กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 233 หยุดหาเงินไม่ได้
บทที่ 233 หยุดหาเงินไม่ได้
บทที่ 233 หยุดหาเงินไม่ได้
อาเซียงเอ่ยว่า “มันแล้งมากจนเราไม่สามารถรดน้ำผักได้เลยค่ะ น้ำในบ่อปลาของเราก็มีไม่ถึงครึ่งเหมือนกัน”
“เมื่อก่อนในหมู่บ้านมีบ่อน้ำหลายบ่อ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องไปที่ภูเขาเพื่อตักน้ำจากน้ำที่ภูเขา ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป น้ำพุในภูเขาจะหมดลงไม่ช้าก็เร็ว”
น้ำพุในภูเขาที่อาเซียงกล่าวถึงนั้นอยู่ในภูเขา ก่อนที่จะมีการขุดบ่อน้ำหลายคนไปที่นั่นเพื่อตักน้ำ
น้ำพุภูเขาพุ่งออกมาจากรอยแตกของหิน หลายปีการไหลของน้ำส่งผลกระทบต่อบ่อขนาดใหญ่ด้านล่าง ที่เต็มไปด้วยน้ำพุจากภูเขาเป็นเวลาหลายปี
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่น้ำในบ่อหายไป แม้แต่น้ำพุที่พุ่งออกมาก็ยังออกมาในปริมาณที่น้อยเป็นหยด
หญิงสาวได้ยินจากพ่อของเธอว่าในบางแห่งผู้คนแบกขวดโหลไว้บนหัวแล้วเดินกว่าสิบกิโลเมตรเพื่อไปเติมน้ำ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเช่นนี้ คิ้วและดวงตาของเธอก็มืดลง
ภัยแล้งรุนแรงมากจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนได้แต่ปลอบอย่างอ่อนแรง “เราต้องมั่นใจว่าปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม”
เท่าที่เธอรู้ ด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฝนเทียมก็ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางเช่นกัน มันสามารถช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวในพื้นที่ประสบภัยแล้งได้
แต่ถึงอย่างนั้น การสร้างฝนเทียมนั้นมีเงื่อนไขจากเมฆบางประการ ทุกอย่างจะต้องตรงกับเงื่อนไขเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างฝนเทียมได้
เธอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ไม่มีเมฆ แม้แต่ลมก็ไม่มี
สภาพเช่นนี้คงทำฝนเทียมไม่ได้แน่นอน
เธอสลัดความคิดที่สับสนวุ่นวายออกไปแล้วถามว่า “ผักที่ครอบครัวของเธอขายในราคาเท่าเดิมหรือเปล่า?”
อาเซียงพยักหน้า “ใช่ค่ะ ทำไมเหรอพี่?”
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “ไม่ ในช่วงเวลานี้ ราคาของผักแต่ละชนิดควรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
เมื่ออาเซียงได้ยินแบบนี้ เธอโบกมืออย่างรวดเร็ว “พี่สาวเซี่ย ไม่ได้หรอกนะ ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง?”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ระหว่างทางที่พี่มาที่นี่ พี่เห็นว่าไม่มีผักขายตามถนน หรือต่อให้มีก็จะเป็นผักที่เหี่ยวและลีบด้วย แถมผักเหล่านั้นก็มีราคาแพงกว่าของเธอมาก”
“มันเป็นเพราะหยาดเหงื่อของพ่อแม่ของเธอที่ยังทำให้ผักของครอบครัวยังคงชุ่มฉ่ำอยู่ได้ พี่จะใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของเราเอาเปรียบเธอซื้อของในราคาถูกได้ยังไงล่ะ?”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ อาเซียงก็ก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ
เจียงเพ่ยหลานยิ้มและพูดว่า “ป้าตงซิ่วช่วยเพิ่มราคาผักให้ครอบครัวของพวกเขาตั้งแต่สองวันแรกแล้วแหละ แต่อาเซียงกับอาจ้วงเป็นเด็กสองคนที่จริงใจและยืนกรานว่าไม่ต้องการ ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงยอมแพ้ในท้ายที่สุด เธอมาก็ดีแล้วช่วยพูดกับเด็กคนนี้ทีนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนมองไปที่อาเซียงพลางยิ้มเบา ๆ และไม่พูดอะไร
อาเซียงเงยหน้าขึ้นและไอเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ดีมาก อย่าให้ครอบครัวเดือดร้อนเพราะเราสนิทกัน ของซื้อของขายควรคิดราคามาอย่างสมเหตุสมผล อย่าเสียแรงเปล่าเพราะความเสน่หา เข้าใจไหม?”
อาเซียงดูเหมือนจะเข้าใจและพยักหน้า “ฉันพอเข้าใจแล้วค่ะ…”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
บางอย่างเมื่ออาเซียงโตขึ้นและมีประสบการณ์ เธอจะเข้าใจโดยธรรมชาติเอง
เซี่ยชิงหยวนเรียกอาเซียงให้เข้ามา “ครั้งนี้พี่ซื้อเสื้อผ้ามาประมาณสองพันตัว แต่ชุดแรกที่พี่ขนกลับมาเองมีมากกว่าพันตัว ส่วนของอีกชุดหนึ่งถูกส่งมาทางไปรษณีย์และจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนะ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ อาเซียงก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “พี่สาวเซี่ย ครั้งนี้พี่ซื้อมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพูดอย่างใจเย็น “จากครั้งก่อน ตอนนี้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าไต้แล้ว คราวนี้เขาเลยพาพี่ไปแนะนำเพื่อนที่เขารู้จัก ด้วยความช่วยเหลือจากเขา พี่ก็เลยซื้อได้สะดวกมากกว่าคราวที่แล้วเลยน่ะ”
เมื่อพูดถึงเมืองกว่างโจว เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงโจวจิ่นจือในกองไฟวันนั้น
เธอส่ายหัวและในขณะที่หยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุงกระสอบ ก่อนจะพูดว่า “ค่อย ๆ เอาเสื้อผ้าออกมาทีละไม่ต้องเยอะนะ ในร้านตรอกเก่าของเรามีเตาไฟเปิดอยู่เสมอ ต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่งั้นไฟจะไหม้ได้”
อาเซียงช่วยหยิบเสื้อผ้าออกจากถุงกระสอบแล้วพยักหน้า “ตกลงค่ะ”
ตอนนี้เธอฟังทุกสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูด
ยังไงซะ นอกจากพ่อของเธอแล้วไม่มีใครสามารถโน้มน้าวเธอได้มากขนาดนี้เลย
โอ้ ใช่ มีพี่เขยเซี่ยด้วย
เมื่อเสื้อผ้าถูกเอาออกมาทีละตัว ดวงตาของอาเซียงก็เบิกกว้าง
เธออดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “พี่เซี่ย เสื้อผ้าพวกนี้สวยมากเลย!”
เธอคิดว่าตัวเองได้เปิดหูเปิดตาแล้วเมื่อตอนที่เธอไปกว่างโจวเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเธอกับเซี่ยชิงหยวนช่วยกันเลือกเสื้อผ้า และเธอคิดว่าพวกมันสวยที่สุดในตลาดขายส่งทั้งหมด และยิ่งเมื่อเธอได้เลือกเองมากเท่าไหร่ เธอก็ตระหนักว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกก่อนหน้าเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง
ไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าชุดที่แล้วไม่สวย แต่เสื้อผ้าที่เลือกใหม่ทุกครั้งก็ทำให้ตื่นตาได้เสมอโดยเฉพาะชุดรอบล่าสุดนี้
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “เธอต้องตั้งใจเรียนรู้นะ บางทีครั้งหน้าพี่อาจจะให้เธอไปซื้อด้วยตัวเองบ้าง”
“หา…” ประโยคนี้ทำให้อาเซียงกลัวจนขนหัวลุก
เธอไม่ได้กลัวว่าจะต้องไปกว่างโจว แต่เธอกลัวจริง ๆ ว่าจะไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ หากเธอไปซื้อสินค้าด้วยตัวเอง
เซี่ยชิงหยวนตบไหล่เด็กสาวและพูดว่า “เธอทำได้”
ท้ายที่สุด เซี่ยชิงหยวนแนะนำอาเซียงเกี่ยวกับสไตล์ของเสื้อที่ต้องให้ความสำคัญ กลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมสำหรับเสื้อผ้าแต่ละสไตล์ และขอให้เธอแบ่งปันความคิดเห็นของเธอเองเกี่ยวกับเสื้อผ้าบางสไตล์
ทว่าหลังจากฟังไปเรื่อย ๆ อาเซียงรู้สึกว่าสมองของเธอจดจำมันได้ไม่หมด
ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็แบ่งเสื้อผ้าออกเป็นสองส่วน “อันนี้ตัวละห้าหยวน และตรงนี้ตัวละหกหยวนนะ”
อาเซียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เข้าใจแล้วค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนกล่าว “ช่วงที่พี่ไม่อยู่ เธอคงทำงานหนักมาก เอาล่ะพักผ่อนให้เพียงพอและในตอนบ่ายเราจะตั้งแผงขายที่ศาลากลางกันนะ”
เมื่ออาเซียงได้ยินเช่นนี้ เธอก็สนใจทันที “พี่จะไปที่นั่นจริงเหรอคะ?”
จริง ๆ แล้วอาเซียงก็มีความคิดอยากไปขายที่นั่นเช่นกัน แต่เธอแค่กังวลว่าพี่เขยเซี่ยที่ทำงานอยู่อาจถูกคนอื่น ๆ นินทาได้ ถ้าพวกเธอไปขายของที่นั่น
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนพูดอย่างใจเย็นในวันนี้ อาเซียงจึงวางความกังวลในใจลงทันที
พี่สาวเซี่ยน่าจะตัดสินใจหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือทำตามที่พี่สาวเซี่ยพูด!
หลังจากอธิบายเสื้อผ้าให้อาเซียงฟัง เซี่ยชิงหยวนก็เริ่มเตรียมอาหารกลางวันให้เสิ่นอี้โจว
ถ้าไม่มีใครคอยดูเขา เขาอาจจะกินข้าวไม่ตรงเวลาก็เป็นได้
สิ่งที่เธอทำให้เสิ่นอี้โจวในวันนี้คือซี่โครงหมู ขนมลูกเดือยมันเทศ และโจ๊กอินทผาลัม ซึ่งช่วยบำรุงกระเพาะและกระตุ้นเลือดลมไหลเวียน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว
มีเตาถ่านมือสองที่ซื้อมาใช้ในร้านตรอกเก่า เธอวางหม้อดินบนนั้นแล้วปรุงอย่างช้าๆ โจ๊กที่ได้จะข้นและอร่อยมาก
หลังจากวางหม้อดินเผาบนเตาและจุดไฟแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็พูดกับหลินตงซิ่ว จากนั้นก็ออกไปซื้อที่แขวนเสื้อเพิ่มอีกอันที่สามารถแขวนเสื้อผ้าแบบตั้งตรงได้
เสื้อผ้ามีหลากหลายสไตล์และวางเรียงกันเต็มไปหมด ทำให้ยากต่อการโชว์เสื้อผ้า
ระหว่างทำทั้งหมดนี้ ดวงตาของเธอสงบราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเธอเลยแม้แต่น้อย
หลังจากคิดทั้งคืน เซี่ยชิงหยวนก็คิดได้ในที่สุด
ไม่ว่ายังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
พูดตรง ๆ ถ้าเสิ่นอี้โจวป่วยหนักจริง ๆ เขาจะต้องใช้เงินจำนวนมากสำหรับการรักษาพยาบาลในอนาคต
ดังนั้นไม่ว่าเธอจะเสียใจแค่ไหน เธอก็หยุดหาเงินไม่ได้
เมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยง เสิ่นอี้หลินก็กลับมาจากโรงเรียน
โรงเรียนของเขาอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยเจ้าหน้าที่และตลาดในระยะพอ ๆ กัน ดังนั้นเขาจึงถูกขอให้มาที่นี่ทันทีหลังเลิกเรียน
หลังจากทำการบ้านเสร็จ ก็ได้เวลาอาหาร
เด็กชายปากหวานมากจนได้รับความโปรดปรานจากยายเฒ่าหลี่และสามี พวกเขาไม่มีลูกหลาน ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้อี้หลินเข้าไปทำการบ้านในบ้านของพวกเขาที่อยู่หลังร้าน
ยายเฒ่าหลี่กล่าวว่า “พวกคุณค้าขายในร้านอยู่ตลอดมันไม่เหมาะที่เขาจะทำการบ้านในร้านของพวกคุณหรอก ฉันจะส่งเขากลับตอนเขาทำการบ้านเสร็จแล้วนะ”
เซี่ยชิงหยวนตักโจ๊กชามใหญ่ให้เสิ่นอี้หลิน “เอาให้คุณยายและคุณตานะ”
เสิ่นอี้หลินพยักหน้า พลางเดินไปพร้อมกับกระเป๋านักเรียนและชามโจ๊ก
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนใส่โจ๊กลงในกล่องอาหารกลางวัน กินอีกชามหนึ่งของตัวเองแล้วพูดกับอาเซียง “อาเซียง พี่จะไปส่งอาหารกลางวันให้พี่เขยของเธอ เธอดูพวกเสื้อผ้าคนเดียวไปก่อนนะ”
อาเซียงคุ้นเคยกับการขายคนเดียวไปแล้ว ดังนั้นจึงตอบรับอย่างสบาย ๆ “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว พี่สาวรีบไปเถอะ!”
หลังจากอธิบายทุกอย่างแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ขี่จักรยานสามล้อไปที่ศาลากลาง
เธอไปถึงก่อนเวลาและทุกคนเพิ่งพักเที่ยง
เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ในห้องยามและรอสักครู่ เมื่อเห็นว่าผู้คนเกือบจะออกไปหมดแล้วเธอจึงค่อยเดินเข้าไปในตึก
เธอเดินไปที่ประตูห้องเลขาธิการที่ชั้นสองแล้วเคาะประตูเรียก และเสียงของเสิ่นอี้โจวก็ดังขึ้นจากข้างใน “เข้ามาได้เลยครับ”
———————