั่นใจเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียก
เธอเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีเหนียมอาย “คุณเลขาธิการ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสร้งโง่ เลขาธิการพรรคก็ถอนหายใจออกมา “คุณผาน ผมจะไม่พูดอะไรมากมายหรอกนะครับ แต่ครอบครัวเดียวกันก็ควรจะช่วยเหลือกันและกันไม่ใช่เหรอครับ แล้วดูคุณสิ แทนที่จะช่วยโน้มน้าว ยังจะยุแยงพวกเขาอีก”
ในขณะที่กล่าวนั้น สายตาของชาายหนุ่มราวกับมองทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นเขาก็เหลือบมองพวกหญิงชราที่อยู่กับผานเยว่กุ้ยก่อนหน้านี้และพูดว่า “เอาล่ะ คุณกลับก่อนเถอะ แต่หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก คุณอาจจะเป็นคนถัดไปที่ได้ขึ้นป้ายประกาศก็ได้”
แล้วเขาก็โบกมือ “ทุกคน แยกย้ายกันกลับไปได้แล้ว!”
จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้เสิ่นอี้โจวแล้วจึงจากไป
เซี่ยชิงหยวนเห็นปฏิกิริยาระหว่างคนทั้งสองแล้ว จากนั้นเธอก็มองไปยังเสิ่นอี้โจวซึ่งยังคงยืนอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ เหมือนต้นสนเขียว
ผานเยว่กุ้ยจ้องมองหญิงสาวโดยไม่กล้าพูดอะไรอีก และทำได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้ในใจ
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็พูดกับชายหนุ่มและหลินตงซิ่วว่า “กลับบ้านกันเถอะค่ะ”
หลินตงซิ่วเช็ดน้ำตาแล้วตอบว่า “อืม ๆ กลับบ้านกันเถอะ”
เสิ่นอี้หลินมีความสุขมากในตอนนี้ เขาสามารถยืดอกและบอกทุกคนได้แล้วว่าพี่สะใภ้ของเขาไม่ได้มีชู้!
บนเส้นทางในหมู่บ้าน เสิ่นอี้หลินเดินนำอยู่ข้างหน้า เซี่ยชิงหยวนกับหลินตงซิ่วเดินตามหลัง ส่วนเสิ่นอี้โจวถือกล่องไม้แกะสลักที่ถูกนำก่อนหน้านี้กลับไปด้วย
เนื่องจากทุกคนออกมาอย่างรีบร้อน จึงไม่มีใครพกไฟฉายมาด้วยสักคน และเส้นทางก็มืดสนิทเช่นกัน
แต่หญิงสาวกลับรู้สึกมีประกายแสงผุดขึ้นมาในใจของเธอ เธอจึงไม่กลัวหากต้องหลงทางแม้ในค่ำคืนที่มืดมิดแบบนี้
และเสิ่นอี้โจวคนนี้ก็คือไฟนำทางของเธอ
หญิงสาวแบกรับเรื่องเหล่านี้มาทั้งสองชีวิตแล้ว ในที่สุุดเธอก็โบกมือลามันได้เสียที
จากนี้ไป เธอจะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองกับเสิ่นอี้โจวอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากวุ่นวายทั้งคืน เมื่อกลับถึงบ้าน ทุกคนก็อาบน้ำแล้วก็เข้านอน
เสิ่นอี้โจวไปที่ห้องของหลินตงซิ่วอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าห้องตัวเอง
เขาผลักประตูเปิดก่อนจะพบว่าเซี่ยชิงหยวนได้หลับไปแล้ว
เขาจำสิ่งที่หลินตงซิ่วบอกให้เขาใช้ชีวิตร่วมกับเซี่ยชิงหยวนให้ดีและคิ้วของเขาก็ขมวดอีกครั้ง
เขาไม่ได้เปิดไฟและเดินไปยังจุดที่เตียงตั้งอยู่ในความทรงจำ จากนั้นก็เอื้อมหยิบผ้านวมที่พับเก็บไว้
แต่ทันทีที่มือของเขาแตะผ้านวม ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าข้างใต้ผ้านวมมีบางอย่างที่นุ่มนิ่มหอมละมุนอยู่
เมื่อมองดี ๆ เขาเห็นสายตาที่ส่องประกายของเซี่ยชิงหยวนท่ามกลางความมืดมิด
เขาได้ยินเธอพูดว่า “เรามาทำกันต่อจากเมื่อกี้ดีไหมคะ”