กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 31 บันทึกของชายชรา
บทที่ 31 บันทึกของชายชรา
บทที่ 31 บันทึกของชายชรา
เมื่อเห็นว่าเสิ่นสิงกำลังจะรับมือไม่ไหว ผานเยว่กุ้ยก็แสดงทักษะที่ตัวเองถนัดออกมาทันที เธอตบต้นขาด้วยมือทั้งสองข้างอย่างแรง ก่อนจะตะโกนก้องออกมาว่า “มโนธรรมแห่งสวรรค์และโลก! ตอนที่น้องรองจากไปก่อนเวลาอันควร ด้วยความสงสารของสามีฉัน เราจึงคอยดูแลพวกเด็กกำพร้าและหญิงม่ายคนนี้มาอย่างดี ทั้งยังยืนหยัดที่จะไม่แยกครอบครัว ในตอนนั้นครอบครัวของเราขัดสนเป็นอย่างมาก แต่เราก็ยังคงปันส่วนของเราให้พวกแกจนอี้เถาต้องผอมแห้งลงไปมาก”
“การจะเลี้ยงพวกแกสองพี่น้องให้เติบใหญ่เป็นเรื่องยากมากเลยนะ แต่ตอนนี้เพราะผู้หญิงคนนี้คนเดียวพวกแกกลับไม่มีแม้แต่มโนธรรมแล้ว!”
จากนั้นเธอก็มองไปรอบ ๆ ด้วยตาเล็กหรี่ราวกับกำลังหาบางสิ่ง จากนั้นก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง “ไม่นึกเลยว่าหลังจากมีชีวิตอยู่จนถึงอายุปูนนี้ กลับถูกหลานรักใส่ร้าย ฉันอยากจะตายจริง ๆ!”
ขณะพูด ผานเยว่กุ้ยก็เอาศีรษะกระแทกกับกำแพงห้องครัวดังโครม
เมื่อเห็นดังนั้น เสิ่นสิงก็กระทืบเท้าเสียงดัง “ถ้ารู้ว่าหลานของฉันจะใจร้ายขนาดนี้ ฉันไม่น่าเสียแรงคอยเลี้ยงดูเลย!”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและวิ่งไปทางห้องครัวเช่นกัน “ฉันก็อยากตายเหมือนกัน ดีกว่าถูกเหยียดหยามชั่วชีวิต!”
เมื่อเห็นดังนั้น เสิ่นอี้เทากับสวีไหลตี้ก็อุทานว่า “พ่อ แม่ อย่าคิดสั้นแบบนั้น!”
เมื่อเห็นพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงของครอบครัวเสิ่นสิง ใบหน้าของเลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านพลันเคร่งเครียดขึ้นมาในทันใด เขาตะโกนออกไป “รีบเอาตัวพวกเขาออกมาเร็วเข้า! อย่าให้พวกเขาทำตัวไร้สาระไปมากกว่านี้!”
หลังจากคำสั่งนั้นดังขึ้น เหล่าชาวบ้านที่ตกตะลึงก็รีบเดินไปรั้งตัวเสิ่นสิงกับผานเยว่กุ้ยกลับมา
อย่างไรก็ตาม เสิ่นอี้เทาได้ฉวยโอกาสนี้ตำหนิเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนว่า “ทำไมพวกแกสองคนถึงยังไม่รีบขอโทษพ่อแม่ของฉันอีก!? พวกแกอยากเห็นพ่อแม่ของฉันตายจริง ๆ หรือไง!?”
เมื่อเห็นการกระทำของครอบครัวนี้แล้ว หญิงสาวขยาดเหลือเกิน ราวกับเผลอกลืนแมลงลงท้องไป
เธอมองไปทางเสิ่นอี้โจวแล้วจึงพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นสงบนิ่งมาก
เธอไม่แน่ใจเรื่องความคิดของเขามาสักระยะหนึ่งแล้วว่า ชายหนุ่มต้องการแก้ไขปัญหานี้ทันที หรืออดกลั้นและปล่อยผ่านมันไปเหมือนครั้งก่อน ๆ?
หลินตงซิ่วมองจากด้านข้างพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาจากดวงตาของเธอก่อนจะเกลี้ยกล่อมคนของตัวเองว่า “อี้โจว ชิงหยวน ไปสารภาพผิดกับลุงและป้าเถอะ”
ในมุมมองของเธอ ตราบใดที่คนทั้งสองยอมรับความผิด ทุกคนก็จะสามารถกลับไปสู่ภาพมายาที่ทำเหมือนว่าทั้งสองครอบครัวยังคงกลมกลืนกันได้อยู่
แต่เธอไม่คาดคิดว่า ก่อนที่เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวจะตอบ เสิ่นอี้หลินก็เป็นคนแรกที่ตะโกนออกมาว่า “เราไม่อยากขอโทษ!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ด้วยแววตาซับซ้อน “แม่มักจะบอกให้ผมยอมพวกเขาอยู่เสมอตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ไม่ว่าคนพวกนั้นจะหยิบฉวยอะไรไป แม่ก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เต็มใจและหลบเข้าไปร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียว แม่จะบอกว่าไม่เป็นอะไรได้ยังไง”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เสิ่นสิง “พวกมันไม่ใช่ญาติเราสักเรา แต่เป็นแมลงโสโครก! หากคิดจะสูบเลือดสูบเนื้อพวกเราแล้วยังไม่พอใจละก็ ผมจะไม่ยอมแล้วจริง ๆ ไม่เอา!”
พอสิ้นคำพูด เด็กน้อยก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความเวทนา เมื่อเทียบกับโทสะและความเสียใจก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันคล้ายความคับแค้นใจที่เกิดจากการที่เด็กชายไม่ได้รับความเข้าใจและการปลอบโยนมาตลอดหลายปีมากกว่า
จิตใจอันเยาว์วัยของอี้หลินกำลังต่อต้าน เพื่อยุติความเจ็บแค้นในวันวานที่ผ่านมา แต่เขาไม่อาจทำได้เนื่องจากตนนั้นยังเด็กเกินไป ดังนั้นเขาจึงเกลียดความอ่อนแอของตัวเองมาตลอด
ต่อมาเมื่อพี่ชายของเขาแต่งงานกับเซี่ยชิงหยวน เขาก็หวังว่าพี่สะใภ้จะเป็นคนเข้มแข็ง แม้ว่าชีวิตจะวุ่นวายกว่าเดิม แต่อย่างน้อยเขากับแม่ก็น่าจะถูกครอบครัวของเสิ่นสิงกดขี่น้อยลง
แต่ใครจะคิดเล่าว่า หญิงสาวคนนี้ก็มีนิสัยอ่อนแอไม่ต่างกับคุณแม่ของเขา ทัดทานอีกฝ่ายไม่กี่คำ เธอก็ยอมล่าถอยและแอบไปร้องไห้คนเดียวเช่นกัน
ทว่าในที่สุดหลายวันที่ผ่านมานี้ เซี่ยชิงหยวนก็กลายเป็นอย่างที่เขาหวังไว้ เธอเผชิญหน้ากับทุกคนอย่างกล้าหาญ
เมื่อได้ยินคำพูดของเสิ่นอี้หลิน หลินตงซิ่วก็ตกใจเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้ ลูกชายคนโตมีความกตัญญูและพึ่งพาได้ ส่วนลูกชายคนเล็กมีนิสัยตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เด็กชายชอบเที่ยวสนุกไปวัน ๆ เท่านั้น เธอจึงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแท้จริงแล้วหัวใจของเขาจะเป็นแบบนี้
ความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวงถาโถมเข้าใส่จนเธอรู้สึกอึดอัด
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะกลายเป็นสีแดงเรื่อ เธอเอื้อมมือไปดึงเสิ่นอี้หลินมาไว้ในอ้อมแขนและลูบหลังเขาเบา ๆ “อี้หลิน อย่าร้องไห้เลย เมื่ออยู่กับพี่สะใภ้คนนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น มันจะไม่มีใครทำอะไรนายได้อีกต่อไปแล้ว”
มือทั้งสองข้างที่ห้อยอยู่ข้างตัวของเสิ่นอี้โจวค่อย ๆ กำเข้าหากันแน่น เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ชิงหยวน ไปหยิบซองหนังสีเหลืองในชั้นกลางของกระเป๋าเดินทางของผมออกมาที”
“ได้!” หญิงสาวระงับความยินดีในใจเอาไว้และตอบรับทันที
เมื่อชาติที่แล้ว เธอบังเอิญเจอซองหนังสีเหลืองนี้ที่ชายหนุ่มซ่อนไว้ ซึ่งข้างในมีบันทึกการกระทำอันชั่วร้ายทั้งหมดของครอบครัวเสิ่นสิงที่พ่อเฒ่าเสิ่นได้บันทึกไว้
แล้วก็เป็นไปตามที่คาด เสิ่นอี้โจวดำเนินการตามความคาดหวังของเธอและมาถึงขั้นตอนนี้จนได้
เซี่ยชิงหยวนเข้าไปในห้อง เจอซองหนังสีเหลืองที่เสิ่นอี้โจวพูดถึงในกระเป๋าเดินทางของเขา เธอจึงรีบหยิบมันออกมาแล้วส่งให้ผู้เป็นสามี
ซองหนังสีเหลืองดูเก่ามาก มุมทั้งสี่ขาดวิ่น ข้างในมีปึกกระดาษหนาแนบไว้อยู่และไม่มีใครรู้ว่ามันบันทึกอะไรไว้บ้าง
เสิ่นอี้โจวเปิดซองสีเหลืองออกมา จากนั้นก็ส่งให้เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านและพูดว่า “ข้างในมีบันทึกค่าใช้จ่ายบางอย่างของครอบครัวเสิ่นที่คุณปู่ให้ผมเก็บไว้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต”
เมื่อเสิ่นสิงได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงลางร้ายที่คืบคลานเข้ามา จากนั้นผู้เป็นลุงจึงพยายามเกลี้ยกล่อมหลานชายของตน “หลานรักนี่มันอะไรกัน มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเรา ทำไมจู่ ๆ เอาของของคุณปู่ออกมาแสดงให้ทุกคนดูแบบนี้?”
ชายหนุ่มปรายตามองอีกฝ่าย มุมปากปรากฏเค้าความเหยียดหยัน “หรือคุณลุงกำลังคิดว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคุณ?”
เพียงพูดไม่กี่คำ ใบหน้าของเสิ่นสิงก็แดงขึ้นจากอาการสำลัก เขาสะบัดแขนเสื้อพร้อมกับข่มขู่อีกฝ่ายเพื่อตอบโต้เป็นครั้งสุดท้าย “ฉันบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว ฉันไม่กลัวข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงที่แกสร้างขึ้นมาหรอก!”
เลขาธิการพรรคมองออกว่าครอบครัวของเสิ่นสิงพยายามก่อกวน จึงเอ่ยปรามไปว่า “อย่าตะโกน ผมจะตัดสินทุกอย่างเองหลังจากที่อ่านมันแล้ว!”
เขาหยิบปึกกระดาษในซองออกมา อย่างแรกเป็นสมุดบัญชีเล่มเล็กที่ไม่มีปก ซึ่งดูเหมือนจะใช้สำหรับทำรายการบัญชีอย่างง่าย
เสิ่นอี้โจวอธิบายจากด้านข้าง “นั่นคือบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวที่คุณปู่บันทึกไว้ตั้งแต่พ่อของผมเสียชีวิต”
เซี่ยชิงหยวนจึงใช้โอกาสนี้พูดขึ้นมาว่า “คุณเลขาธิการ เรายังไม่เคยได้อ่านมันเลย ทำไมคุณไม่อ่านให้ทุกคนฟังด้วยกันทั้งหมดเลยล่ะคะ?”
ขณะที่พูด เธอก็เห็นร่างกายของเสิ่นสิงสั่นเทา จนอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอยู่ในใจ
สิ่งที่พวกเขาเป็นหนี้ครอบครัวของหลินตงซิ่วมันจะจบลงในวันนี้
แล้วเลขาหนุ่มจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหญิงสาวกำลังวางแผนอะไรอยู่? เพียงแต่เขาไม่ได้ปฏิเสธแล้วขานรับว่า “ได้”
แม้จะบอกว่ามันเป็นสมุดบัญชีก็จริง แต่ภายในนั้นก็ได้บันทึกข้อความอย่างอื่นเอาไว้เช่นกัน และผู้เขียนก็คือพ่อเฒ่าเสิ่น
บันทึกเริ่มต้นในปี 1976
พ่อเฒ่าเสิ่นหรือเสิ่นหมิงเซียวได้บันทึกความเจ็บปวดที่เกิดจากการตายของลูกชายคนเล็กในปี 1976 และเสิ่นสิงก็ฉวยโอกาสนี้แยกครอบครัวออกไป ทั้งยังหากินบนความลำบากของเด็กกำพร้าสองคนกับแม่ม่ายอย่างหลินตงซิ่ว
ในเวลานั้นเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้หญิงที่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคนด้วยตัวคนเดียว และหลินตงซิ่วก็มีนิสัยอ่อนแอ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจและยืนกรานที่จะไม่แยกครอบครัว แม้ว่าครอบครัวของเสิ่นสิงจะคัดค้านก็ตาม
ในเวลาเดียวกัน เขายังได้สัญญาว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของหลินตงซิ่วและคนอื่น ๆ จะใช้เงินออมของเขาทั้งหมด โดยเลี้ยงดูเสิ่นอี้โจวจนกระทั่งเขาเติบโตขึ้น
เสิ่นหมิงเซียวเป็นคนมีการศึกษาเช่นเดียวกับคุณปู่ของเซี่ยชิงหยวน เขาในตอนนั้นได้ตอบรับคำร้องขอของทางการ จึงพาลูกชายไปยังพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างในแผ่นดินแม่ ดังนั้นเขาจึงยังคงได้รับเบี้ยเลี้ยงที่ทางการออกให้ทุกเดือน
แม้จำนวนจะไม่มากมายนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดของหลินตงซิ่วและลูกชายทั้งสอง
ทว่าครอบครัวของเสิ่นสิงก็เริ่มไม่ค่อยพอใจ เพราะหลินตงซิ่วและพวกเขาทั้งสามคนไม่เพียงต้องจ่ายเงินค่าอาหารของเสิ่นหมิงเซียวเท่านั้น แต่สมาชิกในครอบครัวของเสิ่นสิงกับลูกชายของพวกเขา ทั้งลูกสะใภ้และหลานชายทั้งสองก็ต้องพึ่งพาเงินเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เสิ่นหมิงเซียวจึงต้องใช้จ่ายด้วยเงินเก็บของตัวเองมากขึ้น
ชายชราถึงกับไม่ยอมซื้อเสื้อผ้าหรือกางเกงใหม่ แม้ว่าเขาก็ออมเงินได้จำนวนหนึ่งแล้ว ทั้งยังเลิกบุหรี่ ทุกครั้งที่เขาอยากดูดบุหรี่ขึ้นมา เขาก็จะเหลาไม้ไผ่เป็นซี่เล็ก ๆ และทำเสมือนว่ามันคือบุหรี่จริง ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นเงินของชายชราก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวของเสิ่นสิงพอใจ มันกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น แม้แต่อาหารของครอบครัวก็ยังต้องแบ่งเป็นสองหม้อเสมอ
โชคดีที่เสิ่นอี้โจวสามารถรับมือกับความยากลำบากนี้ได้และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเมื่อรัฐบาลนำระบบสอบเข้ากลับมาอีกครั้ง ด้วยผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขา ชายหนุ่มไม่เพียงได้ลดค่าเล่าเรียนเท่านั้น แต่ยังทำงานเก็บเงินได้หลายหยวนทุกเดือนเพื่อส่งกลับมาที่บ้าน
ทว่าภายหลังเมื่อถึงเวลาต้องแยกครอบครัว ครอบครัวของเสิ่นสิงกลับปฏิเสธที่จะแยกตัวออกไป โดยบอกว่าพวกเขาต้องการดูแลลูกของน้องชายและแม่ม่ายหลินตงซิ่ว
ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อเสิ่นอี้โจวเริ่มทำงาน เงินเดือนของเขาก็ถูกส่งกลับไปให้ครอบครัวของเสิ่นสิงด้วย
ชาวบ้านฟังน้ำเสียงที่ดูจะตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ ของเลขาธิการพรรค รับฟังเรื่องราวของชายชราบรรรทัดต่อบรรทัด ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังและเศร้าสร้อยในถ้อยคำ ก่อนจะจ้องมองครอบครัวของเสิ่นสิงราวกับอีกฝ่ายเป็นเนื้อร้าย!
เลขาธิการพรรคเงยหน้าขึ้นและจ้องมองเสิ่นสิง โดยถือสมุดบันทึกเอาไว้ “เสิ่นสิง คุณมีอะไรจะอธิบายไหมครับ”