กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 27 เซี่ยวอวิ๋นชำระแค้น
บทที่ 27 เซี่ยวอวิ๋นชำระแค้น
บทที่ 27 เซี่ยวอวิ๋นชำระแค้น
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่ในใจเธอกลับกู่ร้องอย่างดีใจ เซี่ยวอวิ๋นรวดเร็วทันใจเธอจริง ๆ
เมื่อเห็นท่าทีที่งงงวยของเซี่ยชิงหยวน เจี่ยต้าฮวาก็กล่าวต่อ “เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านของเราเพิ่งกลับมา เขาโกรธมากเธอรู้ไหมว่าตอนที่เลขาธิการพรรคกำลังคุยกับอาจารย์ใหญ่ เซี่ยวอวิ๋นเดินมากับครอบครัวของเธอ เมื่อพวกเขามาถึงก็ทุบตีตู้อวิ๋นเซิงอย่างหนัก ถ้าแม่ของเขามาเห็นคงจำเขาไม่ได้แน่ ๆ ”
เจี่ยต้าฮวาบรรยายถึงเรื่องนี้ราวกับตัวเองอยู่ในที่เกิดเหตุ จากนั้นหญิงสาวก็ยักไหล่สองสามครั้ง
เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ครอบครัวของเซี่ยวอวิ๋นกล้าขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
เจี่ยต้าฮวาพยักหน้า “แน่นอนสิ ลุงของเธอมาจากสำนักงานการศึกษาของมณฑลเชียวนะ! ตู้อวิ๋นเซิงเป็นแค่คนธรรมดา ตัวอยู่กับเซี่ยวอวิ๋น แต่พอเรื่องที่ไปยุ่งกับหวังชุ่ยเฟินแดงขึ้นมา เขาก็เลยถูกเล่นงาน โชคดีที่หวังชุ่ยเฟินใส่ร้ายเธอไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นคนที่ต้องแบกรับเรื่องทั้งหมดนี้แทน”
ทว่าหญิงสาวกลับไม่สบายใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “เกิดอะไรขึ้น?”
เจี่ยต้าฮวาตาเป็นประกายเมื่อเล่าถึงตรงนี้ “ตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียน ครอบครัวของเซี่ยวอวิ๋นบังคับครูใหญ่ให้ไล่ตู้อวิ๋นเซิงออกทันที จากนั้นพวกเขาก็ถอดเสื้อผ้าของตู้อวิ๋นเซิงและเดินขบวนตามท้องถนน นำคนกลุ่มใหญ่ไปที่บ้านของหวังชุ่ยเฟิน พวกคนที่เปลื้องผ้าประจานตู้อวิ๋นเซิงประกาศลั่นว่าพวกเขาต้องการฆ่าจิ้งจอกสาว!”
หวังชุ่ยเฟินผู้น่าสงสารที่เพิ่งถูกเจี่ยกุ้ยทุบตี ตอนนี้เธอกำลังจะซวยอีกครั้งแล้ว
หากฉันเป็นเธอ ก็คงฆ่าตัวตายไปแล้วจริง ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยชิงหยวนก็คิดว่าเรื่องราวหลังจากนี้ต้องน่าติดตามมากเป็นแน่
เธอคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้หวังชุ่ยเฟินกับตู้อวิ๋นเซิงจะไม่สามารถเดินเชิดหน้าได้อีกตลอดชีวิต
ต้องบอกว่าวิธีการในการจัดการกับชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นของเซี่ยวอวิ๋นช่างสะใจเธอจริง ๆ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร เจี่ยต้าฮวาจึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีก ดังนั้นฉันจึงคิดว่าควรจะมาบอกเธอให้รู้ก่อนว่าช่วงนี้เธออย่าเพิ่งออกไปไหนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น เกิดชุ่ยเฟินสติแตกขึ้นมาแล้วลากเธอเข้าไปพัวพันอีก แต่หลังจากเหตุความวุ่นวายนี้ ฉันคิดว่าครอบครัวของเจี่ยกุ้ยก็คงไม่สนใจที่จะขอโทษเธออีกแล้ว”
ขณะที่พูด เธอก็ตบหน้าอกอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “แต่อย่ากังวลเลย คนในหมู่บ้านซีสุ่ยไม่ยอมให้เธอถูกรังแกอีกแล้ว หวังชุ่ยเฟินคนนั้นทำตัวเอง ถ้านังผู้หญิงเลวคนนั้นกล้าลอบกัดเธออีก พวกเราจะช่วยเธอเอง!”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกซาบซึ้งใจกับคำพูดของอีกฝ่ายนัก
หวังชุ่ยเฟินมีจุดจบแบบนี้ มันไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะมาขอโทษหรือไม่ เพราะคำขอโทษของหวังชุ่ยเฟินย่อมไม่จริงใจ
จากนั้นหญิงสาวก็กล่าวว่า “พี่ต้าฮวา ฉันขอบคุณพี่มากนะคะ”
เจี่ยต้าฮวายิ้ม “ขอบคุณอะไรกัน เรื่องเล็กน้อยน่า”
เมื่อเปรียบเทียบกับหวังชุ่ยเฟิน ซึ่งชอบทำตัวเหมือนสูงส่งกว่าคนอื่น เธอกลับชอบเซี่ยชิงหยวนที่ใจดีและเป็นมิตรมากกว่า อย่างน้อยเซี่ยชิงหยวนก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาใส่ร้ายใครและมักจะยิ้มและทักทายเมื่อเห็นเธออยู่เสมอ ทั้งสองคุยกันอีกสองสามคำ จากนั้นเจี่ยต้าฮวาก็เดินกลับบ้านไป
แล้วเซี่ยชิงหยวนก็หันหลังกลับและเข้าไปในครัว
การมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอจะพยายามดูแลคนที่รักให้มากขึ้น ส่วนเรื่องของหวังชุ่ยเฟินกับตู้อวิ๋นเซิง เพียงแค่ทำให้ผู้คนรู้ว่าการกระทำของสองคนนั้นเลวร้ายขนาดไหนก็พอแล้ว
หลังจบมื้อเช้า เซี่ยชิงหยวนก็กลับมาทำความสะอาดบ้าน ก่อนจะเริ่มทำซุปขาหมู
มันต้องใช้เวลาในการทำพอสมควร จนกว่าเนื้อขาหมูจะนุ่มและส่งกลิ่นหอมอร่อยออกมา ซึ่งรสชาติของมันจะแตกต่างกับวิธีการทำด้วยถ่านหินหรือเตาไฟฟ้า
และสิ่งที่เธอซื้อมาในครั้งนี้คือ ขาหมูทั้งชิ้นซึ่งลุงรองจางได้หั่นมาให้ เนื่องจากมันมีเอ็นมากและมีเนื้อน้อย จึงต้องใช้เวลามากขึ้นในการปรุง
เธอเริ่มก่อไฟ จากนั้นก็นำขาหมูไปย่างบนกองไฟเพื่อขจัดกลิ่นคาว เธอเผาขนของมันจนทั่วทุกพื้นผิว จนกระทั่งขาหมูถูกย้อมด้วยสีดำอีกชั้นหนึ่ง
ต่อมาเธอก็เติมน้ำในอ่าง ขูดชั้นสีดำด้วยมีด และหนังหมูสีเหลืองอ่อนที่อยู่ข้างในก็เผยออกมา
ขั้นตอนต่อไปคือล้างและสับเป็นชิ้นใหญ่ ๆ ใส่หม้อ เติมน้ำ หอมหัวใหญ่ และขิง ต้มให้สุก ชะล้างเลือดออกแล้วนำไปตากให้แห้ง
สุดท้ายคือทอดให้เป็นสีน้ำตาล จากนั้นก็ใส่เครื่องปรุงและขาหมูลงไป โรยถั่วลิสงที่แช่ไว้ปิดฝาหม้อ เปลี่ยนเป็นไฟระดับกลางจนถึงไฟอ่อนและเคี่ยวไปเรื่อย ๆ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ทำขาหมูกับถั่วลิสงแสนอร่อยได้แล้ว
นอกจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์แล้วยังมีอาหารมังสวิรัติด้วย
เซี่ยชิงหยวนไปที่สวนหลังบ้าน และพบว่าส่วนใหญ่เป็นต้นหอมที่เพิ่งปลูกใหม่ เช่นเดียวกับแตงและถั่วที่ยังไม่โตเต็มที่
ดูเหมือนเธอจะต้องไปที่ทุ่งนา เพื่อดูว่ามีผักอะไรอีกบ้าง
เธอชำเลืองดูขาหมูในหม้อต้ม และใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าน้ำซุปจะเข้าเนื้อ
หญิงสาวกลัวว่า ผานเยว่กุ้ยจะตามกลิ่นมาและขโมยมันไป เธอจึงหาผ้าเก่า ๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้วชุบน้ำหมาด ๆ พันรอบขอบฝาหม้อ และปิดประตูกับหน้าต่างในครัวอย่างหนาแน่น เท่านี้ก็น่าจะป้องกันไม่ให้กลิ่นหอมฟุ้งออกไปข้างนอกได้
เธออธิบายให้หลินตงซิ่วฟังว่า อย่าให้ครอบครัวของเสิ่นสิงเข้าไปในครัว ก่อนที่หญิงสาวจะออกไป
นอกจากแปลงผักเล็ก ๆ ในสวนหลังบ้านแล้ว ครอบครัวของเธอยังปลูกแปลงผักไว้ริมทุ่งนาด้วย
เมื่อเดินไปที่ริมแปลงผัก เธอก็เผอิญเห็นเสิ่นอี้โจวกำลังเดินออกมาพอดี
เขาถอดเสื้อตัวนอกออก ภายในยังมีเสื้อกล้ามและพาดผ้าเช็ดเหงื่อไว้บนบ่า ส่วนศีรษะสวมหมวกฟางสำหรับทำสวน
เขาเดินมาที่ชายทุ่ง จากนั้นดึงผ้าขึ้นเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผาก
หยดเหงื่อไหลลงมาที่คาง ก่อนจะไหลลงมาตามสันลูกกระเดือกที่นูนเด่นของเขา ผ่านไปถึงกระดูกไหปลาร้าที่เห็นได้ชัด ก่อนลับหายเข้าไปในเสื้อกล้าม
เนื่องจากเหงื่อออกมากและเสื้อกล้ามที่เปียกชื้น จึงทำให้เห็นกล้ามมัดซึ่งเต็มไปด้วยความแข็งแรงดั่งชายชาตรีอยู่จาง ๆ
ก่อนที่เซี่ยชิงหยวนจะมองไปทางอื่น ชายหนุ่มก็เห็นเธอเข้าพอดี
เขาตกใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเรียก “ชิงหยวน”
เซี่ยชิงหยวนเบือนหน้าหนีอย่างไม่เป็นธรรมชาติและตอบว่า “มีอะไรเหรอคะ”
เสิ่นอี้โจวเดินมาตามชายทุ่งนาเข้ามาหาเธอ “จะเที่ยงแล้ว ทำไมคุณถึงออกมาโดยไม่ใส่หมวกแบบนี้”
เขาพูดแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ จากนั้นก็ถอดหมวกที่อยู่บนหัวและสวมให้ผู้เป็นภรรยา
เนื่องจากระยะระหว่างคนทั้งสองค่อนข้างใกล้ เซี่ยชิงหยวนจึงรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ถูกส่งมาจากร่างกายของชายตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ใบหน้าของเธอเห่อร้อน
เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองยังคงโกรธอีกฝ่ายอยู่ หญิงสาวจึงถอดหมวกใบนั้นออกโดยไม่รู้ตัว
“อย่า” เสิ่นอี้โจวยื่นมือมากดลงบนมือของเธอที่ถอดหมวกออกแล้วปล่อยอย่างรวดเร็ว
เขาพูดว่า “ใส่ไว้ดีกว่า ถ้าคุณเป็นลมแดดหรือผิวไหม้จะไม่ดีนัก”
เซี่ยชิงหยวนตอบว่า “ก็ได้”
จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในแปลงผักและเก็บผักต่อ
เมื่อเห็นดวงตาที่ยังบวมของหญิงสาว เสิ่นอี้โจวก็รู้ว่าต้องเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แน่นอน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ส่ายหัว จากนั้นก็เดินไปล้างมือในคูน้ำข้างทุ่งนาแล้วตามเธอเข้าไปอีกครั้ง