กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 26 หรือเขาจะมีคนอื่น
บทที่ 26 หรือเขาจะมีคนอื่น?
บทที่ 26 หรือเขาจะมีคนอื่น?
เจี่ยกุ้ยหันไปหาอีกฝ่าย “คุณป้าเยว่กุ้ย เท่าที่ผมเข้าใจ คุณใช้ครีมนั้นเอง ครอบครัวของผมไม่ได้บังคับให้คุณใช้ ส่วนเงินสองหยวนนี้ ผมถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันและกัน แต่ถ้าหากคุณคิดว่ามันไม่พอ ก็ไปถามความคิดเห็นผู้ใหญ่บ้านเอาก็แล้วกัน!”
เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงผู้ใหญ่บ้านชรา ผานเยว่กุ้ยก็ไม่กล้าเรียกร้องอะไรอีก ได้แต่พึมพำว่า “มีใครในหมู่บ้านนี้ไม่รู้บ้างว่าคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใหญ่บ้านแค่ไหน”
จากนั้นเธอก็รับเงินสองหยวนจากแม่เฒ่าเจี่ยซึ่งยังคงสาปแช่งไม่หยุด
จากนั้นเขาก็พูดกับเซี่ยชิงหยวนต่อ “น้องชิงหยวน ฉันขอโทษจริง ๆ สำหรับเหตุการณ์ในวันนี้ ฉันจะสอนบทเรียนให้ยัยผู้หญิงคนนี้ในภายหลัง และจะไปที่บ้านของเธอเพื่อขอโทษอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็ลากหวังชุ่ยเฟินเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูท่ามกลางสายตาของทุกคน จากนั้นไม่นานก็มีเสียงร้องไห้โหยหวนของหวังชุ่ยเฟินดังออกมา
เซี่ยชิงหยวนไม่มีความเห็นใจอีกฝ่ายสำหรับเหตุการณ์นี้เลยแม้แต่น้อย
คนเลวที่วางแผนชั่วร้ายได้มากมายแบบนี้ สมควรที่จะถูกทุบตีแล้ว
จากนี้ไปเธอก็แค่รอดูว่าหวังชุ่ยเฟินจะตายอย่างไร
เมื่อเห็นใบหน้าที่บูดบึ้งของเซี่ยชิงหยวนทั้งยังไม่พูดอะไร เจี่ยต้าฮวาคิดว่าอีกฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจ หญิงสาวจึงได้พยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย “คนอย่างหวังชุ่ยเฟินเป็นเหมือนหมาป่าตาขาวที่ไม่น่าคบ ดังนั้นอย่าไปคุยกับมันอีกเลย”
ก่อนหน้านี้ หวังชุ่ยเฟินกับเซี่ยชิงหยวนแต่งงานเข้าหมู่บ้านซีสุ่ยในเวลาไล่เลี่ยกัน ทุกคนต่างคิดว่าพวกเธอจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกันแน่ ๆ แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจของคนจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้!
มุมปากของชิงหยวนกระตุกเล็กน้อย “ฉันสบายดี ขอบคุณค่ะพี่ต้าฮวา”
หลังจากความตื่นเต้นจบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไป ส่วนเซี่ยชิงหยวนก็กลับบ้านของตนเช่นกัน
เมื่อกลับถึงบ้าน มันก็มีอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะแล้ว
เสิ่นอี้หลินกำลังเล่นอยู่ในสนามหญ้า และเมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนกลับเข้ามาพร้อมกับตะกร้าจ่่ายตลาด เขาก็เรียกเธอว่าพี่สะใภ้แล้วยื่นมือมาจะช่วยถือของ
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและส่งตะกร้าให้เขา “นี่จ๊ะ”
เสิ่นอี้หลินรับตะกร้ามา แต่ทันใดนั้นตะกร้าในมือของเขาก็เกือบจะตกลงพื้น มันหนักเกินไปสำหรับเด็กอย่างเขา!
เขามองเข้าไปข้างในตะกร้าและหัวเราะร่าทันที “พี่สะใภ้ พี่ซื้อขาหมูมาจริง ๆ ด้วย!”
เขาเปิดตะกร้าดูอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงดังออกมา “มีปลาด้วย!”
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับไป “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราสัญญากันไว้เมื่อวานเหรอ”
เสิ่นอี้หลินมีความสุขมาก จากนั้นเขาก็ถือตะกร้าวิ่งเข้าไปในครัว
“ผมจะเอาเนื้อไปเก็บ ส่วนปลาจะเอาใส่ไว้ในหม้อใส่น้ำเพื่อเลี้ยงมันไว้ก่อน!”
ของเหล่านั้นถูกเก็บซ่อนอย่างมิดชิด ไม่เช่นนั้น หากลุงข้างบ้าน (ครอบครัวของเสิ่นสิง) มาเห็นเข้า พวกเขาก็จะนำพวกมันไปอีก!
หลินตงซิ่วได้ยินเสียงมาจากหลังบ้าน เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้ ออกไปซื้อของแต่เช้าเลย”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและเรียก “แม่คะ”
เสิ่นอี้โจวเดินตามมาทางด้านหลัง เมื่อเห็นหญิงสาว ใบหน้าของชายหนุ่มก็ดูอึดอัดใจเล็กน้อย “กลับมาแล้วเหรอ”
เซี่ยชิงหยวนจำได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น สีหน้าของเธอจึงไม่ค่อยดีนัก
แต่หลินตงซิ่วอยู่ตรงนี้ เธอจึงไม่กล้าแสดงสีหน้าอย่างโจ่งแจ้งเกินไปได้ เธอจึงตอบกลับอย่างคลุมเครือ “อืม” จากนั้นจึงหันกลับเข้าไปในห้อง
เสิ่นอี้โจวลังเลครู่ใหญ่ แต่ก็ตามผู้เป็นภรรยาเข้าไป
หญิงสาวเดินมาไกลจนเหงื่อออก เธอกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เสิ่นอี้โจวกลับตามเข้ามาเสียก่อน
เธอเอามือปกปิดร่างกายของตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว “คุณเข้ามาทำไม?”
ท่าทางป้องกันตัวเองของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงหยุดชะงักไป
จากนั้นเขาก็หันหลังอย่างรวดเร็ว “ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
หลังจากพูดออกไป เขาก็อยากรีบออกไปจากตรงนี้ เพราะเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะคุยกับเธอเรื่องอะไร
เซี่ยชิงหยวนมองแผ่นหลังที่ลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่าย และสาปแช่งอีกครั้งด้วยความโกรธ “ไอ้คนบ้า!”
เสื้อผ้าในมือของเธอถูกบีบจนเป็นก้อนกลม ก่อนจะพูดอย่างขมขื่น “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะง้างปากคุณไม่ได้!”
เมื่อคืนก่อนเธอครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งคืน และเธอก็พบว่า ทัศนคติที่มีต่อเธอในชาตินี้ของอีกฝ่ายผิดแปลกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ความผิดปกตินี้ถ้าเขาไม่ถูกผีสิง เขาก็อาจจะได้ไปเจออะไรที่เธอไม่รู้หรือเขาอาจมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ข้างนอกนั่น
แม้เธอจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดจะมีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากเธอสามารถเกิดใหม่ได้แบบนี้ แล้วจะมีอะไรเป็นไปไม่ได้อีก?
เธอไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ชัดเจน แม้ว่าจะต้องแพ้ เธอก็ควรได้รู้สาเหตุที่ชัดเจนก่อน
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะให้โอกาสตัวเองและเสิ่นอี้โจวอีกครั้ง
เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมองหาอีกฝ่าย
เมื่อรู้ว่าเธอกำลังมองหาพี่ชายของตน เสิ่นอี้หลินจึงพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่เขาออกไปทุ่งหลังจากมื้อเช้า ที่นั่นยังมีผืนนาที่พวกเรากำลังเพาะต้นกล้าอยู่” จากนั้นเขาก็จูงมือเธอไปที่โต๊ะอาหาร “พี่สะใภ้ มากินข้าวเช้ากันเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและถามด้วยรอยยิ้ม “นายได้ซ่อนของไว้อย่างดีหรือยัง”
เสิ่นอี้หลินพยักหน้า “แน่นอน”
หญิงสาวพูดขึ้นอีกครั้ง “ตอนที่ออกไปเล่นข้างนอก จำไว้ว่าอย่าบอกใครเรื่องของที่พี่ซื้อมานะ”
ถ้าครอบครัวของเสิ่นสิงรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องวิ่งโร่มาขอส่วนแบ่งไปอย่างแน่นอน
เด็กชายพยักหน้ารับ และทำท่าทางมือรูดซิปที่ปากแล้วฝังหน้าลงในชามโจ๊ก
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาและการสนับสนุนเธอของเสิ่นอี้หลิน เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกมีความสุขอยู่ในใจ
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเสิ่นอี้หลินดูจะดีขึ้นมาก เหมือนสหายร่วมรบที่ฝ่าฟันความทุกข์ยากมาด้วยกัน
หลินตงซิ่วกินโจ๊กโดยไม่พูดอะไรสักคำ
การไร้ความสามารถในฐานะแม่ของเธอ ทำให้ลูก ๆ ของเธอต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก สิ่งของหลายอย่างมักถูกครอบครัวของเสิ่นสิงแย่งชิงไป
เซี่ยชิงหยวนเห็นความลำบากใจของหลินตงซิ่ว และต้องการใช้โอกาสนี้สอนบทเรียนให้แก่แม่สามีที่อ่อนแอของเธอ “แม่คะ ฉันรู้ว่าแม่ห่วงใยครอบครัวของลุงเสิ่น และรู้สึกอยู่เสมอว่าการแยกตัวเองออกจากครอบครัวใหญ่นั้นไม่ง่ายเลย แต่ลองคิดดี ๆ นะคะ ถ้าคุณปู่ไม่เรียกร้องให้พวกเรา พวกเขาจะสนใจเราไหม นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตอนนั้นก็ออกด้วยเงินค่าศพของคุณปู่อยู่”
“ตั้งแต่เสิ่นอี้โจวขึ้นปีสอง เขาก็ส่งเงินกลับมาให้แม่กับอี้หลินทุกภาคการศึกษาเลย จริง ๆ แล้วเงินที่ได้มาจะไม่พอให้ใช้จ่ายได้ยังไง ในขณะที่ครอบครัวของป้าเยว่กุ้ยก็ฉวยโอกาสนี้ ขอเงินเดือนของเสิ่นอี้โจวมาตั้งหลายปี ทั้งยังปฏิบัติกับแม่เหมือนคนใช้”
“ไม่ว่าจะมีน้ำใจดีแค่ไหนก็ควรพอได้แล้วนะคะ”
“ไหนพวกเขาจะเอาแต่ใช้เงินของเรา ในขณะที่เก็บออมเงินของตัวเองเสียดิบดี อาศัยอยู่ในบ้านของเรา ส่วนเงินที่หามาอย่างยากลำบากของอี้โจวก็ถูกใช้ไปกับการปรนเปรอให้กับบ้านนั้น พวกเราติดหนี้บุญคุณอะไรพวกเขาเหรอคะถึงต้องทำขนาดนั้น ไหนจะอี้หลินอีก คุณไม่รู้สึกผิดกับเขาบ้างเหรอคะ”
ไม่ใช่ว่าหลินตงซิ่วไม่ได้คิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนพูดถูก แต่ทุกครั้งที่คิดถึงมัน เธอก็ไม่ต้องการคิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว
สิ่งนี้เรียกว่่า การคิดอย่างรอบคอบทว่าแฝงด้วยความเกรงกลัว
เธอเป็นลูกสาวคนที่สามในครอบครัว มีทั้งพี่สะใภ้ที่ฉลาดหลักแหลมและน้องสาวผู้เกียจคร้านไล่ตามกันมา ทั้งที่เป็นคนทำอะไรมากที่สุด แต่กลับโดนก่นด่ามากที่สุดเช่นกัน
ต่อมาเธอก็ได้แต่งงานกับเสิ่นเหยียน สามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและใจกว้าง เธอคิดว่าในที่สุดตัวเองก็ค้นพบเหตุผลที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเธอแล้ว แต่กลับไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเสิ่นเหยียนจะจากไปก่อนเวลาอันควร
เธอพาเสิ่นอี้โจวกับเสิ่นอี้หลินที่เพิ่งเกิดไปกับเธอเหมือนนกที่หวาดกลัวเดินบนน้ำแข็งบาง ๆ
ต่อมาเมื่อครอบครัวของเสิ่นสิงรับช่วงต่อจากครอบครัวของเธอ เขาก็กดขี่ข่มเหงจนเธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอจึงลืมวิธีการต่อต้านไปแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในกระดูกของเธอไม่มีคำว่าต่อต้านอยู่แล้ว
หลินตงซิ่วกำตะเกียบแน่นด้วยมือที่หยาบกร้าน เธอไม่อาจพูดอะไรได้เป็นเวลานาน เมื่อเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวจากไป เวลานั้นหลินตงซิ่วต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้
แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าหลินตงซิ่วนั้นอ่อนแอ และเธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นเธอจึงไม่เกลี้ยกล่อมแม่สามีอีกต่อไป
ในขณะเดียวกันนี้มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากนอกบ้าน เมื่อตั้งใจฟังก็รู้ว่าเจี่ยต้าฮวาเป็นคนเรียกหาเธอ
เซี่ยชิงหยวนวางตะเกียบของเธอแล้วเดินออกไป “พี่ต้าฮวา เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ใบหน้าของเจี่ยต้าฮวาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เธอรู้ไหมว่าฉันเพิ่งได้ยินอะไร ตู้อวิ๋นเซิงทะเลาะกับคุณครูหญิงในโรงเรียนเดียวกันล่ะ!”