กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 3 การหย่าร้าง
บทที่ 3 การหย่าร้าง
บทที่ 3 การหย่าร้าง
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึง “ทําไมคุณถึงขอโทษฉันล่ะ”
เขาเพิ่งจะปกป้องเธอ
เสิ่นอี้โจวมองไกลออกไปทางภูเขาที่สูงตระหง่านและคดเคี้ยว และดวงตาของชายหนุ่มก็ถูกย้อมไปด้วยสีดำ
เขาพ่นลมหายใจออกมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว และมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “มันเป็นเพราะผมเองที่ทำให้คุณต้องประสบกับคําวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้”
“เรื่องเด็กผมอยากจะอธิบายให้คุณฟังว่าเรายังไม่ต้องการเขาในตอนนี้”
“หนึ่งปีมานี้ผมรู้ว่าตัวเองล้มเหลวในเรื่องการดูแลครอบครัวของเรา และละเลยคุณ คุณควรตําหนิผม”
ชายหนุ่มหยุดพูดชั่วครู่ เพราะมันยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “แน่นอนว่า สิ่งที่ผมหวังคือต้องการให้คุณจะมีชีวิตที่ดีกว่าใคร ๆ ”
“แต่ถ้าคุณต้องการเลือกตู้อวิ๋นเซิง ผมก็หวังว่าคุณจะคิดให้ดี ๆ เขาไม่ใช่คนดีอย่างที่คุณคิด”
นัยน์ตาของชายหนุ่มลุกโชน เขาไม่คิดหลบเลี่ยงสายตาของผู้เป็นภรรยา แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับเก็บซ่อนความอดกลั้นและความเจ็บปวดเอาไว้
ตู้อวิ๋นเซิงที่ชายหนุ่มพูดถึงนี้คือ ชายชู้ของเธอในสายตาของทุกคนในชาติที่แล้ว
เซี่ยชิงหยวนต้องการจะอธิบายกับอีกฝ่ายถึงเรื่องนี้ แต่เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน
เธอรู้ว่าเสิ่นอี้โจวเป็นคนมั่นคงและทุ่มเทกับความรักมาโดยตลอด ดังนั้นหลังจากหย่าร้างกับเธอ เขาก็ครองตัวเป็นโสดมายาวนานถึงสิบปี
แม้ว่าคำพูดของเขาจะเถรตรง แต่ก็มักจะนึกถึงเธอก่อนเสมอ
เพราะเขาเป็นคนแบบนี้ เธอจึงไม่อยากปล่อยเขาไป
เดิมที เธอคิดว่าถ้าได้มาเกิดใหม่และย้อนเวลากลับไปก่อนที่เธอจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เธอจะละทิ้งทุกอย่าง และเริ่มต้นใหม่กับเขาเพื่อชดเชยเวลาที่เราทั้งสองคนทำพลาดไป
ทว่าตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็ดูจะต่างไปจากที่เธอคิด
ก็เหมือนคุณเข้าห้องสอบด้วยความมั่นใจ แล้วพบว่าคุณเข้าห้องสอบผิดห้อง
เมื่อคิดได้อย่างนั้น ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็เต็มไปด้วยน้ำตา
เธอคว้าแขนอีกฝ่ายและเงยหน้ามองเขา “ไม่ เขากับฉันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ฉัน…”
“ชิงหยวน!” ในเวลานี้เองก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง ดังขึ้นนอกลานบ้านขัดจังหวะพูดของเซี่ยชิงหยวน
ผู้มาใหม่มีรูปร่างสมส่วน อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อน และผิวของเธอเป็นสีแทนออกเหลือง ซึ่งเป็นสีผิวปกติของผู้หญิงส่วนใหญ่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้
ริมฝีปากหนาเล็กน้อยและจมูกทรงกลมทําให้หญิงสาวดูเป็นคนซื่อตรงและไว้ใจได้ แต่ความรู้สึกของอีกฝ่ายในตอนนี้กลับถูกส่งผ่านมายังดวงตาที่เปล่งประกาย
หญิงสาวคนนี้คือเพื่อนที่ดีของเซี่ยชิงหยวนตั้งแต่วัยเด็กจนโตในชาติที่แล้ว หวังชุ่ยเฟินซึ่งแต่งงานเข้ามาในหมู่บ้านซีสุ่ยก่อนหน้าเธอ
เมื่อย้อนนึกถึงอดีตทั้งหมด ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เธอยังไม่ทันได้ไปหาเพื่อชำระความ อีกฝ่ายก็มาหาเธอถึงหน้าประตูเสียแล้ว!
หญิงสาวปล่อยเสิ่นอี้โจว และพบกับหวังชุ่ยเฟินที่เดินเข้ามาอย่างถือวิสาสะ หญิงสาวกัดฟันและพูดตอบออกไปว่า “อืม”
หวังชุ่ยเฟินยิ้มให้เซี่ยชิงหยวนและจับมืออีกฝ่าย “ฉันเห็นว่าประตูหน้าลานบ้านเปิดอยู่ ฉันจึงถือวิสาสะเข้ามา”
ถึงจะพูดกับอีกคน แต่สายตาและรอยยิ้มกลับถูกส่งไปให้ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง “อี้โจว กลับมาแล้ว”
เสิ่นอี้โจวไม่แยแสอีกฝ่าย ชายหนุ่มพยักหน้าและพูดกับผู้เป็นภรรยา “คุณคุยกับเธอไปก่อน ผมจะไปผ่าฟืนเดี๋ยวกลับมา”
จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินออกไปนอกประตูหน้าลานบ้าน พร้อมถือเครื่องมือไว้ในมือ
หวังชุ่ยเฟินรู้ว่าเสิ่นอี้โจวมักจะดูเย็นชาแบบนี้เสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าอีกฝ่ายบอกกล่าวกับเซี่ยชิงหยวนก่อนจะจากไปแบบนี้
หญิงสาวรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอถูกบีบรัดแน่นขึ้น
ส่วนการสัมผัสมืออย่างใกล้ชิดของหญิงสาวตรงหน้า เซี่ยชิงหยวนใช้ความพยายามอย่างมากที่จะดึงมือออกมาด้วยความใจเย็น และพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เธอมีอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่า”
หวังชุ่ยเฟินพยายามปกปิดความผิดหวังบนใบหน้าของเธออย่างเต็มที่ ทว่าอีกฝ่ายเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว
เซี่ยชิงหยวนคร่ำครวญอยู่ในใจว่า ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำไมเธอถึงไม่สังเกตเห็นพฤติกรรมของหญิงสาวตรงหน้าเลย ทั้งยังทุ่มเทกายใจให้กับอีกฝ่าย
หลังจากออกจากหมู่บ้านซีสุ่ย เธอได้ฟังผู้เป็นแม่พูดถึงหวังชุ่ยเฟินว่า อีกฝ่ายกำลังพยายามเข้าหาเสิ่นอี้โจว เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เข้าใจได้ในทันทีว่า หวังชุ่ยเฟินมีความคิดสกปรกกับชายหนุ่มผู้เป็นอดีตสามีของเธอในตอนนั้น
เธอไม่แปลกใจเลยที่หญิงสาวตรงหน้าจะพยายามอย่างมาก เพื่อแยกเธอออกจากเสิ่นอี้โจวตั้งแต่แรก
เธอโง่เองที่เข้าใจผิดว่าจิ้งจอกเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์
เมื่อได้กลับมีชีวิตใหม่อีกครั้ง เธอจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้สมปรารถนาอย่างแน่นอน!
หวังชุ่ยเฟินก้มมองฝ่ามือที่ว่างเปล่า หลังจากผู้เป็นเพื่อนงัดมือของเธอออก แต่เธอกลับคิดเพียงว่า อีกฝ่ายคงแค่กำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างเช่นเมื่อก่อน เธอจึงพูดออกไปว่า “ฉันเพิ่งกลับมาถึง แล้วได้ยินเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ ฉันเลยอยากมาดูเธอสักหน่อย”
แต่ภายในใจของหญิงสาวกลับรู้สึกเสียดายที่กลับมาไม่ทันเห็นฉากที่ผานเยว่กุ่ยด่าเซี่ยชิงหยวน
เมื่อเซี่ยชิงหยวนมองไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของอีกฝ่าย เธอก็อยากจะกระโจนใส่มันและฉีกกระชากใบหน้าจอมปลอมนั่นเป็นชิ้น!
เธอลดสายตาลง “เข้าไปข้างในกันเถอะ”
พูดจบ หญิงสาวก็เดินนําหน้าอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน
หวังชุ่ยเฟินที่ยืนอยู่ข้างหลัง ริมฝีปากยกโค้งขึ้นก่อนจะเดินตามไป
ทันทีที่ผู้เป็นแขกนั่งลง เธอก็พูดขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันหย่าใช่ไหม เสิ่นอี้โจวตกลงหย่าไหม?”
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังหวังชุ่ยเฟินที่กําลังจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ หญิงสาวเยาะเย้ยในใจ และแสร้งทําเป็นพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ “ฉันไม่ต้องการหย่ากับเขาแล้ว”
“เธอทำแบบนั้นไม่ได้!?” ทันทีที่หวังชุ่ยเฟินได้ยินประโยคนั้นของเซี่ยชิงหยวน เธอก็ยืนขึ้นอย่างกระวนกระวายใจ
เมื่อตระหนักได้ว่าตนแสดงออกชัดเจนมากเกินไป เธอก็นั่งลงอีกครั้ง
จับมืออีกฝ่ายและพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ชินหยวน ทำไมเธอถึงโง่แบบนี้!”
“เสิ่นอี้โจว ชายคนนั้นไม่ได้อยู่บ้านทั้งวันเพราะงานเส็งเคร็งนั่น เขาปล่อยเธอไว้ตามลำพังในห้องที่ว่างเปล่า นี่ไม่เรียกว่าเป็นการดูถูกเธอเหรอ?”
“อีกอย่าง ครอบครัวใหญ่ของลุงเขาก็ทำแต่เรื่องแย่ ๆ ทั้งวัน”
ขณะที่พูดนั้น อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาหาหญิงสาวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ถ้าเธอไม่หย่า ตู้อวิ๋นเซิงจะทำยังไง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ความเกลียดชังในดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
หากไม่ใช่เพราะผู้หญิงตรงหน้ากับตู้อวิ๋นเซิงร่วมมือกัน จงใจล่อลวงให้เธอไปพบกับชายหนุ่ม เธอก็จะไม่ถูกจับได้จนนําไปสู่การหย่าร้างของเธอกับเสิ่นอี้โจว
ตู้อวิ๋นเซิงเจ้าคนเห็นแก่ตัวนั่น กล่าวหาว่าเธอยั่วยวนจนเขาหลงผิด
และหวังชุ่ยเฟินผู้เป็นตัวต้นคิดและเฝ้าต้นทาง กลับกลายเป็นทูตแห่งความยุติธรรมเพื่อกล่าวโทษเธอ โดยแสร้งบอกว่าตนเองพยายามห้ามเซี่ยชิงหยวนแล้วแต่อีกฝ่ายไม่ฟัง
วินาทีนั้น เซี่ยชิงหยวนยังไม่ทันรู้ตัวว่าเธอโง่มากแค่ไหน
ทว่าหนึ่งก้าวที่ผิดพลาดไม่เพียงทำให้ชายหนุ่มเสียชีวิตในต่างแดน แต่เสิ่นอี้โจวยังเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มอีกด้วย
เซี่ยชิงหยวนลูบแขนเสื้อของอีกฝ่ายก่อนพูดว่า “ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ในอนาคตอย่าพูดคําพูดพวกนี้อีก”
“แล้วเธอที่เป็นแบบนี้ หากคนอื่นไม่รู้ พวกเขาจะคิดว่าเธอมีอะไรอยู่ในใจ”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ความสัมพันธ์ของเธอกับตู้อวิ๋นเซิงมีแต่ความคลุมเครือเท่านั้น และข่าวลือทั้งหมดก็มาจากปากของหวังชุ่ยเฟินผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเธอนี่เอง
คําพูดของเซี่ยชิงหยวนทําให้หวังชุ่ยเฟินตกใจจนเหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาที่แผ่นหลัง
อีกฝ่ายดูสงบนิ่งมากเสียจนทำให้เธอรู้สึกแปลกพิกล
ดูจากปฏิกิริยาของเซี่ยชิงหยวนแล้ว หรือว่าจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง?
หากเป็นเรื่องหยอกล้อระหว่างเธอกับตู้อวิ๋นเซิงในอดีต แม้จะบอกไม่ได้เต็มปากว่ากระตือรือร้นเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้มีท่าทีเฉยเมยขนาดนี้
ภายในระยะเวลาแค่นี้ ท่าทีของเซี่ยชิงหยวนดูจะผิดปกติเกินไป
หวังชุ่ยเฟินมองหน้าของฝ่ายตรงข้าม เพื่อพยายามค้นหาอะไรบางอย่างจากท่าทีของนาง
เธอไม่คาดคิดว่าแค่การขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็สามารถแสดงออกว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจได้
เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากขมวดคิ้วแสร้งทำเป็นรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของอีกฝ่าย “ฉันรู้ว่าเธอกําลังคิดว่าฉันไม่จริงใจกับเธอ”
“ในฐานะน้องสาว ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจที่เธอจะต้องเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว และอดสงสารเธอไม่ได้”
“ครอบครัวของตู้อวิ๋นเซิงมาจากเมืองหลวง และมันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น เขาต้องกลับไปเมืองหลวงแน่นอน”
“ถ้าตามเขาไป เธอก็จะกลายเป็นคนเมืองด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ว่ายังไงการไปกับเขาก็ดีกว่าเธออยู่ที่นี่”
สิ่งที่อีกฝ่ายพูดเกือบจะทำให้ชิงหยวนประทับใจ หญิงสาวฟังอย่างตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตอบรับคำของอีกฝ่าย
เมื่อรู้ตัวว่าเธอไม่ควรรีบร้อนเกินไปนัก หวังชุ่ยเฟินจึงยืนขึ้นและกล่าวว่า “ฉันต้องกลับไปทําอาหารแล้ว เธอค่อย ๆ คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เถอะ เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้ว และสิ่งที่ฉันพูดมาทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ของเธอเอง”
พูดจบหญิงสาวก็เดินออกนอกประตูไป
เมื่อมองที่แผ่นหลังซึ่งกำลังจะจากไปของหวังชุ่ยเฟิน ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็แข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ
“หวังชุ่ยเฟิน สิ่งที่เธอกับตู้อวิ๋นเซิงเป็นหนี้ฉัน ฉันจะเรียกคืนทีละน้อย!”
—————————