กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 32 แยกโดยสมบูรณ์
บทที่ 32 แยกโดยสมบูรณ์
บทที่ 32 แยกโดยสมบูรณ์
ตั้งแต่เห็นสมุดบันทึกที่คุ้นตาถูกหยิบออกมา เสิ่นสิงก็รู้ว่ามันจะต้องแย่แน่ ๆ
เขาคุ้นเคยกับสมุดบันทึกเล่มนั้นมาก เพราะมันเป็นสมุดบันทึกที่พ่อเฒ่าเสิ่นมักจะเขียนในห้องของตัวเอง
อีกทั้งเสิ่นหมิงเซียวจะเก็บมันไว้อย่างมิดชิด เขาจึงหาไม่พบไม่ว่าจะทำอย่างไรแล้วก็ตาม
ในตอนนั้นเขาพยายามหลอกถามหลายครั้ง เพื่อค้นหาว่าพ่อเฒ่าเขียนอะไร แต่อีกฝ่ายกลับตอบเขาแค่ว่าเพียงเขียนบันทึกประจำวันเท่านั้น
เสิ่นสิงหัวเราะและพูดว่า “คุณเลขาธิการ จู่ ๆ คุณขอให้ผมพูด ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ นอกจากนี้แค่เสิ่นอี้โจวบอกว่าพ่อของผมเป็นคนเขียนมันขึ้นมา แต่จะเป็นแบบนั้นจริง ๆ น่ะหรือ? บางทีเขาอาจจะเขียนเองก็ได้!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงทู่ซี้อย่างไร้ยางอาย เลขาธิการหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา “คุณเสิ่น เห็นผมเป็นคนโง่ขนาดจำลายมือของอาหมิงเซียวไม่ได้เลยรึยังไงครับ!?”
จากนั้นเขาหยิบปึกกระดาษที่ยังเหลืออยู่ในซองสีเหลืองขึ้นมา ซึ่งพวกมันก็คือใบเสร็จรับเงินที่ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่คือใบเสร็จการรับเงินที่พ่อเฒ่าได้บันทึกไว้ทุกครั้งที่เขาถอนเงินและมันถูกส่งมาจากเสิ่นอี้โจว! ของพวกนี้สามารถปลอมแปลงได้ด้วยรึไง? ผมรู้ว่าคุณอ่านหนังสือออกหรือคุณอ่านในท้องหมาฮะ! ทั้งที่เป็นนักบัญชีของหมู่บ้านแท้ ๆ มารยาทพื้นฐานกลับไม่มีสักนิด กระทั่งความถูกต้องเที่ยงธรรมหรือความละอายใจคืออะไรคงจะไม่รู้สินะ… คุณนี่มันน่าเหลืออดจริง ๆ กล้าฮุบแม้แต่เงินเก็บของพ่อตัวเอง”
ฟังจากคำพูดของเลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้าน ไม่เพียงครอบครัวของเสิ่นสิงเท่านั้น แม้แต่ท่าทีของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก
ชาวบ้านทั้งหมดคิดว่าเสิ่นสิงและคนอื่น ๆ นั้นยอมเสียสละเลี้ยงดูเด็กกำพร้าของครอบครัวน้องชายตัวเองมาโดยตลอด แต่กลับกลายเป็นว่าที่ผ่านมาพวกเขาทำไปเพื่อเงิน!
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนเหล่านี้เสแสร้งเป็นคนดีแต่เพียงภายนอก ไม่มีใครคิดเลยว่าพวกเขาจะเป็นคนแบบนี้!
เมื่อเผชิญกับสายตาดูแคลนและเคืองขุ่นของผู้คน ครอบครัวของเสิ่นสิงต่างอยากจะแทรกธรณีหนีกลับบ้านของตนเองซะเดี๋ยวนี้เลย!
เซี่ยชิงหยวนใช้โอกาสนี้กล่าวว่า “คุณเลขาธิการ มีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณไม่รู้แม้ว่าเราจะแยกบ้านกันแล้ว แต่ครอบครัวของคุณลุงยังคงขอให้อี้โจวส่งเงินแปดหยวนเพื่อเป็นการให้เกียรติเขาในฐานะคนที่เคยดูแลครอบครัวของเรา”
คำพูดของหญิงสาวเป็นเหมือนระเบิดที่ปาเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง
เลขาธิการหนุ่มมองเสิ่นสิงด้วยความกรุ่นโกรธ “สิ่งที่ชิงหยวนพูดเป็นความจริงเหรอครับ?”
เสิ่นสิงจะยอมรับได้อย่างไรกัน เขาโบกมืออย่างรวดเร็วและพูดว่า “ไม่ ไม่จริงเลย!”
ผานเยว่กุ้ยในตอนนี้โกรธเสียจนกัดฟันกรอด เธอไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากกระโจนเข้าใส่นังตัวดีนี่และบีบคอมันให้ตายไปซะ!
จากนั้นเธอก็โบกมือและบอกปัดว่า “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก เหลวไหลทั้งเพ”
ทันใดนั้น เสิ่นอี้โจวก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “คุณเลขาธิการ มีกองใบเสร็จรับเงินที่เป็นหลักฐานว่าผมส่งเงินให้กับบ้านของคุณลุงทุกเดือนอยู่อีกปึกหนึ่ง”
เลขาธิการพรรครีบหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาทันที มันเป็นใบเสร็จปึกสุดท้ายในซอง และหลังจากเหลือบมองอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาก็มืดมนดั่งก้นหม้อ
หากไม่ใช่เพราะต้องเก็บรักษาหลักฐานเหล่านี้ไว้ เขาก็คงจะปาอะไรสักอย่างใส่หน้าของเสิ่นสิงไปแล้ว
เขาถามด้วยเสียงทุ้มลึกว่า “ทีนี้ ยังคิดจะเล่นลิ้นอะไรอีกไหม?”
หลักฐานชัดเจนขนาดนี้แล้วยังจะอธิบายอะไรได้อีก?
เสิ่นสิงส่งสายตาให้ผานเยว่กุ้ย จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็กล่าวว่า “คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่าเลขาธิการพรรคมีความสัมพันธ์อันดีกับเสิ่นเหยียน ดังนั้นคุณจึงมาจัดการกับเราพร้อมกับเสิ่นอี้โจว! บางทีอุบัติเหตุขาหมูในวันนี้อาจจะเป็นกับดักที่คุณคิดขึ้นมาเองก็ได้!”
เซี่ยชิงหยวนพูดไม่ออกหลังจากได้ยินประโยคนี้
นี่มันโจรชัด ๆ นี่มันคือการตะโกนเพื่อแสร้งจับโจร!
หญิงสาวยิ้มเยาะ “คุณป้า ฉันคิดว่าคุณกำลังกลับดำให้เป็นขาว แต่ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเลขาธิการพรรคกับพ่อของอี้โจวจะเป็นอย่างไร การที่พวกคุณเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ผู้อื่นตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องจริง!”
“ใบเสร็จรับเงินที่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ประทับตรา และการบาดเจ็บของอี้หลินเป็นของปลอมหรือไง อาหารที่สาดกระจายบนพื้น และขวดน้ำที่อยู่ในมือของเสิ่นจวินก็เป็นของปลอมเรอะ?” ทั้งคำถามและท่าทางที่ก้าวร้าวของหญิงสาวทำให้ครอบครัวของเสิ่นสิงต่างตกตะลึง
“จริงด้วย!” เสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ซึ่งนั่นก็คือเสียงของเจี่ยต้าฮวา
เธอเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาและพูดกับเลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านว่า “คุณเลขาธิการ พฤติกรรมของครอบครัวผานเยว่กุ้ยเลวร้ายมาก! อี้โจวอุตส่าห์ส่งเงินให้แปดหยวนต่อเดือน แต่เขากลับโกหกพวกเราว่าอี้โจวส่งให้เพียงหนึ่งหยวน ทั้งยังบอกว่าอี้โจวนั้นไม่เต็มใจยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะบุญคุณเก่าก่อนที่อีกฝ่ายเคยเลี้ยงดูเขากับครอบครัว เขาก็จะไม่ยอมส่งเงินให้แม้แต่แดงเดียว”
“และหากพวกเขาจะมีน้ำใจต่อผู้อื่นน่ะหรือ หลงไปซะเถอะ เพราะนอกจากจะไม่เมตตาแล้ว พวกเขายังข่มเหงครอบครัวนี้มาตั้งนานแล้ว! ผานเยว่กุ้ยกับสวีไหลตี้มาที่บ้านของหลินตงซิ่วตลอด เพื่อหยิบฉวยทุกอย่างที่ตัวเองต้องการไป ฉันเห็นพวกเขาทำเรื่องหน้าไม่อายนี้ด้วยตาตัวเองหลายครั้ง คนพรรค์นี้เรียกว่าญาติที่ไหนกัน พวกมันก็แค่โจร! เป็นขี้เหม็นที่มีแมลงตอม!!”
เธอมองครอบครัวของเสิ่นสิงอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้น “ถุ้ย! ไอ้พวกคนไร้ยางอาย!”
เมื่อปีก่อน ผู้ชายจากบ้านเธอต้องการเข้าชิงตำแหน่งนักบัญชีของหมู่บ้าน แต่เสิ่นสิงดำรงตำแหน่งนี้อยู่ แล้วพวกเขาจะมีโอกาสได้ยังไง
เธอจึงไม่เคยชอบพฤติกรรมของครอบครัวเสิ่นสิง ดังนั้นเมื่อมีโอกาส เธอจึงต้องคว้าเอาไว้
เพราะการเปิดฉากของเจี่ยต้าฮวา เพื่อนบ้านผู้มีอัธยาศัยดีที่มีบ้านใกล้เรือนเคียงกับพวกเขา จึงกล่าวขึ้นมาบ้าง “ใช่ ๆ ฉันจำได้ว่าเมื่อสองสามวันก่อนผานเยว่กุ้ยก็มาที่บ้านของหลินตงซิ่วและแย่งปลาตัวเล็กที่จับได้ในคูน้ำของอี้หลินไป”
“ไหนจะขวดน้ำของเสิ่นอี้หลินที่ถูกเสิ่นจวินแย่งไปเมื่อสองเดือนก่อนนั่นอีก”
“แม้แต่สินสอดกับวิทยุของเซี่ยชิงหยวนยังถูกสวีไหลตี้เอาไปด้วยเลยนี่!”
ทุกคนเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ทีละคน ราวกับว่าพวกเขารู้มากกว่าใคร
ใบหน้าของเสิ่นสิงซีดเซียว เหงื่อไหลไม่หยุด
เขาเข้าใจสิ่งที่เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านพูดเมื่อครู่
ถ้าวันนี้เขาจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ไม่ดีละก็ เขาอาจจะตกงานก็ได้
ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปทันทีก่อนจะขยิบตาให้เสิ่นอี้เทา ผู้เป็นลูกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากชั่งน้ำหนักทุกอย่างในใจแล้ว เขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
เขาตบสวีไหลตี้ด้วยหลังมือ “ฉันจะฆ่าแก นังสารเลว! ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วแต่ทำไมไม่เคยฟัง! ครอบครัวของเราสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่เราต้องการ ทำไมแกถึงต้องไปเอาของที่บ้านของอี้โจวด้วย?”
“หา!” หญิงสาวไม่คาดคิดว่าเสิ่นอี้เทาจะตบหน้าเธอ สวีไหลตี้จึงตั้งตัวไม่ทันและถูกตบเข้าอีกหน
ก่อนหน้านี้ใบหน้าของเธอยังไม่หายระบมนัก เมื่อเธอถูกทุบตีอีกครั้งในตอนนี้ บาดแผลจึงยิ่งบวมแดงเสียจนอัปลักษณ์
เธอปิดใบหน้าของตน พลางจ้องมองไปที่เสิ่นอี้เทาโดยไม่สนใจการขยิบตาที่เขาส่งมาให้ จากนั้นเธอตะโกนลั่นและพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย “ไอ้เสิ่นอี้เทา! แกกล้าดียังไงมาตบฉัน!”
เธอมีรูปร่างอ้วนท้วมแข็งแรงเมื่อเทียบกับผู้เป็นสามี อีกทั้งเธอยังไม่รู้ว่าหุ่นของตัวเองนั้นด้อยกว่าแม้แต่น้อย ฉะนั้นเมื่อคนทั้งสองปะทะกัน เสิ่นอี้เทามักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ
เมื่อเห็นแบบนี้ เสิ่นสิงกับผานเยว่กุ้ยจึงฉวยโอกาสจับแยกพวกเขาและลากตัวคนทั้งสองกลับไปยังบ้านของพวกเขา พร้อมกับเกลี้ยกล่อมว่า “หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว แกทุบตีเมียตัวเองต่อหน้าคนอื่นได้ยังไง”
ชาวบ้านต่างคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเรื่องแบบนี้จริง ๆ
เสิ่นอี้เทาถูกบังคับให้ทุบตีเมีย ในขณะที่สวีไหลตี้รู้สึกเศร้าและโกรธมาก
“หยุด” เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านมองพวกเขาอย่างเย็นชา และปรามพวกเขาด้วยสีหน้าถมึงทึง
เสิ่นสิงและคนอื่น ๆ หยุดฝีเท้า ชายวัยกลางคนรู้สึกหัวใจของตัวเองเต้นถี่รัวราวกับกลอง “คุณเลขาธิการ ยังต้องการทำอะไรอีกเหรอครับ?”
เลขาธิการพรรคกล่าวว่า “เรื่องของพวกคุณยังไม่ได้รับการแก้ไข จะรีบไปไหน!”
จากนั้นเขาหันไปแลกเปลี่ยนสายตากับเสิ่นอี้โจวและถามชายหนุ่มว่า “อี้โจว นายคิดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไง”
เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วและพูดเบา ๆ “ผมหวังเพียงว่าครอบครัวของผมกับพวกเขาจะแยกจากกันอย่างสมบูรณ์”