กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 343 เขาโกหก
บทที่ 343 เขาโกหก
อาหารทำเสร็จจากร้านไว้แล้ว เซี่ยชิงหยวนเพียงแค่ใส่กล่องและออกจากร้านก็ได้แล้ว
แค่ต้องหุงข้าวเพิ่มอีกจานหนึ่งเท่านั้น
ที่ร้านมีอุปกรณ์สำหรับทำอาหารเองในครัวเล็ก ในตอนเที่ยง หลินตงซิ่วและเฉิงซวงจือสามารถปรุงอาหารกลางวันได้ที่นี่
เซี่ยชิงหยวนใช้หม้อดินเผาในการหุงข้าว และที่กว่างโจวมีอาหารอันโอชะอีกอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า ข้าวอบหม้อดิน
หลังจากที่ข้าวพร้อมแล้วก็เทซุปราดลงไป และข้าวขาวก็กลายเป็นมันเงาทันที
เมล็ดข้าวจะมีลักษณะเฉพาะ ส่วนของก้นหม้อจะไหม้เล็กน้อยเพื่อให้ความหอม เหตุที่ใช้หม้อดินเพราะว่าเก็บความร้อนได้ค่อนข้างดี ดังนั้นเมื่อเอาไปส่งก็จะยังร้อนอยู่
เซี่ยชิงหยวนวางเครื่องในเนื้อวัวและหัวไชเท้าไว้ด้านบน เช่นเดียวกับลูกชิ้นที่เด้งดึ๋ง จากนั้นลวกผักสองสามอย่างลงในต้มเครื่องในเนื้อวัวแล้วโปะไว้ด้านบนอีกที
ทั้งยังตักกิมจิใส่ถ้วยเล็ก ๆ แยกไปด้วยเพื่อตัดเลี่ยน
หลังจากเตรียมสิ่งเหล่านี้เสร็จก็เกือบจะสิบเอ็ดโมงแล้ว
เซี่ยชิงหยวนเก็บของเหล่านี้ในตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นคลุมด้วยผ้าหลายชั้น แล้วหยิบแอปเปิลที่เธอซื้อมาอีกสองผลในตอนเช้า ก่อนจะบอกกับหลินตงซิ่ว แทรกตัวผ่านฝูงชนในร้านแล้วไปโรงพยาบาล
…
เซี่ยชิงหยวนเคาะประตูก่อน และจากนั้นเสียงเย็นชาของฉีจิ่นจือก็ดังมาจากข้างใน “เข้ามา”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเปิดประตูและเข้าไปข้างใน เธอก็เห็นเขานั่งอยู่บนขอบเตียงมองออกไปนอกหน้าต่าง
เธอกระแอมในลำคอและพูดทัก “คุณฉี?”
แผ่นหลังของฉีจิ่นจือถึงกับสะดุ้ง จากนั้นเธอก็เห็นเขาจับหน้าท้องและพยายามเก็บอาการ “คุณมาแล้วเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าเขาเจ็บแผล ดังนั้นเธอจึงรีบวางตะกร้าลงและเข้าไปช่วย “เจ็บแผลอีกแล้วเหรอ?”
เธอเพิ่งได้ยินพยาบาลข้างนอกบอกว่าใกล้จะตัดไหมได้แล้ว มันไม่ควรจะเจ็บมากขนาดนี้
ฉีจิ่นจือยอมรับการช่วยประคองจากเซี่ยชิงหยวน และเอนกายลงบนเตียงโดยมีหมอนหนุนอยู่ด้านหลัง
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองบาดแผลของเขา “ฉันจะเรียกหมอมาดูให้นะ”
“ไม่จำเป็น” ฉีจิ่นจือคว้าข้อมือของเธอแล้วรีบปล่อย “เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง”
พอเห็นท่าทางเขาแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้เซ้าซี้เช่นกัน
เธอหยิบตะกร้ามาตั้งบนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียง จากนั้นหยิบหม้อดินออกมาแล้วพูดว่า “ตอนเที่ยงฉันทำข้าวหม้อดินให้คุณ และพวกเครื่องในวัวก็เป็นของจากร้านฉันเอง”
หญิงสาวกล่าวเสริม “ฉันเพิ่งเปิดร้านอาหารบนถนนอาหารและแม่สามีของฉันก็คอยดูแลมันน่ะ”
ดวงตาของฉีจิ่นจือพลันเป็นประกายขึ้นมาเมื่อได้ยินเซี่ยชิงหยวนบอกว่าเธอทำอาหารกลางวันให้เขาเอง
เขาเหลือบมองเซี่ยชิงหยวน ซึ่งเธอกำลังจดจ่ออยู่กับการเตรียมตะเกียบด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน
เขาพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลงอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดว่า “ผมคิดว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว”
การเคลื่อนไหวของเซี่ยชิงหยวนชะงักไปชั่วคราว
แน่นอนว่าเธอรู้สึกผิด
เธอพูดได้เพียงว่า “สองวันมานี้ฉันยุ่งมากและไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้เลยน่ะ แต่ฉันได้สั่งให้ป้าอู๋ทำอาหารด้วยตัวเองแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนมองดูเขาแล้วพูดอีกครั้ง “แต่วันนี้ฉันว่างแล้ว เลยเอาอาหารมาให้คุณเองได้”
หลังจากนั้นเธอก็ยื่นตะเกียบให้เขา
ฉีจิ่นจือพยักหน้า “ขอบคุณ” และไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่ตอนที่เขาเอื้อมมือไปรับตะเกียบ นิ้วของเขาก็ไปสัมผัสกับเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ
มันเป็นเพียงการสัมผัสชั่วขณะ ช่างเบาราวกับขนนก ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่นของอารมณ์
อย่างน้อยในความเห็นของเซี่ยชิงหยวนก็เป็นอย่างนั้น
เธอลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงโดยวางแผนที่จะเอาหม้อดินกลับไปด้วยหลังจากที่เขากินเสร็จ
ฉีจิ่นจือเปิดฝาออก ข้าวหม้อดินสไตล์เมืองกว่างโจวที่คุ้นเคยและหัวไชเท้ากับเครื่องในวัวก็อยู่ตรงหน้า
ครั้งหนึ่งในฤดูหนาวที่เปียกชื้น เขาพาฟู่ชุนไจ่ไปกินต้มเครื่องในและหัวไชเท้าแบบต้นตำรับในตรอก
ทว่าหลังจากแสร้งทำเป็นตายและหลบหนี เขาก็ไม่ได้เห็นฟู่ชุนไจ่อีกเลย
สำหรับคนที่ยอมตายแทนพวกพ้องได้เหมือนเขา อีกฝ่ายคงเสียใจมากเมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของเขา
พอคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของฉีจิ่นจือก็เย็นชาขึ้นมา
ใช่แล้ว ทำไมคนที่มืดมิดอย่างเขาถึงพยายามคว้าหาแสงที่อบอุ่นทันทีที่มีคนยื่นมอบให้กันนะ?
ช่างเป็นความคิดที่ฝันเฟื่องจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของฉีจิ่นจือ และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้
เขาไม่ชอบข้าวของเธอเหรอ?
แต่เมื่อกี้เธอเห็นความสุขและอารมณ์ในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน
เดิมทีเธอต้องการใช้ข้าวหม้อดินเพื่อสร้างความสัมพันธ์ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องสนใจเรื่องในกว่างโจวและเลิกล้มความคิดที่เขาจะปิดปากเธอ
เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับความคิดในใจของตัวเอง?
เซี่ยชิงหยวนถามอย่างลังเล “มันไม่ถูกใจคุณเหรอ?”
ฉีจิ่นจือส่ายหัว “เปล่า”
เซี่ยชิงหยวน “ถ้างั้นคุณชอบกินอะไรล่ะ? พรุ่งนี้ฉันจะทำมาให้คุณดีไหม?”
เธอหยุดชั่วคราว “หมี่เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวหลอด ไก่ผัดขิงหัวหอม ห่านพะโล้ หรือข้าวขาหมู?”
เมื่อพูดถึงข้าวขาหมู ในที่สุดฉีจิ่นจือก็หันมามองเธอ
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที “ฉันทำข้าวขาหมูได้ค่อนข้างดีทีเดียวนะ โดยเฉพาะหลังจากกินเข้าไป คุณอาจจะได้รับการบำรุงด้วยเพราะผู้หญิงที่อยู่ไฟมักจะกินมันกันน่ะ”
ฉีจิ่นจือ “…”
เขาเหมือนมีคนร้ายสองคนทะเลาะกันอยู่ข้างในหัว คนหนึ่งบอกให้เขาเพิกเฉยและปฏิบัติต่อเธออย่างเย็นชา แต่อีกคนกลับล่อลวงเขาโดยบอกว่ามันอบอุ่นแค่ไหนที่ได้อยู่ใกล้เธอ
การต่อสู้ระหว่างสวรรค์และนรก เธอกลับบังเอิญพูดคำพูดเช่นนี้
เขาถอนหายใจโดยไม่รู้ว่าตัวเองต้องรู้สึกอย่างไร
ทั้งการแสดงออกที่ทำอะไรไม่ถูกและความน่ากลัวที่ฉายบนใบหน้าของเขา กลับสื่อความไปอีกนัยหนึ่ง
เซี่ยชิงหยวนตกใจมากจนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “ได้ ได้ ฉันจะทำให้พรุ่งนี้เลย”
เธอพูดในใจ ‘ตราบใดที่เขาไม่ทำตัวเหมือนคืนนั้นในโรงแรม เธอจะทำอาหารให้เขาไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม!’
ฉีจิ่นจือ “…”
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา พลันนวดขมับตัวเอง
ช่างเถอะปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ดีแล้ว
เขาหยุดคุยกับเซี่ยชิงหยวนและก้มหน้าลงเพื่อกินอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นข้าวหม้อดิน เครื่องในวัวที่ตุ๋นจนนุ่ม หรือเครื่องเคียงที่เซี่ยชิงหยวนเตรียมไว้ เขาก็กินจนหมดไม่เหลือ
คอของเขามันจุกและเจ็บแปลก ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสำลักข้าว หรือเพราะน้ำตาที่พานจะไหลออกมาไม่หยุดกันแน่
เมื่อเขากินเสร็จ ท้องของเขาก็แน่นและไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก
แต่เขาไม่ได้แสดงมันออกมา
เขาเช็ดปากด้วยทิชชูแล้วพูดว่า “อาหารวันนี้อร่อยมาก ขอบคุณครับ”
อาหารที่อบอุ่นอย่างนี้ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ยังเด็กจนโตก็มีเพียงตอนที่เขาติดตามคนคนนั้นถึงจะได้กิน
เพียงแต่ทักษะการทำอาหารของชายคนนั้นแย่มากจนเขาไม่ชอบอาหารเลยด้วยซ้ำ “ช่างมันเถอะ อย่ากินมันเลย อาจารย์จะพานายออกไปกินข้าวข้างนอกเอง”
โจวโม่เป็นหญิงสาวจากครอบครัวนักวิชาการ นิ้วทั้งสิบของเธอไม่เคยสัมผัสน้ำในฤดูใบไม้ผลิด้วยซ้ำ เธอไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ดังนั้นนับประสาอะไรกับการดูแลฉีจิ่นจือ
ต่อมาเธอขายของมีค่าทั้งหมดและล้มป่วยอีก เมื่อแม่และลูกชายหิวมากจนกินได้แต่น้ำเย็นเท่านั้น พวกเขาก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากตระกูลโจวเลย
เพื่อที่จะเลี้ยงตัวเองและโจวโม่ ฉีจิ่นจือจึงต้องไปต่อสู้แย่งชิงอาหารกับกลุ่มเด็ก ๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่สูงกว่าตนมาก เขาถูกทุบตีจนหัวโชกเลือด และไม่ยอมให้อาหารที่เขาปกป้องไว้ในอ้อมแขนแก่คนอื่น
เขากลับบ้านด้วยสภาพจมูกและใบหน้าบวมปูดแทบตลอด แต่แทนที่จะได้รับความรักและความเอาใจใส่ของแม่ เขากลับต้องเผชิญกับการดุด่าและไม้เรียว
การรอคอยหลายปีทำให้โจวโม่กลายเป็นผู้หญิงหัวรุนแรงและบ้าคลั่ง
เธอรอให้ฉีหยวนซานบอกว่าเขาจะแต่งงานกับเธอ จนกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอเอง เธอก็ยังรอเขาอยู่
ในคืนที่โจวโม่ตาย มือที่ผอมเหลือแต่กระดูกหุ้มหนังจับฉีจิ่นจือไว้แน่น และดวงตาของเธอก็เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา
เธอมองไปยังหน้าต่างแคบ ๆ แล้วพูดซ้ำ ๆ “จิ่นจือ เขาโกหกแม่!”
นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ให้เขา
ฉีจิ่นจือวัยเจ็ดขวบห่อโจวโม่ด้วยเสื่อฟางแล้วลากเธอไปที่สุสานด้วยร่างที่ผอมบางของตัวเอง
ขั้นแรกเขาขุดหลุมด้วยไม้ แล้วต่อมาจึงขุดหลุมศพให้เธอด้วยมือเปล่า
ในเวลานั้นเองที่เขาได้พบกับคนหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถดึงเขาออกจากหลุมลึกในใจได้
เซี่ยชิงหยวนสังเกตท่าทีของฉีจิ่นจืออย่างระมัดระวัง และเมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่มีอะไรผิดปกติ หัวใจของหญิงสาวก็กลับมาสงบ
เธอเทน้ำมาหนึ่งแก้วแล้วพูดว่า “ดื่มน้ำล้างปากหน่อยสิ”
ฉีจิ่นจือเหลือบมองน้ำในมือของเธอ และกำลังจะหยิบมา แต่เวลานั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดจากด้านนอก
เซี่ยจื่ออี้ถือกล่องอาหารกลางวันหุ้มฉนวนเก็บความร้อนไว้ในมือพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก “จิ่นจือ ฉันเอาข้าวมาให้คุณ…”
ทว่าพอเธอเห็นเซี่ยชิงหยวนอยู่ในห้อง รอยยิ้มนั่นก็แข็งค้างไป “คุณนายเสิ่น ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ละ?”
เธอไม่เรียกว่า ‘ชิงหยวน’ อย่างที่ชอบแสร้งเรียกแบบคุ้นเคยอีกแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็น ‘คุณนายเสิ่น’