กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 344 ขโมยของ
บทที่ 344 ขโมยของ
เซี่ยชิงหยวนมองย้อนกลับไปยังเซี่ยจื่ออี้ และตอบด้วยรอยยิ้มที่หวานกว่าอีกฝ่าย “ฉันมาเยี่ยมคุณฉีน่ะค่ะ”
จากนั้นเธอก็ทัดผมตัวเองด้วยนิ้วก้อย “ทำไม? ฉันมาไม่ได้เหรอ?”
เซี่ยจื่ออี้ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น จมูกพลันได้กลิ่นหอมของอาหารที่ยังไม่หายไป และดวงตาของเธอก็มองไปยังตะกร้าที่เซี่ยชิงหยวนวางไว้ และทันใดนั้นสีหน้าก็มืดหม่นทันที
เธอแสร้งยิ้มออกมา “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงละคะ? คุณนายเสิ่นอุตส่าห์มาเยี่ยมจิ่นจือ ฉันเองก็ควรจะยินดี จะไปคัดค้านได้ยังไงกัน?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดอันสวยหรูของเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยชิงหยวนก็เลิกคิ้วและไม่ตอบอะไร
เซี่ยจื่ออี้มองไปที่ฉีจิ่นจือ “ฉันคิดว่าอาหารในโรงพยาบาลไม่อร่อย ฉันก็เลยขอให้แม่บ้านที่บ้านของฉันทำอาหารมาให้คุณน่ะค่ะ”
ดวงตาของเธอดูเศร้าสร้อย “แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณคงไม่ต้องการมันแล้วสินะ”
หลังจากพูดแบบนั้น เธอก็ก้มศีรษะลง ทำให้ดูเศร้ายิ่งขึ้น
สีหน้าของฉีจิ่นจือไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด “ใช่ มันไม่จำเป็นแล้ว”
เซี่ยจื่ออี้สำลักทันที “…”
ส่วนเซี่ยชิงหยวนแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่
แน่นอนว่าทันทีที่มุมริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนโค้งขึ้น เซี่ยจื่ออี้ก็เหลือบมองด้วยความโกรธ
เซี่ยชิงหยวนอดกลั้นและเก็บอาการ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่เพื่อทำให้ตัวเองป่วยจิตอีกต่อไป
เธอยืนขึ้น พลางวางแอปเปิลสองลูกที่ถือไว้ลงบนโต๊ะ แล้วพูดกับฉีจิ่นจือ “กินผลไม้หลังมื้ออาหารเพื่อเสริมวิตามินนะคะ มันช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย”
ก่อนที่ฉีจิ่นจือจะพูดอะไร เซี่ยจื่ออี้ก็เอื้อมมือปิดจมูกด้วยท่าทางรังเกียจแล้ว “คำพูดของคุณนายเสิ่นค่อนข้างหยาบคายจังเลยนะคะ”
การแสดงออกแบบนี้ทำให้ดูเหมือนว่าเซี่ยชิงหยวนมีกลิ่นแปลก ๆ ออกมาจากร่างกาย
เซี่ยชิงหยวนเยาะเย้ยกลับไป “ถึงคำพูดของฉันจะฟังดูหยาบหรอก แต่มันก็เป็นเรื่องจริงและมีเหตุผล”
จากนั้นเธอจงใจมองไปที่กล่องอาหารกลางวันที่สวยงามในมือของ เซี่ยจื่ออี้และพูดอย่างประชดประชัน “บางสิ่งไม่ว่าภายนอกจะดูสวยงามแค่ไหน แต่แล้วยังไงล่ะ? ถ้าข้างในมันแย่ก็ไม่มีใครอยากได้มันหรอกนะคะ”
หลังจากพูดอย่างนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ไม่สนใจอีกฝ่ายอีก เธอกล่าวอำลาฉีจิ่นจือแล้วจากไป
ช่างเป็นเรื่องตลก ฉีจิ่นจือไม่ใช่ผู้ชายของเธอเองสักหน่อย ทำไมเธอจะต้องไปรู้สึกหึงฉีจิ่นจือกับเซี่ยจื่ออี้กันล่ะ?
นอกจากนี้หากเสิ่นอี้โจวกล้าทำเรื่องพวกนี้ เธอจะเป็นคนแรกที่หักขาที่สามของเขาแน่นอน ดูสิว่าเขาจะกล้ากระโดดไปหาใครอีกไหม?
“บ้า บ้า” เซี่ยชิงหยวนตบปากตัวเองอย่างรวดเร็ว “นี่ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอยูุ่เนี่ย?”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเดินไปถึงห้องโถงของโรงพยาบาล เซี่ยจื่ออี้ก็เรียกเธอจากด้านหลัง “คุณนายเสิ่น”
เซี่ยชิงหยวนหยุดแล้วหันกลับไปมองอีกฝ่าย “มีอะไรอีก?”
การที่เซี่ยจื่ออี้ออกมาจากห้องอย่างรวดเร็วแบบนี้ เธอคงถูกฉีจิ่นจือไล่ออกมาสินะ
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ฉีจิ่นจือ
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มกลับ “ฉันมีคำถามค่ะ ฉันอยากจะถามคุณนายเสิ่นสักหน่อย โปรดอย่ารังเกียจกันเลยนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนดูหมิ่นความหน้าซื่อใจคดของอีกฝ่ายอย่างมาก และพูดตรง ๆ แทน
“ในเมื่อคุณก็รู้ว่าฉันจะรังเกียจ แล้วทำไมคุณยังจะถามอยู่อีกล่ะ? และไม่ใช่ว่าไอ้ท่าทางจริงใจนี้มันก็เป็นแค่การแสร้งทำหรอกเหรอ?”
เซี่ยจื่ออี้ไม่คาดคิดว่าเซี่ยชิงหยวนจะพูดหยาบคายขนาดนี้ จนเธอแทบจะสำลักทันที
เธอยิ้มอย่างไม่เต็มใจ “คุณนายเสิ่นชอบพูดติดตลกจริง ๆ นะคะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มเยาะ “นี่ดวงตาของคุณผิดปกติหรือเปล่าถึงเห็นว่าฉันกำลังล้อเล่นน่ะ?”
เซี่ยจื่ออี้เม้มริมฝีปากทันที “แต่ในเมื่อคุณนายเสิ่นไม่ได้ปฏิเสธ เช่นนั้นก็แสดงว่ามันไม่จริงใช่ไหมคะ?”
เธอมองยังเซี่ยชิงหยวนด้วยสายตาที่แผ่วเบา “ฉันแค่อยากถามคุณนายเสิ่นน่ะ เลขาธิการเสิ่นรู้ไหมคะว่าคุณมาที่นี่วันนี้?”
เธอหยุดชั่วคราว “นอกจากนี้ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณนายเสิ่นดูเหมือนจะรู้จักจิ่นจือมาก่อนเลยนะ?”
ไม่อย่างนั้นทำไมฉีจิ่นจือต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอด้วยล่ะ?
เธอสบตากับเซี่ยชิงหยวนอย่างสงสัย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มทันทีที่ได้ยิน “อยากรู้มากเหรอ? งั้นก็ไปถามเสิ่นอี้โจวกับฉีจิ่นจือเอาเองสิ แล้วดูว่าพวกเขาจะตอบคุณยังไงก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เซี่ยชิงหยวนก็แทบจะสามารถเห็นรอยร้าวในสีหน้าของเซี่ยจื่ออี้ได้เลย
ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คุณเซี่ยคะ อย่าคุยกันแบบเสแสร้งอย่างนี้อีกเลยดีกว่า เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องมาเสแสร้งกันอีกต่อไปหรอก”
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มตอบทันที “ฉันไม่เข้าใจว่าคุณนายเสิ่นหมายถึงอะไร”
ขณะเดียวกัน เซี่ยชิงหยวนก็คิดถึงดวงตาที่บ้าคลั่งของเซี่ยจื่ออี้หลังจากถูกวัวชนในวันนั้น
แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ทำเป็นใสซื่อ
เมื่อไม่มีใครเห็น ในที่สุดเซี่ยจื่ออี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าที่เน่าเฟะของตัวเองออกมาครู่หนึ่ง
โชคร้ายที่แผนการฆ่าคนไม่สำเร็จ
เมื่อมองดูคนหน้าซื่อใจคดอย่างเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่อยากที่จะเสวนากับอีกฝ่ายอีกต่อไปและรู้สึกรังเกียจมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “บางครั้งเมื่อคนแสร้งทำเป็นคนดีเมานาน พวกเขาจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนดีจริง ๆ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแสร้งทำเป็นคนดีได้อยู่ดี เพราะ…จิตใจของพวกเขามันดำมืดและเน่าเฟะหมดเลยไง”
หลังจากพูดอย่างนั้น เซี่ยชิงหยวนก็ตบไหล่อีกฝ่ายและจากไปอย่างสง่างาม
เซี่ยจื่ออี้ยืนอยู่ที่นั่น มือบีบกล่องอาหารกลางวันจนนิ้วของตัวเองเปลี่ยนเป็นสีขาว
เธอมองไปยังแผ่นหลังของเซี่ยชิงหยวน ซึ่งยังคงสง่างามแม้จะสวมเสื้อผ้าหน้าหนาว และดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ทำไมถึงอยากจะแย่งของบางอย่างที่เป็นของเธอแต่แรกแบบนี้?
…
เซี่ยชิงหยวนกลับไปที่ร้านตรอกเก่า ซึ่งหลินตงซิ่วและเฉิงซวงจือยังคงทักทายลูกค้าอยู่
ลูกค้าทั้งหมดล้วนหลงใหลในกลิ่นของหม้อต้มเครื่องในที่ประตู และกิมจิสีแดงที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อมีคนถามราคา ต้มเครื่องในเนื้อวัวและหัวไชเท้าตุ๋นในหม้อมีราคาเพียงสองหยวนสี่เหมาต่อจิน และยังลดอีก 20% แต่เมื่อเห็นว่าในน้ำหนักนั้นคิดรวมหัวไชเท้าไปด้วย บางคนจึงลังเลที่จะซื้อมัน
แต่พวกเขาไม่สามารถต้านทานความโลภในท้องของตนได้ และยิ่งเห็นคนที่กำลังกินในร้านมันก็ยิ่งอดไม่ไหว ดังนั้นพวกเขาจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาทีละคน
คนส่วนใหญ่ซื้อหนึ่งจินก่อน และบางคนก็ซื้อเพียงครึ่งจินเพื่อกินในร้าน บางคนเห็นว่าไม่มีโต๊ะว่างแล้วจึงถือชามไปนั่งยอง ๆ กินแถวหน้าประตู
เมื่อเห็นเช่นนี้เฉิงซวงจือก็ย้ายเก้าอี้เล็ก ๆ สองสามตัวจากในร้านไปให้พวกเขา แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่ภาพตรงหน้า และตระหนักว่าเธอประเมินกำลังซื้อของคนในมณฑลอวิ๋นและความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาต่ำไป
เซี่ยชิงหยวนรีบวางสิ่งของในมือลง และทักทายลูกค้าด้วยกัน จนเกือบบ่ายสองก็เหลือคนอยู่ในร้านเพียงไม่กี่คนแล้ว
เฉิงซวงจือและหลินตงซิ่วเคยชินกับงานแบบนี้และคิดว่ามันไม่มีอะไรเลย แต่เซี่ยชิงหยวนคิดว่าหากธุรกิจยังไปได้สวยคล้ายกับวันนี้ทุกวัน หลังจากสังเกตไปอีกสองวันอาจจำเป็นต้องจ้างคนอื่นมาช่วยเพิ่มก็เป็นได้
หรืออีกทางหนึ่ง การจ้างพนักงานพาร์ทไทม์ที่มีหน้าที่แค่ซักผ้าและทำลูกชิ้นก็ช่วยแบ่งเบาภาระได้เช่นกัน
มีกล่องเหล็กถูกล็อกอยู่ในตู้ใกล้ ๆ และหลินตงซิ่วก็โบกมือให้เซี่ยชิงหยวนหยิบมันไปดู
เซี่ยชิงหยวนเปิดกล่องเหล็กและหยิบเงินออกมานับ แค่ช่วงเช้าและเที่ยงของวันเดียว ร้านทำเงินได้หนึ่งร้อยหยวนแล้ว แน่นอนว่าต้นทุนยังไม่ได้เอามาหัก
หลินตงซิ่วพูดขึ้น “ยังมีเวลาช่วงบ่ายและเย็นอีกนะ ของในหม้อคงไม่พอขายแน่ ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้ามันขายหมดเร็วเราก็จะได้กลับไปพักผ่อน ถือว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกันนะคะ”
แน่นอนว่าหลินตงซิ่วไม่เต็มใจที่จะกลับบ้านก่อนเวลา ตั้งแต่มาที่เมืองหลวงของมณฑลนี้ เธอแทบไม่ได้ทำงานอะไรเลยแม้แต่ในบ้าน ดังนั้นเธอจึงอยากออกมาหาเงินเป็นพิเศษ
แต่เธอไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเซี่ยชิงหยวนและตอบว่า “แบบนั้นก็ดีจ้ะ”
ในเวลาต่อมา เซี่ยชิงหยวนก็ได้พบกับคุณนายหยวนจริง ๆ
หลินตงซิ่วและเฉิงซวงจือถูกขอให้ไปพักผ่อนที่ด้านหลัง ในขณะที่เธอดูแลร้าน
เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้นและทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณนายหยวน”
คุณนายหยวนก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันรู้ว่าวันนี้ร้านของคุณเปิดแล้ว ฉันจึงมาดูสักหน่อยน่ะ”
เธอมองไปรอบ ๆ พบว่ายังมีเครื่องในเนื้อวัวตุ๋นอยู่ในหม้อ “ฉันออกมาสายมาก คิดว่าจะไม่เหลือให้ได้กินซะแล้ว โล่งอกจริง ๆ ค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงที่โต๊ะเล็กด้านหนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าฉันรู้ว่าคุณนายหยวนจะมา ฉันจะเหลือเก็บไว้ให้แน่นอนค่ะ คราวหน้าคุณนายหยวนแค่บอกมาว่าอยากได้เท่าไหร่ แล้วฉันจะเก็บใส่กล่องไว้ให้ทีหลังรวมทั้งเครื่องเคียงที่ฉันทำเองด้วยค่ะ พอขากลับฉันก็แวะเอาไปให้ดีไหมคะ?”
แน่นอนว่าตามนิสัยของคุณนายหยวนแล้ว เธอจะไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ และบอกว่าต้องการจ่ายเงิน “ตั้งแต่ที่ตาเฒ่าหยวนของฉันกินต้มเครื่องในที่คุณเอามาให้ในวันนั้น เขาก็เอาแต่นึกถึงกลิ่นต้มเครื่องในของคุณอยู่ตลอดเลยค่ะ และถามฉันหลายครั้งว่าเมื่อไหร่ร้านจะเปิด ซึ่งฉันก็วางแผนที่จะมาที่นี่บ่อย ๆ ในอนาคต ถ้าคุณให้ฉันฟรี ๆ ฉันคงไม่กล้ามาที่นี่อีกแน่ ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและไม่ดึงดันอีกเช่นกัน
คุณนายหยวนนั่งคุยกับเธอสองสามคำ และถามเกี่ยวกับเรื่องวัวคลั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน
เธอตบหน้าอกของตัวเองเห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวแค่ไหน “ฉันได้ยินมาว่าเป็นพวกเด็ก ๆ ที่ทำให้วัวโกรธหรือไม่พวกเขาก็เอาอะไรบางอย่างให้วัวกิน ซึ่งทำให้วัวเกิดคลั่งขึ้นมา และทำร้ายนายน้อยของตระกูลฉีใช่ไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันเองก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันค่ะ พอเห็นอีกทีวัวก็พุ่งเข้าหาเด็ก ๆ แล้ว”
คุณนายหยวนยังพูดอีกว่า “ทุกคนแค่สนุกกัน ใครจะจินตนาการได้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่ถ้าพูดตามหลักเหตุผล วัวแก่ที่ถูกเลี้ยงในบ้านแบบนั้นเชื่องที่สุดแล้ว สาเหตุมันจึงน่าจะมาจากมีเด็กซนคนไหนสักคนที่เป็นต้นเหตุของปัญหานะคะ”
น่าเสียดายที่ทุกคนมาจากตระกูลหรือครอบครัวที่มีเกียรติ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถถามรายละเอียดได้ว่าเด็กคนไหนทำอะไร
และเมื่อมีพยานจำนวนมากก็จะไม่มีข่าวลือที่อุกอาจ ไม่อย่างนั้นเซี่ยจื่ออี้คงจะใช้โอกาสนี้ใส่ร้ายเธออย่างแน่นอน
พอได้เปิดหัวข้อคุยเรื่องนี้แล้ว คุณนายหยวนก็พูดอะไรบางอย่างต่อ “ฉันได้ยินมาว่าซูอวี้ตกลงไปในนา แต่เมื่อจื่ออี้ไปที่บ้านฉินในตอนเย็น ซูอวี้กลับไม่ต้องการเจอเธอเลย จนถึงตอนนี้ทั้งสองคนยังคงไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลยค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนรีบจดจำรายละเอียดที่ได้ยินทันที
จากนั้นจึงถามกลับว่า “หมายความว่าทั้งสองคนยังไม่คืนดีกันเหรอคะ?”