กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 322 บ่อนทำลาย
บทที่ 322 บ่อนทำลาย
บทที่ 322 บ่อนทำลาย
เซี่ยชิงหยวนทัดผมที่หล่นมาปิดหน้า และพ่นลมหายใจเบา ๆ “หึ!”
ไม่รู้ว่าเป็นการพ่นลมหายใจเพราะความสะใจหรืออย่างอื่น
จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังกลับ และเดินไปที่บ้านของหยวนหงหลี่
เธอยืนอยู่นอกประตูและเคาะ ซึ่งคนที่เปิดประตูคือแม่บ้านของหยวนหงหลี่
แม่บ้านเคยเจอเซี่ยชิงหยวนตอนที่มาร่วมมื้ออาหารค่ำครั้งที่แล้ว เธอยิ้มและพยักหน้าให้เซี่ยชิงหยวน “คุณนายเสิ่นมาที่นี่เพื่อพบคุณผู้หญิงของฉันใช่ไหมคะ? กรุณาเข้ามาก่อนนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ขอรบกวนด้วยนะคะ”
ขณะเดียวกัน คุณนายหยวนก็เดินออกมาจากด้านในบ้าน เมื่อเธอเห็นเซี่ยชิงหยวนถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ เธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แค่คุณมาหาฉันที่บ้าน ฉันก็ดีใจมากแล้วค่ะ คุณจะลำบากเอาของมาให้อีกทำไม?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ตอนอยู่บ้านฉันไม่มีอะไรทำน่ะค่ะ วันนี้เลยทำต้มเครื่องในวัวและหัวไชเท้า มันอร่อยมากเลยค่ะ”
ขณะที่พูด เซี่ยชิงหยวนก็ยกตะกร้ามาวางบนโต๊ะ “ฉันได้ยินจากสามีของฉันว่าบ้านฝ่ายของคุณนายหยวนเป็นคนเมืองกว่างโจว ดังนั้นฉันจึงนำมาให้คุณและเลขาธิการหยวนลองชิมน่ะค่ะ ฉันปรับสูตรตามวิธีต้มเครื่องในเนื้อวัวแบบกวางตุ้ง ไม่รู้ว่ามันจะถูกปากคุณหรือเปล่า”
เซี่ยชิงหยวนรู้จากเสิ่นอี้โจวว่าบ้านฝ่ายของคุณนายหยวนเป็นคนเมืองกว่างโจว ต่อมาด้วยความช่วยเหลือจากภาคตะวันตกของประเทศ เธอได้ติดตามครอบครัวมาที่มณฑลอวิ๋น
หลังจากผ่านไปหลายปี ญาติของเธอในมณฑลอวิ๋นก็จากไปทีละคน และการเดินทางก็ยังลำบาก ดังนั้นเธอจึงไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานานแล้ว
ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนนำต้มเครื่องในเนื้อวัว ซึ่งเป็นตัวแทนรสชาติหนึ่งของเมืองกว่างโจวมาให้เพียงเพื่อใช้ประโยชน์จากอาการคิดถึงบ้านของคุณนายหยวน เพื่อที่จะได้สนิทชิดเชื้อมากขึ้น
หยวนหงหลี่อยู่กับเซี่ยเจิ้งมาหลายปีแล้ว จะมีสิ่งใดที่ตระกูลหยวนไม่เข้าใจตระกูลเซี่ยบ้าง?
ด้วยการสนับสนุนจากคุณนายหยวน เซี่ยชิงหยวนจะถือได้ว่ามีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอย่างมากในเขตที่พักนี้
แน่นอนว่าที่สำคัญกว่านั้นคือ เธอกับคุณนายหยวนดูเหมือนเข้ากันได้ตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่อย่างนั้นใครจะยอมทำเพื่อเอาใจคนที่พวกเขาไม่ชอบกันล่ะ?
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คุณนายหยวนก็ดีใจมาก “ทำไมฉันถึงจะไม่ถูกปากล่ะ? แค่คิดว่าจะได้ลิ้มลองอย่างเดียวก็ทำให้ฉันตื่นเต้นแล้ว!”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนกว้างขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูเลยไหมคะ? ลองดูว่ามันจะเหมือนกับรสชาติที่คุณจำได้หรือเปล่า”
คุณนายหยวนขอให้แม่บ้านนำชามและตะเกียบมาจากห้องครัวด้วยความกระตือรือร้นที่จะลองอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เปิดฝา กลิ่นหอมอันเข้มข้นของต้มเครื่องในเนื้อวัวก็ตีขึ้นจมูกของเธอ
คุณนายหยวนรีบสูดหายใจเข้าลึก ดูพอใจอย่างมาก
เธอตักแบ่งมันลงในชามเล็ก คีบหัวไชเท้าตุ๋นชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในปาก
รสชาติแห่งความทรงจำบานสะพรั่งบนปลายลิ้นของเธอทันที และกวาดไปทั่วทั้งปากของเธอ
รสชาติแรกคือความสดชื่นของน้ำซุปเครื่องในวัว และจากนั้นความหวานของหัวไชเท้าก็ตามมา
เธอคีบส่วนเนื้อออกอีกชิ้นขึ้นมา จากนั้นก็มีไส้ ผ้าขี้ริ้ว…
ชามเล็กที่เธอตักแบ่งต้มเครื่องในเนื้อวัวออกมา ตอนแรกมีอยู่เยอะพอสมควรท้ายที่สุดก็ถูกกินจนเกือบถึงก้นชาม เหลือเพียงซุปสีน้ำตาลอ่อนเล็กน้อยเท่านั้น
เธอเช็ดปากด้วยความเขินอาย “ฉันไม่ได้กินรสชาติแบบนี้มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ฉันอดใจไม่ไหวจริง ๆ รสชาตินี้ทำให้ฉันนึกถึงต้มเครื่องในวัวของคุณย่ามาก ท่านทำให้ฉันกินตอนที่ฉันยังเด็กน่ะ”
“ก่อนหน้าที่ฉันจะมามณฑลอวิ๋นกับพ่อแม่และบรรดาลุง ๆ ของฉัน ฝ่ายปู่ย่าตายายของฉัน พวกท่านยังคงอยู่ที่เมืองกว่างโจว ต่อมาปู่ย่าตายายของฉันก็เสียไป และฉันก็เหินห่างจากญาติคนอื่น ๆ ดังนั้นฉันจึงไม่เคยกลับไปอีกเลย”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของคุณนายหยวนก็เริ่มชื้นขึ้น
คุณนายหยวนดูชอบมันมาก และเซี่ยชิงหยวนก็มีความสุขมากเช่นกัน
เธอยกมุมปากขึ้น แต่ไม่มีท่าทีดูถูกเลย “คุณชอบแบบนี้มันถือเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับฉันแล้วค่ะ ก่อนจะมาที่นี่ ฉันกังวลอยู่ตลอดทางว่าสิ่งที่ฉันทำนั้นจะไม่ถูกปากของคุณหรือเปล่า”
คุณนายหยวนยิ้ม “จะเป็นไปได้ยังไง ฝีมือของคุณมีรสชาติดีกว่าของที่ขายตามถนนหลายสายในเมืองกว่างโจวด้วยซ้ำไป”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ตั้งใจที่จะปกปิดและพูดว่า “เพื่อบอกความจริงกับคุณ ฉันเช่าร้านเล็ก ๆ บนถนนคนเดินแล้วน่ะค่ะ วางแผนที่จะขายต้มเครื่องในและหัวไชเท้านี้เป็นอันดับแรกหลังจากเปิดร้าน อี้โจวไปทำงานทุกวัน และฉันก็ไม่สามารถอยู่เฉย ๆ ได้น่ะค่ะ”
“จริงเหรอ?” ดวงตาของคุณนายหยวนเป็นประกายอย่างเห็นด้วย “นั่นเป็นความคิดที่ดีจริง ๆ เมื่อถึงเวลาที่คุณเปิดร้าน ฉันจะเป็นคนแรกที่ไปอุดหนุนคุณอย่างแน่นอนค่ะ ตอนแรกฉันคิดว่าเราแค่แบ่งปันงานอดิเรกในการทำอาหารกัน แต่จริง ๆ แล้วเรามีความคิดเดียวกันโดยไม่คาดคิดเลย!”
คุณนายหยวนติดตามพ่อแม่ไปทุกที่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ความรู้และความคิดของเธอก็กว้างไกลกว่าผู้หญิงทั่วไปมาก
สำหรับเซี่ยชิงหยวนผู้วางแผนจะเริ่มอาชีพด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่มีสามีเป็นข้าราชการระดับสูงอย่างเสิ่นอี้โจว ถือว่าเป็นผู้หญิงที่หายากมากในเขตที่พักแห่งนี้
ใครบ้างที่ไม่เอาแต่คิดพึ่งพาความสามารถของผู้ชายตัวเองในการได้อยู่สุขสบาย แล้วตัวเองเอาแต่ออกไปเล่นไพ่และไปซื้อของตลอดทั้งวัน หรือใช้เส้นสายรับตำแหน่งสบาย ๆ ในหน่วยงานเดียวกัน
ต่อมาคุณนายหยวนได้ถามเซี่ยชิงหยวนถึงที่อยู่ของร้าน และเดินไปส่งเซี่ยชิงหยวนถึงประตูบ้านด้วยรอยยิ้ม
เมื่อคุณนายหยวนกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง เธอก็บอกแม่บ้านทันที “เสี่ยวฟาง ใส่ต้มเครื่องในเนื้อวัวที่คุณนายเสิ่นนำมาให้ฉันลงในหม้ออุ่นไว้ เพื่อรอให้เหล่าหยวนกลับมากินด้วยกันทีนะ”
หยวนหงหลี่เคยพาเธอกลับไปที่เมืองกว่างโจวเมื่อนานมาแล้ว ในเวลานั้นเขายังชอบต้มเครื่องในเนื้อวัวด้วยเหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีโจ๊กในหม้อตุ๋น ต้มตีนหมูกับขิง และหนังปลาเย็น…เธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเมื่อคิดเกี่ยวกับมื้ออาหารเย็นวันนี้
…
ในขณะเดียวกัน เซี่ยจื่ออี้กำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก เธอพยายามสับเท้าตามให้ทันฉินซูอวี้และคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ “ซูอวี้ นี่ซูอวี้!”
เธอเดินก้าวไปขวางหน้าแล้วพูดว่า “ฟังฉันนะ!”
ฉินซูอวี้พยายามเดินอ้อม แต่เซี่ยจื่ออี้ก้าวตามโดยปฏิเสธที่จะให้ผ่านไป
ฉินซูอวี้พูดด้วยความโกรธ “เธอต้องการพูดอะไรให้ฉันฟังอีก? เธอจะพูดว่าเสื้อผ้าที่เธอซื้อมาดีแค่ไหนน่ะเหรอ? หรือมันน่ารำคาญแค่ไหนที่มีคนมาชมเธอมากมายล่ะ?”
เซี่ยจื่ออี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดก้าวร้าวของฉินซูอวี้ “ซูอวี้ เธอก็รู้ดีว่าฉันไม่ได้จะพูดอะไรแบบนั้น”
ฉินซูอวี้สะบัดมือของเซี่ยจื่ออี้ที่จับตัวเธอไว้ทันที “ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะพูด แล้วเธอจะพูดอะไรอีก? ไม่ว่ายังไงตั้งแต่เด็กทุกคนก็ชอบเธอ และฉันมันก็เป็นแค่ตัวตลกที่ติดตามเธอไปไหนต่อไหนตลอด!”
ฉินซูอวี้โกรธมากอยู่แล้ว เพราะเฉินหลี่ชอบเอาตัวเธอไปเปรียบเทียบกับเซี่ยจื่ออี้ ดังนั้นเมื่อเซี่ยชิงหยวนพูดอะไรบางอย่างที่ชมเซี่ยจื่ออี้ มันก็ยิ่งเหมือนแทงใจเธอซ้ำอีกรอบ ซึ่งทำให้หญิงสาวโกรธเซี่ยจื่ออี้มากยิ่งขึ้น
ในขณะนี้สีหน้าของเซี่ยจื่ออี้ดูไม่ดีมากนัก มือที่กำแน่นของเธอบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ของเธอไม่สามารถอดกลั้นได้
ฉินซูอวี้มักจะอารมณ์เสียกับเธอเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาแค่เธอพูดปลอบไม่กี่คำก็จบเรื่อง
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินซูอวี้โกรธมากขนาดนี้
ตอนที่เธอกำลังไล่ตามฉินซูอวี้เมื่อกี้ เธอเดาความตั้งใจในคำพูดของเซี่ยชิงหยวนได้แล้ว
เซี่ยชิงหยวนพยายามที่จะตอกลิ่มระหว่างพวกเธอ!
ช่างเป็นแผนการที่ลึกซึ้งจริง ๆ!
เซี่ยจื่ออี้พยายามระงับการแสดงออกบนใบหน้า และยกมุมปาก “ทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้นล่ะ? ตั้งแต่ยังเด็ก เราสองคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
ขณะที่พูด เธอก็จับมือของฉินซูอวี้
ตอนแรกมือถูกสะบัดทิ้งไป จากนั้นเธอก็จับไว้อีกรอบ
หากปล่อยอีกครั้ง เธอก็จะจับอีกครั้งเช่นกัน
เมื่อฉินซูอวี้สลัดเธอออกอีก เซี่ยจื่ออี้ก็จับมือไว้แน่นแล้วเขย่ามือ “ซูอวี้”
เมื่อฉินซูอวี้ไม่สามารถสลัดออกได้อีก เธอก็มองเซี่ยจื่ออี้อีกครั้งด้วยใบหน้าบูดบึ้งและไม่ขยับอีกต่อไป
เซี่ยจื่ออี้กล่าวว่า “เธออย่าไปฟังคำพูดของคนอื่นสิ เซี่ยชิงหยวนพูดแบบนั้นโดยตั้งใจต่างหาก เธอคงจะอิจฉาความสัมพันธ์ที่ดีของเรา และจริง ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมดอย่างที่เธอเพิ่งพูดสักหน่อยจริงไหม? เธอน่าจะจำนี่ได้ ครั้งหนึ่งที่ฉันเรียนดนตรีแต่ก็ยังเล่นมันไม่ได้สักที ฉันโดนแม่ลงโทษและไม่ยอมให้กินข้าวเลยนะ”
“มันเป็นเธอไม่ใช่เหรอที่แอบเอาอาหารมาให้ฉันกินอย่างเงียบ ๆ แล้วบอกฉันว่าอย่ายอมแพ้น่ะ? เธอไม่รู้หรอกว่าฉันอิจฉาเธอมากแค่ไหน ทั้งลุงฉินและคุณป้าต่างก็ตามใจเธอ ปล่อยให้เธอมีชีวิตวัยเด็กที่อิสระ”
ขณะที่เธอพูดก็มีน้ำตาคลอ “เมื่อฉันบอกเธอว่ามีคนชอบฉัน ไม่ใช่ว่าฉันกำลังแบ่งปันความลับของฉันแก่เพื่อนรักของฉันคนเดียวเหรอ?”
“แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ทำให้เธอไม่มีความสุข ฉันจะไม่พูดอีกตกลงไหม?”
ใบหน้าของฉินซูอวี้เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อฟังเซี่ยจื่ออี้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองคนยังเป็นเด็ก
แต่เธอยังคงมีใบหน้าบูดบึ้ง และพูดว่า “ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้นสักหน่อย”
เซี่ยจื่ออี้สังเกตเห็นสีหน้าที่อ่อนลงของฉินซูอวี้ จึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเราอย่าโกรธกันเลยได้ไหม?”
เธอทำหน้าหยอกล้อใส่ฉินซูอวี้ “ถ้าโกรธมาก ๆ จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดเข้าสักวันนะ”
ฉินซูอวี้อดไม่ได้และหัวเราะออกมา
แต่เธอยังรู้สึกว่าเสียหน้าไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงหยุดหัวเราะทันทีและพูดว่า “รอจนกว่าฉันจะอารมณ์ดีสักสองสามวันแล้วกัน”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็โบกมือไปทางเซี่ยจื่ออี้แล้วพูดว่า “ฉันจะกลับบ้านแล้ว”
เมื่อเห็นแบบนี้ เซี่ยจื่ออี้ก็ไม่ดึงดันอีกต่อไปและพูดว่า “ตกลง ไว้อีกสองวันฉันจะไปหาเธอนะ ฉันได้ยินมาว่ามีสินค้าใหม่เข้ามาที่ถนนหลินไห่ เอาไว้เราไปดูด้วยกันนะ”
ฉินซูอวี้ไม่หันกลับมามอง และตอบด้วยเสียงต่ำ “อืม”
เซี่ยจื่ออี้มองไปที่แผ่นหลังของเพื่อน แต่เมื่อหันกลับไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ค่อย ๆ จางหายไป และในที่สุดก็หลือแต่ความเกลียดชัง
เธอยืนอยู่ตรงนั้นสักพักแล้วจากไป
ด้านหลังป่าไผ่เล็ก ๆ ที่พวกเธอสองคนเพิ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ มีชายร่างสูงคนหนึ่งเดินออกมา
ดวงตาลูกท้อของเขาหรี่ลงและจิปากก่อนจะเดินจากไป
————————————