กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 329 การแต่งงานนี้ไม่จำเป็น
บทที่ 329 การแต่งงานนี้ไม่จำเป็น
ฉีจิ่นจือหลบตาและพูดเบา ๆ “ฉันไม่ได้ดูอะไร”
เพื่อนร่วมงานเหลือบมองไปในทิศทางที่เขามองโดยไม่รู้ตัว นอกเหนือจากถนนที่คนไม่พลุกพล่านและร้านค้าที่กำลังได้รับการปรับปรุงใหม่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ
หลายคนในโต๊ะเริ่มพูดตลกกัน และคนที่มีผิวสีเข้มกว่าก็พูดถึงผู้หญิงที่ครอบครัวของเขาแนะนำให้ว่า “ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นเลย แต่แม่ของฉันก็พาเธอมานั่งที่บ้านตลอดทั้งวัน พอให้ฉันไปนั่งด้วย ฉันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไร หลังจากนั่งอยู่แบบนั้นสักพักก็มีแต่ความเงียบ นี่สินะที่เรียกว่า…ไม่มีอะไรเหมือนกัน”
ชายคนที่จำเซี่ยชิงหยวนได้ก่อนหน้านี้ยิ้มและผลักเขา “สำหรับนายคงทำได้แค่พอใจกับผู้หญิงที่ครอบครัวนายแนะนำให้เท่านั้นแหละ จะเทียบกับพี่ฉีของเราที่ดูดีมากได้ยังไง เขาหล่อมากและผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบเขาด้วย”
เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “พี่ฉีเพิ่งมาที่หน่วยของเราแท้ ๆ แต่ถึงกับมีคนจากสำนักงานชั้นบนลงมาหาเขาแล้วนะ”
ฉีจิ่นจือฟังคำพูดของพวกเขาและยิ้มเบา ๆ
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงและกินโจ๊กในชามจนเสร็จ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วโยนเงินกำมือหนึ่งลงบนโต๊ะ “ไปกันเถอะ”
หลายคนมองดูโต๊ะที่เต็มไปด้วยเนื้อและเหล้า พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉีจิ่นจือ แต่ไม่มีใครไม่กล้าขัดคำสั่งเขาเช่นกัน
ชายผิวคล้ำรีบหยิบเงินขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฉันจะไปจ่ายค่าอาหารและเหล้าเอง”
อีกคนหนึ่งก็พูดเหมือนกันว่า “งั้นฉันจะไปตามให้คนเอาอาหารกับเหล้าพวกนี้ไปห่อกลับนะ”
ฉีจิ่นจือพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับแววตาที่แสดงออกถึงความชั่วร้ายในดวงตาลูกท้อของเขา เมื่อเดินออกจากประตู แสงแดดที่ส่องเข้ามาทำให้เขาต้องหรี่ตาลง
จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนริมฝีปากของชายหนุ่ม เขาข้ามธรณีประตูด้วยขายาวแล้วเดินไปข้างหน้า
คนอย่างเขาย่อมต้องรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อยืนกลางแดด
เขาจำได้ถึงสิ่งที่ฉีหยวนซานถามเขาเมื่อสองวันก่อน “แกคิดยังไงกับลูกสาวของตระกูลเซี่ย? เธอไม่ดีเหรอ? ตั้งแต่หลังจากงานเลี้ยงวันนั้นทำไมแกถึงละเลยเธออยู่ตลอด ทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยไหม?”
ฉีจิ่นจือพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน เขาหรี่ตามองและตอบว่า “คนที่กล้าทอดทิ้งภรรยาและลูกของตัวเองกล้ามาบอกว่าฉันเป็นคนใจร้ายเนี่ยนะ? แล้วเธอมีอะไรเกี่ยวข้องกับผมด้วย? ไม่ใช่ว่ามันเป็นเพียงความคิดของคุณคนเดียวเหรอที่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นมายุ่งเกี่ยวกับผม?”
คำพูดของเขาทำให้ฉีหยวนซานชะงักอยู่เป็นเวลานาน
ฉีหยวนซานพยายามระงับความโกรธ “แล้วแกต้องการอะไรกันแน่? ถ้าฉันไม่ได้คิดว่าตระกูลเซี่ยจะเป็นประโยชน์ต่ออาชีพการงานของแกในอนาคต ฉันจะเปลืองแรงทำทั้งหมดนี้ไหมหะ?”
ฉีจิ่นจือแสดงสีหน้าเย้ยหยันและตอบอย่างเฉยชา
“เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในเขตที่พักทั้งหมดรึไง? ผมคิดว่าตระกูลฉินก็ค่อนข้างดีเหมือนกันนะ หรือใครก็ตามที่แต่งงานแล้ว หรือไม่ก็คนแก่ก็ได้ ให้ตายยังไงผมก็คงทนไม่ได้กับผู้หญิงที่เสแสร้งตลอดเวลาแบบนั้นหรอก”
ประโยคนี้ทำให้ฉีหยวนซานโกรธมากได้สำเร็จ จนชี้ไปที่ลูกชายตัวเองแล้วตะคอกใส่ “แก…แกนี่มันนอกคอกจริง ๆ!”
ฉีจิ่นจือยืนขึ้นปัดแขนเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “ตาแก่ แทนที่จะมุ่งความสนใจมาที่ผม คุณควรลองพยายามบนเตียงอีกสักรอบเผื่อว่าอาจจะมีได้เพิ่มอีกสักคนนะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็พ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วหันหลังจากไป
เพล้ง!
เสียงแก้วแตกที่พื้นใกล้ ๆ กับขาของเขาดังขึ้น ชาร้อนกระเซ็นลงบนกางเกงของชายหนุ่ม มันร้อนจนทะลุผ้าไปที่ผิวหนังของเขา
เขาไม่กะพริบตาและเดินหน้าต่อไป
…
สำนักงานมณฑล ณ ห้องทำงานของเซี่ยเจิ้ง
เซี่ยจื่ออี้ใช้โอกาสจากเวลาที่ยังว่างมายังห้องทำงานของพ่อเพื่อนั่งพัก
พ่อและลูกสาวนั่งรอบโต๊ะกาแฟ ก้มศีรษะอย่างเงียบ ๆ และดูเคร่งขรึม
เซี่ยเจิ้งเขี่ยขี้บุหรี่ที่สะสมอยู่บนปลายบุหรี่ของเขาแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างลูกกับนายน้อยฉี?”
เซี่ยจื่ออี้หยิบแก้วชาร้อนขึ้นมาถือเพื่อขจัดความเย็นบนฝ่ามือของเธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เราเข้ากันได้ดีค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เซี่ยเจิ้งก็ขมวดคิ้ว “จื่ออี้ ลูกยังต้องการซ่อนมันไว้ไม่เล่าให้พ่อฟังอีกเหรอ?”
ความตื่นตระหนกฉายในแววตาของเซี่ยจื่ออี้ทันที “พ่อคะ?”
เซี่ยเจิ้งวางบุหรี่ไว้ในที่เขี่ยบุหรี่แล้วพูดว่า “เช้านี้พ่อไปที่สำนักงานเพื่อประชุม เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉีหยวนซานถามเฒ่าฉินและเชิญเขาให้พาซูอวี้ไปที่งานเลี้ยงของตระกูลฉีในวันพรุ่งนี้”
เขามองไปยังเซี่ยจื่ออี้ด้วยสายตาหนักหน่วง “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นเป็นคนที่มีความสามารถ ซึ่งดูแลเรื่องส่วนตัวของฉีหยวนซานแทบทุกอย่าง ทำไมเขาถึงถามฉินโย่วเหลียงด้วยตนเองและขอให้เขาพาซูอวี้ไปด้วยแบบนั้น?”
ตอนนี้ใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้ดูน่าเกลียดอย่างมาก
ไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ฉินซูอวี้จะคุยกับเธอแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่เต็มใจที่จะแบ่งปันความคิดของตัวเองกับเธออีกต่อไป
ความรู้สึกนี้มันแย่มาก
พอมาตอนนี้เธอยังได้ยินว่าตระกูลฉีกำลังเชิญตระกูลฉินอีกต่างหาก หญิงสาวยิ่งรู้สึกไม่มีความสุขมากขึ้น
หากความตั้งใจของตระกูลฉีเป็นไปตามที่เธอกับพ่อคิดจริง ๆ เธอจะต้องเผชิญกับความอับอายมากแน่ ๆ
ความรู้สึกสูญเสียการควบคุมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแพร่กระจายในใจของเธอ
หญิงสาวยกริมฝีปากขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “บางทีพวกเขาคงเชิญตระกูลฉินไปเพราะเห็นว่าฝั่งนั้นก็เป็นมิตรกับเรามั้งคะ”
เซี่ยเจิ้งถอนหายใจยาวพร้อมกับแสดงท่าทีผิดหวังในน้ำเสียงของเขา “จื่ออี้ ลูกเป็นเด็กที่ฉลาดมาโดยตลอด ดังนั้นพ่อจึงไว้วางใจลูกในหลาย ๆ เรื่องเสมอ แต่คราวนี้ลูกใจเย็นเกินไปแล้ว”
ในวันนั้นเซี่ยจื่ออี้และฉีจิ่นจือไปที่บ้านของหยวนหงลี่เพื่อร่วมมื้อเย็น และเขาก็โทรไปถามหยวนหงลี่หลังจากนั้น ว่าฉีจิ่นจือกับเซี่ยจื่ออี้เป็นยังไงกันบ้าง
ในเวลานั้นหยวนหงลี่ตอบเพียงว่า “ทั้งนายน้อยฉีและจื่ออี้ต่างก็รักษามารยาทต่อกันเป็นอย่างดีค่ะ”
ตอนนั้นหัวใจของเซี่ยเจิ้งรู้สึกหนักอึ้ง
เขาเคยผ่านช่วงวัยรุ่นมาก่อน และรู้ว่าจะเป็นยังไงเมื่อได้พบกับคนที่ตัวเองชอบ
แต่คำตอบแบบนี้คือฉีจิ่นจือไม่สนใจลูกสาวของเขาเลย
ครั้งหนึ่งเขารู้สึกประทับใจกับคำแนะนำของฉีหยวนซานที่จะให้ทั้งสองตระกูลแต่งงานปรองดองกัน แต่หลังจากใจเย็นลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับความไม่แยแสของฉีจิ่นจือที่มีต่อเซี่ยจื่ออี้ เขาก็ค่อย ๆ หยุดคิดถึงเรื่องนี้
แม้เขาต้องการที่จะไต่ไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิมก่อนที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง แต่เขาจะไม่ยอมบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยการเสียสละความสุขของลูกสาวตัวเองเด็ดขาด
ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้เซี่ยจื่ออี้ลืมมันไปซะ ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้
เซี่ยจื่ออี้ส่ายศีรษะ “พ่อคะ หนูอยากจะลองอีกครั้ง สิ่งที่เรียกว่าความรักสามารถเติบโตขึ้นได้ตามกาลเวลา ตอนแรกพ่อกับแม่ก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเซี่ยเจิ้งได้ยินลูกสาวพูดถึงภรรยา หัวใจของเขาก็อ่อนลงและยอมเห็นด้วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความปรารถนาของครอบครัวของเขาฝั่งเดียวเท่านั้นแล้ว
เซี่ยจื่ออี้เองก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เมื่อได้ยินเซี่ยเจิ้งแสดงความคิดเห็นกับตัวเธอแบบนี้
หญิงสาวมองไปยังผู้เป็นพ่อด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา และความไม่เชื่อ “พ่อคะ”
เซี่ยเจิ้งทนไม่ได้และพูดว่า “พ่อมีลูกสาวคนเดียวเท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พ่อหวังที่สุดว่าลูกจะมีชีวิตที่มีความสุขตลอดไป การแต่งงานที่ได้จากการดันทุรังนั้นจะทำให้ลูกไม่มีความสุข”
“พ่อเชื่อว่าในใจลูกก็น่าจะเข้าใจความจริงข้อนี้อยู่แล้ว ดังนั้นทำไมไม่ปล่อยให้มันผ่านไป ลูกสาวของเซี่ยเจิ้งกลายเป็นคนที่ตามตื๊อคนอื่นหรือรอถูกเลือกได้ยังไง?”
คำพูดของเซี่ยเจิ้งเปรียบเสมือนห่าฝนน้ำแข็งที่กระทบใจของเซี่ยจื่ออี้
แต่หญิงสาวจะไม่รู้ตัวเองได้ยังไง ว่าทำไมเธอถึงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้แบบนี้?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างเซี่ยชิงหยวนกับฉีจิ่นจือในโรงแรมวันนั้น เธอยิ่งไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
ทำไมทุกคนถึงหันหลังให้เธอ?
แต่ต่อหน้าเซี่ยเจิ้ง เซี่ยจื่ออี้ไม่กล้าที่จะแสดงความคิดภายในใจ เพราะกังวลว่าเซี่ยเจิ้งจะต้องผิดหวังในตัวเธออีกครั้ง
หญิงสาวก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “พ่อคะ ได้โปรดให้เวลาหนูคิดเรื่องนี้หน่อยนะคะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ เซี่ยเจิ้งก็ไม่อาจที่จะพูดอะไรได้อีกแล้ว
เขาโบกมือแล้วพูดว่า “เอาเถอะ”
เซี่ยจื่ออี้พยักหน้า สูดลมหายใจและออกจากห้องทำงานพ่อไป
เมื่อเธอปิดประตูและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ความเกลียดชังก็ระเบิดออกมาจากในดวงตาของเธอทันที
เซี่ยจื่ออี้เช็ดน้ำตาจากดวงตา เชิดหน้าขึ้น และยังคงเป็นเซี่ยจื่ออี้คนเดิมที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ