กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 30 พวกเขาไม่ปกติ
บทที่ 30 พวกเขาไม่ปกติ
บทที่ 30 พวกเขาไม่ปกติ
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังแหล่งที่มาของเสียงโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเธอเห็นเสิ่นอี้โจวยืนอยู่นอกฝูงชนและเขาก็กำลังมองมาทางเธอด้วยท่าทางที่สงบ
เมื่อเห็นว่าเสิ่นอี้โจวกลับมาแล้ว ทุกคนก็หลีกทางให้ชายหนุ่ม
เขาเดินเข้ามาและหยุดลงที่ข้างกายของหญิงสาวแล้วพูดกับเลขาธิการพรรคต่อไปว่า “คุณเลขาธิการ ชิงหยวนเป็นคนมีการศึกษาและรู้กาลเทศะเสมอ ผมเชื่อว่าต้องมีเหตุผลที่เธอทำแบบนี้แน่”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าเซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่ว ราวกับกำลังใช้ร่างสูงของเขาค้ำยันท้องฟ้าให้พวกเธอ
ทุกคนไม่คาดคิดว่าเสิ่นอี้โจวจะสนับสนุนผู้เป็นภรรยาอย่างไม่มีเงื่อนไขโดยยังไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับการปกป้องเซี่ยชิงหยวนของชายหนุ่ม แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ผู้หญิงบางคนอิจฉาตาร้อนมากขึ้นไปอีก
ในยุคนี้มีครอบครัวไหนที่ผู้ชายไม่ใช่ผู้นำครอบครัวบ้างเล่า? และในปีนี้ก็เพิ่งให้ผู้หญิงมีสิทธิ์ในการร่วมรับประทานอาหารกับผู้ชาย
ดังนั้นการที่ผู้หญิงจะมีสิทธิ์มีเสียงอยู่นอกบ้านได้ ก็ต่อเมื่อได้รับสิทธิ์นั้นจากผู้ชายเท่านั้น!
ทว่าคำพูดเหล่านี้กลับแสลงหูของเสิ่นสิงมากเหลือเกิน
จากนั้นเขาก็เบนมองไปทางเสิ่นอี้โจวและยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า แต่ดวงตากลับเริ่มมืดมน “อี้โจว สิ่งที่หลานพูดออกมาเหมือนกับว่าพวกเราไปรังแกภรรยาของหลานเลยไม่ใช่รึ?”
ทว่าเมื่อเผชิญกับการจ้องมองของผู้เป็นลุง ชายหนุ่มก็ไม่แสดงท่าทีถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองออกไป
“คุณลุงครับ การที่เราจะผิดหรือถูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดแค่ไม่กี่คำ แต่ความยุติธรรมเกิดขึ้นจากใจของคน ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ยังไงก็ต้องมีคนวิจารณ์ แน่นอนว่าหากมีคนใดคนหนึ่งในครอบครัวผิดจริง ผมก็ไม่คิดจะเข้าข้างหรอกครับ”
เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาหลังจากได้ยินประโยคนี้
แม้จะไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง แต่ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นกลับแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าตนเองอยู่ข้างเดียวกับเซี่ยชิงหยวน
เขามองไปที่เซี่ยชิงหยวนผู้มักจะอ่อนโยนและอ่อนแอเสมอ แต่ตอนนี้เธอดูแน่วแน่ไม่ยอมลดละ คิ้วของเขาขมวดชั่วขณะหนึ่งแล้วคลายออก
ช่างเถอะ เขาจะช่วยอี้โจวอีกสักครั้งเพื่อเห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่ของพวกตน
ใบหน้าของเสิ่นสิงในเวลานี้มืดมนเสียจนไม่สามารถมืดมากไปกว่านี้ได้อีก แต่เขาก็เคยชินกับการเสแสร้งเป็นคนดีไปแล้ว ดังนั้นการเผยอารมณ์ออกมาทั้งหมดในตอนนี้ มันจะเป็นการฉีกหน้าและทำลายภาพลักษณ์ที่เขาสร้างมาตลอดหลายปีลง
เขาจึงทำได้เพียงส่งสายตาขุ่นเคืองไปยังสวีไหลตี้ เนื่องจากไม่พอใจที่อีกฝ่ายก่อเรื่องเพียงเพราะขาหมูชามเดียว
ผู้เป็นลูกสะใภ้หวาดกลัวเมื่อสบกับตาคู่นั้น เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเซี่ยชิงหยวนจะทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตขนาดนี้?
การแลกเปลี่ยนทางสายตาระหว่างคนทั้งสองอยู่ในสายตาของเลขาธิการหนุ่มตลอดเวลา จากนั้นเขาก็กระแอมไอขึ้นขัดและพูดว่า “ในเมื่อชิงหยวนเชิญผมมาแล้ว งั้นผมจะเริ่มทำหน้าที่เลยก็แล้วกัน”
จากนั้นเขาก็ผายมือออกและถามว่า “ชิงหยวน บอกผมมาสิว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น”
ให้เธอพูดก่อนหมายความว่าให้สิทธิ์เธอก่อนอย่างนั้นเหรอ?
เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้นและเล่าเรื่องทั้งหมดตอนกลับมาถึงบ้านโดยไม่เกรงใจอะไรทั้งนั้น ทั้งยังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่ครอบครัวของเสิ่นสิงเอาเปรียบครอบครัวของเสิ่นอี้โจวมาตลอดหลายปีเข้าไปด้วย
ผู้คนทั้งหลายที่ได้ยินเรื่องราวล้วนแสดงอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง จากนั้นทุกคนก็มองไปที่ครอบครัวของเสิ่นสิงด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
สีหน้าของเลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านก็ดูไม่ค่อยดีเช่นกัน เขาหันไปมองเสิ่นสิงและพูดว่า “คุณเสิ่นสิง สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงใช่ไหมครับ”
“คุณเลขาธิการ ชิงหยวนคงกำลังสับสน ดังนั้นคำพูดของเธอจึงค่อนข้างรุนแรงเกินไปสักหน่อย เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวของผมดูแลพวกเขามานานแล้ว เราจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง”
เมื่อได้ยินคำแก้ตัวของอีกฝ่าย หญิงสาวก็อดเย้ยหยันออกมาไม่ได้ว่า “คุณลุง คุณต้องการให้ฉันอธิบายเพิ่มเติมอีกไหมคะว่าฉันสับสนหรือคุณกำลังแสร้งทำกันแน่!”
เธอดึงเสิ่นอี้หลินมาที่อยู่ด้านข้างมาและแสดงบาดแผลของเด็กชายให้ทุกคนเห็น “ทุกคนโปรดดูที่ใบหน้าของอี้หลินในตอนนี้ บาดแผลนี้เกิดจากการที่เสิ่นจวินต้องการแย่งขวดน้ำของเขาและรอยตบใหญ่นี้ก็เกิดขึ้นเพราะเขาพยายามป้องกันไม่ให้สวีไหลตี้หยิบชามขาหมูไป”
เด็กชายร้องไห้ออกมาทันที “ฮือ” เพื่อร่วมมือกับพี่สะใภ้ เขาลุกขึ้นร้องไห้และพูดว่า “เธอยังบอกด้วยว่า สิ่งที่เป็นของครอบครัวผมจะเป็นของพวกเขาทั้งหมด และสามารถนำสิ่งใดที่ต้องการไปก็ได้ พอพี่ชายกับพี่สะใภ้ของผมหย่ากัน แม้แต่เงินเดือนของพี่ชายก็จะถูกมอบให้กับครอบครัวใหญ่ทั้งหมด”
อันที่จริง สวีไหลตี้ยังพูดเขาว่าเป็นตัวซวยที่เกิดมาแล้วทำให้พ่อของตัวเองตายด้วย!
แต่เขาไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไปหรอก
เพราะถ้าพูดออกไป คุณแม่จะต้องเสียใจมากแน่
ตู้ม! เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ฝูงชนก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เสิ่นสิงอย่างเย็นชา “คุณคิดว่าเด็กอายุหกขวบกล้าโกหกและใส่ร้ายครอบครัวของคุณลุงหรือเปล่าล่ะคะ?”
เสิ่นสิงมองไปทางสวีไหลตี้ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “แกพูดอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ?”
สวีไหลตี้ไม่คาดคิดว่าเสิ่นสิงจะชี้นิ้วมาหาตัวเอง แต่หญิงสาวก็เข้าใจว่าเขากำลังจะเสียสละสะใภ้อย่างเธอเพื่อช่วยทั้งครอบครัว หลังจากคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งเธอก็กัดฟันและพูดว่า “ใช่ หนูเป็นคนพูดเอง”
จากนั้นเธอมองไปที่เซี่ยชิงหยวนด้วยน้ำตาคลอเบ้า “น้องสะใภ้ ฉันคิดตื้น ๆ ไปเอง เพราะรู้สึกอดไม่ได้พอเห็นพวกเธอได้กินขาหมูชิ้นใหญ่ขนาดนั้น และคิดว่าพวกเธอคงกินกันไม่หมด ก็เลยจะขอแบ่งกลับไปให้คุณพ่อกับคุณแม่บ้าง ถ้าพูดอะไรงี่เง่าออกไป เธอก็อย่าถือสาเลยนะ”
สวีไหลตี้ยอมรับความผิดพลาดของเธออย่างกะทันหันและแสดงท่าทีเป็นลูกสะใภ้แสนดีที่ต้องการให้เกียรติพ่อแม่สามีของเธอ ดังนั้นเธอจึงทำเรื่องโง่ ๆ ลงไป แต่เซี่ยชิงหยวนไม่ได้หลงกลอีกฝ่ายและกล่าวต่อว่า “ตามที่เธอพูด ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของเธอคนเดียว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับใครในครอบครัวของคุณลุงใช่ไหม?”
สวีไหลตี้พยักหน้า “ใช่ มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันผิดเอง”
“ฮ่า ๆ” เซี่ยชิงหยวนเยาะเย้ย “แต่เมื่อกี้เสิ่นจวินพูดอย่างชัดเจนแล้วว่า ครอบครัวเธอบอกว่า สิ่งที่อยู่ในบ้านของฉันเป็นเหมือนของของครอบครัวเธอ ถ้าต้องการอะไรก็สามารถหยิบไปได้เลย ในตอนนั้นเขาไม่ได้พูดแค่ว่า ‘เธอ’ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านอกจากเธอแล้ว แม้แต่ลุงกับป้าก็มักจะปลูกฝังความคิดแบบนี้ให้แก่เด็กและทำตัวแบบนั้นต่อหน้าเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ยังไง และไหนจะคว้าสิ่งของจากอี้หลินไปได้ตามใจชอบอีก?”
หลังจากได้ยินคำพูดของหญิงสาว ทุกคนก็เริ่มคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
ครอบครัวเสิ่นสิงนี้เป็นโจรอย่างแท้จริง! แม้แต่เด็ก ๆ ก็ยังได้รับการสอนแบบนี้!
เสิ่นสิงยังคงรักษาใบหน้าเปื้อนยิ้มเอาไว้ และไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้ แต่เขาก็ยังพูดด้วยใบหน้าที่สดใสว่า “ชิงหยวน เธออาจจะกินตามอำเภอใจได้ แต่ห้ามพูดตามอำเภอใจแบบนี้!”
จากนั้นเขาเบนสายตาไปทางเสิ่นอี้โจวที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง “อี้โจว แกคิดว่านี่คือสิ่งที่สะใภ้ควรทำหรือ ถ้าแกไม่คิดจะสืบทอดตระกูลเสิ่นของเราก็ไม่เป็นไร แต่แกกลับใส่ร้ายชื่อเสียงของบ้านเราแบบนี้ ถ้าปู่ของแกยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องโกรธแกมากอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของอีกฝ่าย เสิ่นอี้โจวก็เริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ถมึงทึงขณะมองไปยังผู้เป็นลุง “คุณลุง สิ่งที่คุณพูดมานั้นไม่ถูกต้อง เรื่องแรกชิงหยวนเป็นคนดีมาก เธอเป็นสะใภ้ที่ผมเต็มใจแต่งงาน และตราบใดที่เธอมีความสุข แม้ว่าเธอจะไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร แล้วเรื่องลูกมันเป็นความรับผิดชอบของทั้งสามีและภรรยา ผมหวังว่าจะไม่มีใครยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดอีก เรื่องที่สองคือ คุณปู่เป็นคนเลือกชิงหยวนด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจะโกรธได้ยังไง เขากลับชอบนิสัยของเธอด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ว่าจะทำให้ชื่อเสียงแปดเปื้อนหรือข้อเท็จจริง เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดไม่ว่าใครก็ตัดสินได้”
หลังจากฟังคำพูดของชายหนุ่มแล้ว เสิ่นสิงก็พูดไม่ออกไปเป็นเวลานาน
จากนั้นเขาชี้ไปที่เสิ่นอี้โจวด้วยนิ้วอันสั่นเทา “แก… แก…”
ไม่ถูกต้อง!
เซี่ยชิงหยวนนั้นไม่ปกติ แม้แต่เสิ่นอี้โจวก็ผิดปกติเช่นกัน
ทั้งสองคนนี้กล้าพูดแบบนี้กับลุงอย่างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!