กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 259 ดิ้นรนครั้งสุดท้าย
บทที่ 259 ดิ้นรนครั้งสุดท้าย
บทที่ 259 ดิ้นรนครั้งสุดท้าย
ทันใดนั้นกงเหลียนซินก็จำบางสิ่งที่จางอวี้เจียวเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจได้ และตัดสินใจบอกเซี่ยชิงหยวนเกี่ยวกับเรื่องนี้
เธอพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน จางอวี้เจียวหลุดปากคำพูดหนึ่งที่บ้านด้วยแหละ บอกว่าครอบครัวของเธอกำลังมองหาคู่ให้จางอวี้เอ๋อ แต่ดูเหมือนว่าจางอวี้เอ๋อจะไม่ยอมและพยายามสร้างปัญหา”
“อยู่ที่นั่นเธอก็ควรระวังตัวไว้ด้วยนะ”
คำเตือนที่บอกว่า ‘ระวัง’ ในความเป็นจริงคือการเตือนให้เซี่ยชิงหยวนเฝ้าระวังเสิ่นอี้โจว
นอกจากหวังผิงที่หลอกตัวเองแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่ไม่เห็นความคิดของจางอวี้เอ๋อที่มีต่อเสิ่นอี้โจว?
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วขึ้น “เข้าใจแล้ว ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”
จางอวี้เอ๋ออายุน้อยกว่าเซี่ยชิงหยวนเพียงครึ่งปี ตอนนี้จางอวี้เอ๋ออายุ 21 ปี และถึงเวลาที่จะต้องหาคู่แล้ว
ทว่าจางอวี้เอ๋อมีหัวใจสูงส่งกว่าท้องฟ้า*[1] ในตอนที่เธอได้มาเมืองเตียนเฉิง ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องแปลกหากเธอยอมรับคนที่ครอบครัวของเธอแนะนำง่าย ๆ
ส่วนไอ้เรื่องความอยากได้เสิ่นอี้โจวของจางอวี้เอ๋อน่ะเหรอ?
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าอันเย็นชาของเสิ่นอี้โจว จางอวี้เอ๋อจะไปมีความกล้าที่จะพูดอะไรมากได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจนิสัยของจางอวี้เอ๋อและแน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นจะรีบกระโดดข้ามกำแพงเลยเชียว
คราวนี้ต้องมาดูกันว่าใครจะเป็นเป้าหมายผู้โชคร้ายคนต่อไป
สำหรับเซี่ยชิงหยวน แค่รอให้จางอวี้เอ๋อสร้างปัญหาและให้หล่อนกระโดดเต้นแร้งเต้นกาอีกครั้งก็พอ แล้วเธอจะเก็บกวาดสองพี่น้องนี้พร้อมกันทีเดียวไปเลย
เซี่ยชิงหยวนระงับอารมณ์และพ่นลมหายใจออกมา “มันเป็นงานหนักสำหรับพี่สะใภ้และพี่ชายจริง ๆ ในการดูแลพ่อแม่ที่บ้าน เมื่อไหร่ที่พี่สะใภ้ว่างก็มาเที่ยวเล่นที่นี่บ้างนะ แล้วฉันจะให้อี้โจวเตรียมทุกอย่างไว้ให้เอง”
คำเชิญของเซี่ยชิงหยวน ทำให้กงเหลียนซินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยิน
แต่พอนึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่บ้าน กงเหลียนซินรู้สึกเป็นทุกข์อีกรอบ “เอาไว้ฉันจะปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ชายของเธอก่อนนะ แล้วดูว่าเราจะหาเวลาไปได้ไหม”
ครั้งสุดท้ายที่เซี่ยชิงหยวนกลับไปบ้านและได้เล่าเกี่ยวกับธุรกิจที่เตียนเฉิง กงเหลียนซินมักจะอยากไปเตียนเฉิงเพื่อดูเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนและกงเหลียนซินพูดคุยกันอีกสองสามคำ จากนั้นก็วางสายกันไป
เซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่บนโซฟาและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อตอนที่กงเหลียนซินพูดถึงเซี่ยจิ่งเฉินและภรรยาของเขา เธอก็ขมวดคิ้ว
ไม่ แม้ว่าจะเข้าไปแทรกแซง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด
เซี่ยชิงหยวนเชื่อว่าการหาคู่ของจางอวี้เอ๋อจะทำให้เกิดคลื่นบางอย่างแน่นอน จากนั้นเธอก็จะ…
พอนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็หรี่ลง เผยให้เห็นแววตาที่หาได้ยาก
…
ไม่กี่วันต่อมาเสิ่นอี้โจวก็เริ่มไปทำงาน
เซี่ยชิงหยวนเองก็เริ่มวิ่งไปรอบ ๆ ทั้งแผงขายเสื้อผ้าในร้านตรอกเก่า และที่สี่แยกของหน่วยงานราชการทุกวันเหมือนในอดีต
ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
ยกเว้นเสิ่นอี้โจวที่พาเธอไปออกกำลังกายทุกวันหลังอาหารเย็น
เดิมทีเซี่ยชิงหยวนไม่เต็มใจ แต่เสิ่นอี้โจวเหลือบมองเธอเบา ๆ “หมอฮวงก็บอกให้คุณออกกำลังกายมาก ๆ ไม่ใช่เหรอ? นอกจากนี้ความแข็งแรงทางร่างกายของคุณต้องมีให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยเร็วนะ”
เซี่ยชิงหยวนปฏิเสธ “ความแข็งแรงทางร่างกายของฉันดีมากอยู่แล้วเถอะ ตามนั้นนะ?”
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองเธอไล่จากบนลงล่างแล้วพูดว่า “ทุกครั้งคุณจะบอกว่าเหนื่อยแล้ว ทั้ง ๆ ที่ทำกันไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นี่น่ะเหรอที่คุณบอกว่าแข็งแรงดี?”
เซี่ยชิงหยวนพูดไม่ออก “…”
เธอยื่นมือออกไปปิดปากของเขาทันที “เงียบเดี๋ยวนี้เลย!”
เสิ่นอี้โจวใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ โอบรอบเอวของเธอ พลางลูบบั้นท้ายด้วยฝ่ามือใหญ่ “ถ้าคุณไม่เพิ่มพละกำลังตัวเอง แล้วเราจะเพิ่มจำนวนครั้งได้ยังไงล่ะ คุณไม่คิดเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนหน้าแดงเหมือนกุ้งต้ม “เสิ่นอี้โจวพอได้แล้ว! ฉันจะไปออกกำลังกายกับคุณก็ได้!”
ตั้งแต่นั้นมาเซี่ยชิงหยวนก็มีหนึ่งสิ่งที่ต้องทำมากขึ้นทุกวันคือ การออกกำลังกายกับเสิ่นอี้โจว
เธออธิบายให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าเขตที่อยู่อาศัยฟังเกี่ยวกับปี่เหลาซาน แต่หลังจากรอนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานก็ยังไม่มา
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเขาแค่คิดว่าสิ่งที่เธอพูดไปในตอนนั้นเป็นแค่เรื่องตลก
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นท้ายที่สุดคือ เจียงเพ่ยหลานพาหลินอี้ตั่วไปเยี่ยมหลินจื้อเฉียง
หลังจากกลับมา เจียงเพ่ยหลานก็อยู่ในอารมณ์ที่สงบมาก
เธอพูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ฉันคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลินจื้อเฉียงก็เป็นพ่อของอี้ตั่ว”
“ฉันไม่สามารถกีดกันอี้ตั่วจากผู้เป็นพ่อแท้ ๆ ได้เพราะปัญหาที่ฉันมีกับเขา”
“ฉันถามอี้ตั่วว่าต้องการเจอพ่อไหม”
“เธอตอบว่าอยากเจอ แต่ก็กลับมาหลังจากมองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
หลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่แม่ลูกคู่นั้นทำกับเธอและลูก อี้ตั้วก็เป็นเหมือนกระจกเงาสำหรับทุกอย่าง
เจียงเพ่ยหลานหยุดชั่วคราวด้วยรอยยิ้มที่เหนื่อยล้า “ฉันให้เขาไปห้าสิบหยวน เพราะเห็นแก่อี้ตั่ว เพื่อซื้อความสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายของเรา”
หลังจากพูดจบ เจียงเพ่ยหลานมองไปที่เซี่ยชิงหยวนด้วยความวิตกกังวล
เซี่ยชิงหยวนม้วนริมฝีปากของเธอ “ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้?”
เจียงเพ่ยหลานกล่าวว่า “ก็ฉันกลัวว่าเธอจะตำหนิฉันน่ะสิ ว่าฉันไม่ควรให้อะไรแก่พวกเขา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มออกมา “เป็นเพราะจิตใจที่ดีของเธอต่างหาก เธอพาอี้ตั่วไปพบเขา ฉันจะไม่ตัดสินว่ามันถูกหรือผิดที่เธอทำแบบนั้น เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงทำแบบเดียวกัน”
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไง เราก็ยังควรมีมโนธรรมให้
เจียงเพ่ยหลานอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา “ชิงหยวน ขอบคุณจริง ๆ นะ เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าไม่มีเธอ ฉันคงอยู่ไม่ได้อย่างทุกวันนี้”
เซี่ยชิงหยวนตบไหล่อีกฝ่าย “ทำงานให้หนักและทำงานหนักต่อไปนะ เธอมีอาชีพของตัวเองแล้ว และเงินในกระเป๋าก็พอกพูนเรื่อย ๆ ดังนั้นเธอไม่ต้องกังวลใจกับอะไรแล้ว”
ไม่ว่าจะยุคไหนหรือที่ไหน เงินก็คือทุนในการลงหลักปักฐานอยู่ดี
ณ ศาลากลาง
วันนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากมณฑลและเมืองหลวงมาเยี่ยมชม ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลากลางทั้งหมดถูกเรียกรวมตัวมาต้อนรับแขก
หลังจากการประชุมอันยาวนาน ศาลากลางจัดให้มีการรับประทานอาหารเย็นในห้องรับแขกพิเศษของโรงอาหาร
ในห้องรับรองแขกพิเศษของโรงอาหาร มีการชนแก้วกันและกัน
จางอวี้เอ๋อเลิกงานแล้ว แต่พอเธอได้รับข่าวและรู้ว่าวันนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากมายมาที่นี่ เธอจึงวางแผนการทันที
ในปีนี้เธออายุ 21 ปีแล้ว และครอบครัวของเธอกำลังหาคู่ให้คนแล้วคนเล่า แต่ว่ากันว่าผู้ชายที่ครอบครัวของเธอจับคู่ให้มีแต่พวกขาเปื้อนโคลนหรือไม่ก็เจ้าของเขียงหมูในหมู่บ้าน
พ่อแม่ของเธอเตือนว่าถ้าเธอยังหาคู่เองไม่ได้ภายในหนึ่งเดือน เธอต้องกลับบ้าน
เมื่อได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองและได้เห็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์หรือคนระดับสูงมากมาย คนที่ครอบครัวของเธอแนะนำมานั้นไม่น่าสนใจเลย
นับตั้งแต่การลงโทษครั้งนั้น เธอก็กัดฟันทนและอยู่ที่นี่ รอโอกาสที่จะโบยบินขึ้นไปบนกิ่งไม้และกลายเป็นหงส์
ตอนนี้เธอต้องดิ้นรนอย่างสุดตัว
เมื่อเห็นเธอเดินไปมาอยู่รอบ ๆ ประตู พี่สาวจู้จึงเอ่ยถาม “เธอไม่ได้เลิกงานแล้วหรอกเหรอ? ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก?”
จางอวี้เอ๋อคิดเกี่ยวกับข้อแก้ตัวของตัวเองไว้แล้ว “ผู้อำนวยการบอกว่ามีคนไม่พอ วันนี้เลยให้ฉันมาช่วยน่ะค่ะ”
ตอนนี้ทุกคนยุ่งมาก เป็นไปไม่ได้ที่พี่สาวจู้จะไปถามผู้อำนวยการเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าจริงหรือไม่แน่นอน
สีหน้าของพี่สาวจู้เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “ฉันเตือนเธอเอาไว้ก่อนนะ ฉันไม่สนใจว่าปกติเธอสร้างปัญหามากน้อยแค่ไหน แต่วันนี้มีคนระดับสูงมาจากเมืองหลวง เธอเลิกคิดเรื่องไร้สาระเดี๋ยวนี้ และตั้งใจทำงานไปอย่างเดียวพอ!”
ยังไงซะงานเลี้ยงก็ใกล้จะจบลงแล้ว และจางอวี้เอ๋อก็คงทำอะไรไม่ได้
จางอวี้เอ๋อแสร้งทำตัวเชื่อฟังมาก เธอพยักหน้าและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
แต่ดวงตาของหญิงสาวยังมองไปที่เหล่าผู้คนที่นั่งข้างในอีกครั้ง
ที่โต๊ะหลัก แม้ว่าหยางฉุนอี้และคนอื่น ๆ จะมีตำแหน่งทางการที่สูงกว่าเสิ่นอี้โจว แต่ชายหนุ่มก็ยังเป็นบุคคลสำคัญที่ทุกคนไม่สามารถมองข้ามได้ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าเขาโดดเด่นแค่ไหนท่ามกลางผู้คน
ก่อนหน้านี้ที่เสิ่นอี้โจวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จางอวี้เอ๋อภาวนาให้เขาไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เพื่อที่เซี่ยชิงหยวนจะได้ล้มลงคลุกฝุ่นอีกครั้ง
แต่ทว่าท้องฟ้าไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเธอ ท้ายที่สุดเสิ่นอี้โจวก็ตื่นขึ้น
และเธอยังได้ยินคนพูดว่าเสิ่นอี้โจวอาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปประจำที่เมืองหลวงของมณฑลด้วย
เธอแอบกังวล แต่ก็ไม่กล้าที่จะคิดเรื่องเสิ่นอี้โจวอีกต่อไป
ฉากที่เขาเตือนเธอครั้งสุดท้ายยังคงทำให้ตัวเองหวาดกลัวเมื่อนึกถึงมัน
ขณะที่เธอกำลังงุนงงอยู่นั้น ประตูห้องรับรองก็เปิดออกจากด้านในและงานเลี้ยงอาหารค่ำก็จบลง
บางคนออกมาทีละคน ส่วนใหญ่เดินโซเซและเมาอย่างเห็นได้ชัด
ฉู่ซิงอวี่ได้รับการพยุงจากเสิ่นอี้โจว และมันค่อนข้างยากสำหรับเขาที่จะเดิน
เสิ่นอี้โจวเพิ่งได้รับการผ่าตัด และทุกคนในห้องโถงก็รู้ว่าเขามีอาการปวดท้อง ดังนั้นจึงมีหลายคนที่ช่วยเขาดื่มแทน
ในฐานะเลขา ฉู่ซิงอวี่มีหน้าที่รับผิดชอบนี้เป็นหลัก
ท้ายที่สุดฉู่ซิงอวี่ก็ดื่มมากเกินไป
เมื่อจางอวี้เอ๋อเห็นว่าฉู่ซิงอวี่และเสิ่นอี้โจวอยู่ด้วยกัน เธอก็รีบไปแอบอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าเสิ่นอี้โจวจะพบตัวเอง
ฉู่ซิงอวี่สะอึกและพูดกับเสิ่นอี้โจว “เลขาธิการครับ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผมหรอกครับ คืนนี้ผมจะนอนในหอพักของศาลากลางแทน”
หลิงเยี่ยไปปฏิบัติภารกิจเมื่อสองวันก่อน และไม่มีใครสนใจเขาต่อให้เขาไม่กลับไป
ค่ำคืนนี้มีคนจำนวนมากเกินไปจนไม่สามารถส่งทั้งหมดกลับบ้านได้ ดังนั้นหลายคนจึงไปพักที่หอพัก ซึ่งเปิดแยกจากกันข้างศาลากลาง
เสิ่นอี้โจวดื่มเล็กน้อยในคืนนี้ เขาจึงเรียกชายหนุ่มที่รออยู่ที่สำนักงานเลขานุการ “คุณไปส่งเลขาฉู่ที่หอพักชั่วคราวทีนะ”
ชายหนุ่มตอบรับทันที “ได้ครับท่านเลขาธิการ”
หลังจากที่ชายหนุ่มพูด เขาก็ช่วยพยุ่งฉู่ซิงอวี่และพาออกไป
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จางอวี้เอ๋อซึ่งซ่อนตัวอยู่ด้านข้างก็เดินอ้อมไปจากอีกด้านหนึ่งของห้องโถงและเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
*[1] มีหัวใจสูงส่งกว่าท้องฟ้า หมายถึง คนที่มีความทะเยอทะยาน หยิ่งทะนงตัว