กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 332 เธอจะไม่ยอมแพ้
บทที่ 332 เธอจะไม่ยอมแพ้
ผู้คนมากมายต่างก็เงียบลงเพราะคำพูดของเฉินหลี่
ฉินโย่วเหลียงดึงเฉินหลี่ทันที และพยายามห้ามปรามเธอ “คุณพูดไร้สาระอะไร! ขอโทษเลขาธิการเสิ่นและคุณนายเสิ่นเดี๋ยวนี้!”
ใบหน้าของเฉินหลี่กลายพลันน่าเกลียดทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินโย่วเหลียงทำให้เธออับอายต่อหน้าทุกคน
แน่นอนว่าคนที่หยิ่งยโสอย่างเธอ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมขอโทษเซี่ยชิงหยวน
นอกจากนี้ฉีหยวนซานก็อยู่ด้วย เช่นเดียวกับผู้นำหลายคน ดังนั้นเสิ่นอี้โจวและภรรยาของเขาจะไม่มีวันกล่าวว่าร้ายเธอในที่สาธารณะแน่
เธอมีทัศนคติที่หยิ่งผยอง “ฉันแค่เข้าใจผิดและพูดติดตลกไปเท่านั้นเอง เลขาธิการเสิ่นและคุณนายเสิ่นคงไม่ใส่ใจมันหรอกค่ะ”
สีหน้าของเสิ่นอี้โจวยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาของเขาเย็นชาทันที
“เรื่องตลกของคุณนายฉินอันนี้…ผมคิดว่ามันไม่ตลกสักนิดนะครับ!”
พอได้ยินการตอบโต้ของเสิ่นอี้โจว ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ก็ตกตะลึง “!”
เซี่ยชิงหยวนเดาะลิ้นของเธอเมื่อเห็นการแสดงที่ดีเช่นนี้
ปกติแล้วเสิ่นอี้โจวจะถ่อมตัวอยู่เสมอ สุภาพอ่อนโยนราวกับหยก แต่นั่นเป็นเพราะไม่มีใครกล้ามาย้อนเกล็ดเขาบ่อยนัก
คนในสำนักงานมณฑลอาจจะไม่รู้ แต่คนในศาลากลางเตียนเฉิงได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว
เซี่ยชิงหยวนคือเกล็ดย้อนของเสิ่นอี้โจว
ทันใดนั้นบรรยากาศก็ตึงเครียดทันตาเห็น
ฉีหยวนซานหัวเราะเสียงดัง “เลขาธิการเสิ่นกระตือรือร้นที่จะปกป้องภรรยาของเขามากจริง ๆ และเห็นด้วยเช่นกันว่าเรื่องนี้มันไม่ตลกเลย”
เขาเหลือบมองไปยังเฉินหลี่ “คุณนายฉินต้องทำงานในโรงพยาบาลทุกวัน เธออาจจะยุ่งเกินไปและความคิดสับสนไปหน่อยน่ะ”
ดูเผิน ๆ เหมือนเขาทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสันติให้กับทั้งสองครอบครัว แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังเอนเอียงไปทางเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนมากกว่า
ทัศนคติของฉีหยวนซานที่มีต่อเสิ่นอี้โจวนั้นชัดเจนในทันที
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับฉินโย่วเหลียงซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเล็ก ๆ มาตลอดชีวิต เสิ่นอี้โจวที่อายุน้อยและมีความสามารถมากนั้นคู่ควรกับการได้รับการสนับสนุนจากเขามากกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าฉีจิ่นจืออาจสนใจฉินซูอวี้ เขาจะเชิญคนระดับฉินโย่วเหลียงมาได้ยังไง?
แน่นอนว่าผู้คนที่ชนชั้นแตกต่างกันย่อมไม่ได้รับความสนใจอยู่แล้ว
หลังจากได้ยินคำพูดของฉีหยวนซาน ฉินโย่วเหลียงและภรรยาของเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป
ฉินโย่วเหลียงจ้องเขม็งไปยังเฉินหลี่อย่างดุเดือด ในขณะที่เฉินหลี่หันสายตาไปทางเซี่ยชิงหยวนด้วยความโกรธเคือง
การแสดงออกของเซี่ยชิงหยวนยังคงเฉยเมย และเธอก็มองอีกฝ่ายด้วยความดูถูก หญิงสาวเปิดปากเบา ๆ และพูดสองคำแบบไร้เสียง
‘หน้าโง่’
เฉินหลี่โกรธมากและต้องการก้าวเข้าไปหาเซี่ยชิงหยวนเพื่อเอาเรื่องทันที
ฉินโย่วเหลียงรีบดึงภรรยาออกไป และตะโกนด่าทอใส่ “คุณยังทำตัวอับอายไม่พออีกเหรอหะ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าที่เดือดดาลของสามี เฉินหลี่ก็สะบัดมือของเขาออก พลางพ่นลมหายใจแล้วเดินจากไปเพียงลำพัง
ฉินโย่วเหลียงถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียว เขาหันมายิ้มและขอโทษเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจว
เซี่ยชิงหยวนเพียงยิ้มตอบเท่านั้น และไม่พูดอะไร
ส่วนเสิ่นอี้โจวล้วงมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกง และเพียงพยักหน้าเบา ๆ รับคำขอโทษเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้ฉินโย่วเหลียงรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม
เสิ่นอี้โจวนั้นเป็นรุ่นน้อง แต่กลับแสดงออกอย่างไม่แยแส และไม่เห็แก่หน้าของเขาเลย
ต่อให้เสิ่นอี้โจวจะถูกเรียกว่าเป็นเลขาธิการแล้ว แต่ก็ยังต้องรอจนกว่าหยวนหงหลี่จะลงจากตำแหน่งในปีหน้า
ใครจะรับประกันได้ว่าในระหว่างนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ?
ด้วยความคิดเหล่านี้ในใจ ดวงตาของฉินโย่วเหลียงจึงมืดลง
ฉีหยวนซานกับอีกสองสามคนแสร้งทำเป็นไม่เห็นคลื่นใต้น้ำนี้และพูดว่า “ตอนนี้ทุกคนก็อยู่ที่นี่แล้ว เราไปเดินดูรอบ ๆ กันดีกว่า”
ฉีหยวนซานเปิดปากพูด และทุกคนก็เห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง
เขาเรียกคนหนุ่มสาวและเด็ก ๆ ที่เล่นอยู่ไม่ไกล แล้วเดินไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ ด้วยกัน
…
ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ข้าวในนาก็เก็บเกี่ยวแล้ว เหลือเพียงตอข้าวเท่านั้น
วัวควายกำลังเล็มหญ้าอยู่ริมทุ่ง ไก่และเป็ดกำลังคุ้ยหาอาหารในนาข้าว เป็นภาพที่ดูสดชื่นมาก
เมื่อเดินต่อไปตามไหล่เขาจะมองเห็นร่องรอยของสันทุ่ง
อันที่จริงในบางพื้นที่ของมณฑลยูนนานมีการปลูกข้าวบนภูเขา ข้าวประเภทนี้ใช้น้ำน้อยมากและชาวบ้านเรียกว่าหุบเขาแห้ง
วันนี้เซี่ยชิงหยวนแต่งตัวสบาย ๆ
กางเกงยีน เสื้อกันลมสีอ่อน และรองเท้าผ้าใบส้นแบนคู่หนึ่ง
เธอไม่รู้สึกถึงความยากลำบากในการเดินตามหลังพวกเขาเลย
เมื่อเทียบกับเซี่ยชิงหยวนแล้ว ฉินซูอวี้และเซี่ยจื่ออี้รู้สึกลำบากลำบนกว่ามาก
ทั้งคู่สวมรองเท้าที่มีส้น โดยเฉพาะของฉินซูอวี้ที่ใส่ส้นแหลมและสูง 4-5 เซนติเมตร อีกทั้งพวกเธอยังสวมกระโปรงยาวด้วย ทำให้การเดินบนทางขรุขระยากลำบาก
ในตอนแรกเซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ช่วยกันเดิน แต่ต่อมาใบหน้าของพวกเธอดูเหมือนกำลังจะร้องไห้
เดิมทีฉู่ซิงอวี่ถูกเซี่ยจื่ออี้ดึงให้มาช่วยประคองด้วย แต่ต่อมาเมื่อเห็นทั้งสองสาวแสดงท่าทีเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้จะช่วยยังไงอีก
เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และชะลอความเร็วลงอย่างเงียบ ๆ พลางเดินไปพร้อมกับหลิงหลิน ซึ่งอยู่ข้างหลังพวกเขาหนึ่งก้าว
หลิงหลินซึ่งมีผมสั้นถึงหูและมีคิ้วที่คมกริบ เธอมองดูฉินซูอวี้และเซี่ยจื่ออี้ด้วยความรังเกียจ
เธอเตะหญ้าตรงหน้าด้วยรองเท้าหนังแหลมแล้วกระซิบกับฉู่ซิงอวี่ว่า “พี่นี่เป็นคนใจเย็นจริง ๆ นะสามารถอยู่กับพวกเธอได้ด้วยเนี่ย”
หลิงหลินเป็นน้องสาวของหลิงเยี่ย วันนี้เขาไม่ว่าง ตระกูลหลิงจึงส่งเธอมาแทน
ฉู่ซิงอวี่ถอนหายใจอีกครั้ง “พ่อของพี่และพวกคุณลุงเป็นเพื่อนร่วมงานกัน พี่ขอให้เธอมองข้ามซูอวี้ไปก่อน คงไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเรามีปัญหาใช่ไหม?”
เขาหยุดชั่วคราว “ซูอวี้กำลังอารมณ์ไม่ดี เอาเป็นว่าวันนี้เธออยู่กับพี่หรือจะไปคุยกับคุณนายเสิ่นก็ได้ เธอกับคุณนายเสิ่นน่าจะเข้ากันได้ดีนะ”
หลิงหลินไม่ค่อยถูกกับฉินซูอวี้และเซี่ยจื่ออี้ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว โดยเฉพาะฉินซูอวี้ ซึ่งเธอมักจะทะเลาะกับอีกฝ่ายทุกครั้งที่พบกัน
ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น พวกเธอก็แทบจะไม่ปรากฏตัวพร้อมกันเลย หายากจริง ๆ ที่จะได้มางานเลี้ยงร่วมกันแบบวันนี้
หลิงหลินอยากจะบอกว่าไม่ได้กลัวฉินซูอวี้
แต่ในขณะที่กำลังจะพูด เธอก็ชำเลืองมองชายร่างผอมที่อยู่ถัดจากฉินซูอวี้จากหางตา หญิงสาวส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก
ฉีจิ่นจือเดินมาจากด้านหลัง เมื่อหญิงสาวคนอื่นต้องการคุยกับเขา ทัศนคติของเขาคือไม่แยแสและไม่กระตือรือร้นเลย ซึ่งมันทำให้พวกผู้หญิงที่หน้าบางมากเหล่านั้นทำใจไม่ได้และวิ่งหนีไป
เขาหัวเราะเยาะตัวเองและอมหญ้าหางม้าไว้ในปาก ราวกับว่ามันเป็นแค่ฉากตลกเล็ก ๆ
เซี่ยจื่ออี้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของฉู่ซิงอวี่ แต่ตอนนี้มีทั้งคนที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังเธอ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหันกลับไปและเรียกหาเขา
เธอทำได้เพียงกัดฟันกรอดแล้วมองไปยังเสิ่นอี้โจวที่กำลังช่วยประคองเซี่ยชิงหยวนตรงหน้าด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
ถ้ารู้ว่าการออกมานอกบ้านในวันนี้จะเป็นแบบนี้ เธอจะไม่แต่งตัวแบบนี้แน่นอน
เธอยังคงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงเซี่ยเจิ้งที่มองตัวเองด้วยแววตาผิดหวังก่อนออกมาข้างนอกเมื่อเช้านี้
ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้ฉีจิ่นจือเปลี่ยนนิสัยเดิมที่เย็นชาของเขา และเริ่มพูดทักทายสองสามคำกับฉินซูอวี้เป็นครั้งแรก ทำให้ฉินซูอวี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และหัวเราะคิกคัก
เหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าทำให้ดวงตาของเธอค่อย ๆ เย็นชามากขึ้น
เส้นทางที่เธอเลือกขัดกับความปรารถนาของเซี่ยเจิ้ง แต่ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดเธอก็จะกัดฟันเดินต่อไป
เธอจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และจะไม่ยอมให้ตัวเธอพ่ายแพ้ด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับความยากลำบากของเซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ เซี่ยชิงหยวนเหมือนกับกำลังเดินบนพื้นราบ
เธออาศัยอยู่ในชนบทมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะสวมรองเท้าหรือเท้าเปล่า หญิงสาวก็เคยเดินทางที่ยากลำบากแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แถมเธอยังรู้สึกเคยชินเสียด้วยซ้ำ
เสิ่นอี้หลินดึงหญ้าหางสุนัขไปตลอดทาง และในกำมือก็มีหญ้ากำเล็ก ๆ แล้ว
ขณะที่เดินผ่านพุ่มไม้เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เสิ่นอี้หลินก็ค้นพบดอกตูมของพืช
กิ่งและใบของมันดูคล้ายกับดอกกุหลาบมาก มีหนามเล็ก ๆ บ้าง แต่มีความแข็งแรงกว่า โดยเฉพาะหน่อที่ยาวและสวยงาม
เมื่อหยิบหน่อตรงปลายออก ฉีกเปลือกชั้นนอกแล้วจะเจอก้านด้านใน ซึ่งกินได้
มันมีรสหวานจาง ๆ ถึงจะไม่อร่อยนัก แต่เป็นความทรงจำของเด็ก ๆ ในชนบท
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มและพูดว่า “ที่นี่เองก็มีด้วยแฮะ”
เธอลูบศีรษะของเสิ่นอี้หลิน “ถ้านายอยากกินก็เด็ดกินได้เลยนะ”
หลังจากนั้นเธอและเสิ่นอี้โจวก็ยืนขึ้น แล้วเดินหลบไปข้างหน้าอีกหน่อยเพื่อให้คนข้างหลังเดินผ่านไปได้
หลังจากได้รับการอนุญาตจากเซี่ยชิงหยวนแล้ว เสิ่นอี้หลินก็รีบเด็ดพวกมันขึ้นมา
เขาต้องการเด็ดมาสามอัน คนละอันสำหรับพี่ชาย พี่สะใภ้ และตัวเขาเอง
อ้อและพี่ฉู่ ให้เขาอันหนึ่งด้วย
เมื่อเซี่ยจื่ออี้ช่วยฉินซูอวี้กำลังเดินผ่านไป เธอพลันเห็นเสิ่นอี้หลินที่ดูไร้เดียงสา จากนั้นดวงตาของเธอก็สว่างวาบ
เสิ่นอี้หลินกำลังดึงดอกตูมที่สูงที่สุด เขายืนเขย่งเท้า และใช้แรงหักดอกตูม เมื่อดึงมาได้ก็ถอยหลังกลับ
ในขณะเดียวกันนี้ เซี่ยจื่ออี้และอีกสองคนได้เดินเข้ามาอยู่ด้านหลังของเสิ่นอี้หลินพอดี
เด็กชายก้าวถอยหลังและชนกับเซี่ยจื่ออี้อย่างจัง
เซี่ยจื่ออี้อุทาน “ว้าย” และล้มไปทางฉินซูอวี้
ฉินซูอวี้กำลังเดินอยู่ริมด้านนอก และอีกด้านหนึ่งคือทุ่งนาที่ข้าวถูกเก็บแล้ว เธอโซเซเพราะสวมรองเท้าส้นสูง และเมื่อไม่ทันระวัง ทั้งร่างของเธอจึงเสียสมดุลทันที
“กรี๊ดด!” เธอร้องอุทาน พยายามจับเซี่ยจื่ออี้โดยไม่รู้ตัว
เซี่ยจื่ออี้ยื่นมือออกไปหาเธอราวกับจะช่วยจับไว้ “ซูอวี้ ระวัง!”
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ปลายนิ้วของพวกเธอสัมผัสได้เพียงอากาศเท่านั้น และคลาดกันไป
จากนั้นก็มีเสียงอู้อี้ดังขึ้น และฉินซูอวี้ก็ล้มลงหงายหลังบนนาข้าว