กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 334 ผู้หญิงเป็นดอกไม้ที่บอบบาง
บทที่ 334 ผู้หญิงเป็นดอกไม้ที่บอบบาง
เสิ่นอี้โจวมองดูเธอด้วยสีหน้านิ่งงัน “ผมไม่ได้หมายถึงอะไรทั้งนั้น ผมแค่พูดข้อเท็จจริงเท่านั้นเอง”
เซี่ยจื่ออี้มองเห็นร่องรอยของความสมเพชในดวงตาของเสิ่นอี้โจวอย่างอธิบายไม่ได้
ใช่ เป็นความสมเพช
ทำไมเขาถึงมองเธอแบบนี้?
ทำไมต้องมองเธอแบบนี้ด้วย!
หญิงสาวมองไปยังเฉินหลี่และฉินโย่วเหลียงโดยไม่รู้ตัว
ฉินโย่วเหลียงมองเธออย่างพิจารณาถี่ถ้วน ในขณะที่เฉินหลี่มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
แต่เฉินหลี่ยังคงพูดว่า “น้องชายของเลขาธิการเสิ่นชนเข้ากับจื่ออี้ ทำให้จื่ออี้บังเอิญชนเข้ากับซูอวี้ นี่คือข้อเท็จจริงงั้นสินะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่ค่ะ คุณเซี่ยชนกับคุณฉิน”
เซี่ยชิงหยวนตัดคำพูดออกจากประโยคอีกครั้ง!
เฉินหลี่โกรธมากจนบางคนที่อยู่ใกล้เคียงอดหัวเราะไม่ได้
โดยไม่คาดคิด เซี่ยชิงหยวนกวนประสาทเฉินหลี่กลับอย่างเจ็บแสบ
ในหมู่พวกเขา หลิงหลินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
เฉินหลี่โกรธมาก “คุณมันไม่มีเหตุผล!”
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้ว “ฉันเพิ่งพูดเหตุผลให้คุณฟังไม่ใช่เหรอคะ?”
ฉินโย่วเหลียงเห็นว่าเฉินหลี่ไม่สามารถต่อกรกับเซี่ยชิงหยวนได้ แถมการทำแบบนี้มีแต่จะทำให้อับอายต่อหน้าฉีหยวนซานเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงดึงเฉินหลี่กลับมา “เอาละ ลืมมันซะ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น อย่าถือสาอะไรกันเลย”
ดวงตาของเซี่ยจื่ออี้เต็มไปด้วยน้ำตา และเธอก็โค้งคำนับให้ทุกคน “ฉันขอโทษด้วยนะคะ มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันควรยืนให้ดีกว่านี้”
จากนั้นเธอพูดกับฉินโย่วเหลียงและเฉินหลี่ “คุณลุง คุณป้าคะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของหนูเองค่ะ อย่าทะเลาะกันเพราะหนูเลยนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าด้านข้าง “ใช่แล้วค่ะ”
เซี่ยจื่ออี้ชะงักไป พลางลอบกัดฟัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
หญิงสาวจับเสื้อผ้าของฉินซูอวี้และพูดอย่างเสียใจ “ซูอวี้ เธอจะไม่ตำหนิฉันใช่ไหม?”
ฉินซูอวี้ไม่แม้แต่จะหันมามองเซี่ยจื่ออี้ และพ่นลมหายใจเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าเธอรับคำขอโทษหรือไม่
เฉินหลี่แอบตีลูกสาวในอ้อมแขนด้วยความไม่พอใจ ส่งสัญญาณให้ฉินซูอวี้อย่าทำให้เซี่ยจื่ออี้อับอายในที่สาธารณะ
แต่ฉินซูอวี้ไม่ต้องการพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว
ถ้าเป็นในอดีต ไม่ว่าเธอจะอับอายแค่ไหนเธอก็คงจะสู้เรื่องนี้ด้วยกัน แต่เซี่ยชิงหยวนเคยเปรียบเทียบพวกเธอทั้งสองคนมาก่อน และเมื่อกี้เซี่ยจื่ออี้บังเอิญทำให้เธอตกลงไปในนาข้าว ไม่มากก็น้อย เธอได้โทษเซี่ยจื่ออี้ในเรื่องนี้
ในที่สุดฉินโย่วเหลียงก็พูดว่า “ตอนนี้ซูอวี้น่าจะยังอายอยู่ เอาไว้กลับไป พวกเธอสองคนค่อยไปเที่ยวเล่นกันอีกทีแล้วกันนะ”
หลังจากนั้นเขาพูดกับเฉินหลี่ “ถ้าลูกเราไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน คุณก็พาเธอกลับก่อนเถอะ”
เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่านายน้อยตระกูลฉีคนนี้แสดงสัญญาณว่าสนใจฉินซูอวี้น้อยแค่ไหน
ยกเว้นคำพูดตลกขบขันสองสามคำเมื่อพวกเขาพบกันครั้งแรก นายน้อยฉีคนนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้ และยังดูเฉยเมยอีกด้วย
เขาไม่รู้ว่าความตั้งใจของตระกูลฉีในการเชิญครอบครัวของพวกเขามาคืออะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ แผนลูกสะใภ้ของลูกสาวล้มเหลว
เขาหาข้อได้เปรียบและหลบเลี่ยงข้อเสียมาโดยตลอด เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลเซี่ยคงอยู่ต่อไป
แน่นอนว่าเฉินหลี่ไม่ต้องการแบบนี้
แต่ฉินซูอวี้ในอ้อมแขนของเธอที่ยังอยู่ในสภาพแบบนี้ มันทำให้เฉินหลี่ไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไป
เธอจ้องมองเซี่ยชิงหยวนอย่างโมโหและพูดว่า “ก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนยักไหล่และคำว่า ‘ฉันเอาเสื้อผ้าชุดอื่นมา’ ก็ติดอยู่ในลำคอของเธอ
คนลูกก็ว่าไม่น่ารักแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าคนแม่จะไม่น่ารักยิ่งกว่า
เธอตบไหล่เสิ่นอี้หลิน “ไปกันเถอะ ในอนาคตต้องระวังให้มากขึ้นเพื่อจะได้ไม่ถูกใส่ความอีกนะ เข้าใจไหม?”
เสิ่นอี้หลินตอบเสียงดังกึกก้อง “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็เดินจากไปโดยไม่สนใจคนอื่นอีก
สำหรับเธอมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ากันได้ดีกับคนอย่างเฉินหลี่ ดังนั้นเธอจึงไม่กังวลเลยว่าจะทำให้ครอบครัวอีกฝ่ายขุ่นเคือง
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและติดตามไป
ฉีจิ่นจือลูบจมูกของเขาแล้วเดินผ่านคนอื่น ๆ ไปโดยไม่แม้แต่จะมองเช่นกัน
จากนั้นฉู่ซิงอวี่และหลิงหลินก็เดินตามไป
ฉินโย่วเหลียงรู้สึกไม่พอใจเฉินหลี่มากยิ่งขึ้น
เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่มันถูกทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ และทำให้เขารู้สึกอับอาย
บางคนบอกว่าการแต่งงานกับภรรยาที่มีคุณธรรมนั้นสำคัญจริง ๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เซี่ยจื่ออี้จึงพูดว่า “ป้าหลี่น่าจะยังอยากอยู่ต่อนะคะ เพราะงั้นให้หนูกลับไปกับซูอวี้ดีกว่าไหมคะ?”
เดิมทีเฉินหลี่รู้สึกสงสัยเพราะคำพูดของเสิ่นอี้โจว แต่ด้วยความรอบคอบของเซี่ยจื่ออี้ ทำให้เธอเลิกคิดไป
เฉินหลี่ยิ้มและพูดว่า “ช่างมันเถอะ ป้ามีเรื่องต้องกลับไปทำเหมือนกัน พวกเธอคนหนุ่มสาวสนุกกันต่อจะดีกว่า”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ผลักฉินซูอวี้และส่งสัญญาณให้พูดอะไรบางอย่างบ้าง
เมื่อเห็นว่าทุกคนเดินจากไปแล้ว ฉินซูอวี้ก็พยายามปาดเอาโคลนที่ติดอยู่บนคางและด้านข้างของใบหน้าเธอออก ซึ่งตอนนี้แห้งไปแล้วครึ่งหนึ่งและติดอยู่บนใบหน้าของเธอ
ปลายจมูกและตาของเธอแดง หญิงสาวเหลือบมองเซี่ยจื่ออี้แล้วรีบมองไปทางอื่นก่อนจะพึมพำว่า “ฉันจะกลับแล้ว”
ไร้ซึ่งสัญญาณที่ดีตอบกลับมา
เฉินหลี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดว่า “จื่ออี้ เอาไว้วันหลังมาเล่นที่บ้านป้านะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็พาฉินซูอวี้ออกไป
เซี่ยจื่ออี้มีท่าทีอ่อนโยนและยืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง พลางปล่อยให้ลมพัดใบหน้าของเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
หญิงสาวถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกแล้วเดินตามกลุ่มคนไป
…
เซี่ยชิงหยวนวางมือบนไหล่ของเสิ่นอี้หลินและไม่พูดอะไร
ริมฝีปากของเสิ่นอี้หลินขยับ แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมา
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทำให้ความสนุกของเขาถูกทำลายลง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญกับการถูกจัดฉากโดยผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่
พี่ใหญ่สอนเขาว่า เขาควรมีความกล้าที่จะขอโทษเมื่อเขาทำผิด
แต่วินาทีก่อนที่เขาจะพูดขอโทษ อีกฝ่ายกลับพูดจู่โจมอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ต่อมาเด็กชายก็สับสนว่าจะพูดยังไง
ยิ่งไปกว่านั้น แม้พี่สาวคนสวยคนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจตำหนิเขา แต่แววตาของทุกคนกลับเปลี่ยนไปตามคำพูดของอีกฝ่าย
เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งต่าง ๆ ถึงเกิดขึ้นได้ขนาดนี้
เซี่ยชิงหยวนมองดูท่าทางสับสนและหดหู่ของเสิ่นอี้หลิน เด็กชายกำลังมองดูวัวที่เล็มหญ้าในระยะไกลแล้วพูดว่า “อี้หลิน มีคำพูดว่า ‘เป็นการดีกว่าที่จะยั่วยุสุภาพบุรุษมากกว่าผู้ร้าย*[1]’ แต่ยังมีอีกคำหนึ่งที่คล้ายกันนายรู้ไหมว่าอะไร?”
เสิ่นอี้หลินส่ายหัวอย่างไร้เดียงสา “ผมไม่รู้”
เซี่ยชิงหยวนพูดเหมือนปรมาจารย์ชราที่มากประสบการณ์ “อีกประโยคหนึ่งคือ ‘มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่รับมือยากกว่าผู้ร้าย’
เธอหยุดชั่วคราว “แน่นอน พี่ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงทุกคนจะเป็นแบบนั้น เพียงแต่นายต้องระมัดระวังมากขึ้นเมื่อเจอกับผู้หญิงบางคนในอนาคต”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็พบว่าเสิ่นอี้หลินมองตนเองด้วยสายตาที่หมองคล้ำ
เซี่ยชิงหยวน “มีอะไรผิดปกติเหรอ?”
เสิ่นอี้หลินถาม “พี่สะใภ้ พี่รับมือยากกว่าคนร้ายหรือเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวน “…”
เสิ่นอี้โจวที่เดินข้าง ๆ กำมือตัวเองพยายามอดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมา
ฉีจิ่นจือและคนอื่น ๆ ที่เดินติดตามมาก็มีรอยยิ้มในดวงตาของพวกเขาเช่นกัน
โดยไม่คาดคิด เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ผู้หญิงเป็นดอกไม้ที่บอบบาง นายคิดว่ามันง่ายที่จะรับมือกับเธอเหรอ?”
หญิงสาวพูดต่อด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “จริง ๆ แล้ว หลังจากเพิ่งผ่านเรื่องที่เกิดขึ้น พี่หวังว่านายจะจำเอาไว้ อย่าถูกน้ำตาของผู้หญิงหลอกได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ดูน่าสงสารที่สุด เธอสามารถเสแสร้งได้เก่ง แต่จริง ๆ แล้วเธออาจมีจิตใจที่มืดมิดยิ่งกว่าผู้ร้ายคนไหนก็ได้”
เสิ่นอี้หลินพยักหน้าราวกับว่าเขาเข้าใจ “ผมเข้าใจแล้วครับ”
แต่ต่อมา เสิ่นอี้หลินก็ตระหนักว่าเขาพยักหน้าเข้าใจเร็วเกินไป
*[1] เป็นการดีกว่าที่จะยั่วยุสุภาพบุรุษมากกว่าผู้ร้าย (宁得罪君子,莫得罪小人) หมายถึง สุภาพบุรุษเป็นคนที่ใจกว้างและมีน้ำใจ แม้ว่าคุณจะทำให้เขาขุ่นเคือง แต่คนอย่างเขาจะไม่สนใจคุณ เขาจะใช้ทัศนคติที่สูงทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กแทน ในทางกลับกัน ผู้ร้ายกลับใส่ใจทุกอย่างและเก็บทุกอย่างไว้ในใจ เมื่อมีโอกาสเขาจะรอการแก้แค้นและทำให้คุณต้องทุกข์ใจ