กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 354 รอให้เขามาดูแลครอบครัว
บทที่ 354 รอให้เขามาดูแลครอบครัว
บทที่ 354 รอให้เขามาดูแลครอบครัว
หลังออกจากโรงพยาบาล เซี่ยชิงหยวนก็กลับไปที่ร้านตรอกเก่าอีกครั้ง
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันสำหรับทุกคนแล้ว มีผู้คนมากมายมาออกันที่หน้าร้านตรอกเก่า และยังมีคนเข้าคิวด้วยซ้ำ
เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าร้านนี้เล็กเกินไป
เธอเดินเข้าไปสวมผ้ากันเปื้อนและช่วยงานจนถึงบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งคนในร้านเริ่มน้อยลงแล้ว
หญิงสาวเรียกให้ทุกคนที่ทำงานในร้านมารวมตัวกัน เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน และเซี่ยชิงหยวนก็กล่าวว่า “ในอนาคต เราจะต้องกินข้าวเที่ยงให้เสร็จก่อนเริ่มทำงานนะคะ หรือก็คือเราต้องเปลี่ยนเวลากินให้เร็วกว่านี้โดยทุกคนต้องกินข้าวให้เสร็จก่อนสิบเอ็ดโมงครึ่ง เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องทนท้องหิวในช่วงกลางวันด้วยค่ะ”
แน่นอนว่าหลินตงซิ่วไม่คัดค้าน เฉิงซวงจือและลูกจ้างหญิงที่เพิ่งเข้ารับเข้ามาทำงานใหม่เอาแต่พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเซี่ยชิงหยวนมีจิตใจดี
หลังรับประทานอาหาร เซี่ยชิงหยวนนำสมุดบัญชีออกมา นับรายได้และรายจ่ายตั้งแต่เปิดร้าน
สามวันที่ผ่านมาเมื่อมีการให้ส่วนลด ปริมาณการขายก็มากขึ้น วันนี้หมดช่วงลดราคาแล้วคนซื้อจึงน้อยลง แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นมาก็เติมเต็มช่องว่างรายได้ที่หายไปได้
รายได้สามวันครึ่งมีมากกว่า 800 หยวน หลังจากหักค่าใช้จ่ายไปแล้วกว่า 300 หยวน ก็เหลือกำไร 400 กว่าหยวน
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่ามันค่อนข้างดีไม่น้อย
เธอเก็บข้าวของแล้วไปที่ถนนหลินไห่อีกครั้ง
หลังจากที่พวกคนงานแต่งร้านรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว พวกเขาก็ปูกระดาษลังและฟางไว้บนพื้น จากนั้นก็พักผ่อนเช่นนั้น
อาจาร์ยค่งบังเอิญอยู่ในร้านพอดีและพูดว่า “ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จุดที่ต้องรื้อถอนก็ทำเสร็จแล้ว ผนังและพื้นบางส่วนก็ถูกรื้อออกไปด้วย เดี๋ยวหลังจากนี้ผมวางแผนที่เริ่มก่อโครงสร้างตามแบบที่คุณวาดไว้แล้วแหละ เราจะทำการก่ออิฐ ฉาบปูน เสร็จแล้วก็ถึงเวลาติดตั้งระบบน้ำ ไฟฟ้า กระจก โคมไฟ และอย่างอื่น”
อาจารย์ค่งลูบคางตัวเอง “มากที่สุดไม่น่าจะเกินสองสัปดาห์ ร้านก็จะพร้อมแล้วครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณนะคะ อาจารย์ค่ง”
ถ้าอาจารย์ค่งใช้เวลาอีกสองสัปดาห์ในการทำร้าน การเดินทางไปกว่างโจวแล้วกลับมามันจะตรงตามกำหนดเวลาเปิดร้านพอดี
คราวนี้สินค้าที่จะเอามาขายในวันเปิดร้านจะต้องถูกเลือกให้ดีที่สุด เธอจะต้องไม่ประมาท ดังนั้นเธออาจต้องอยู่ที่กว่างโจวเพิ่มอีกสักสองสามวันเพื่อเลือกสินค้าให้ได้ดีขึ้น
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็กลับไปที่ร้านตรอกเก่าอีกครั้ง และหาโทรศัพท์เพื่อโทรกลับไปที่เมืองเตียนเฉิง
เซี่ยชิงหยวนเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ที่อยู่ใกล้ ๆ ร้านตรอกเก่า และในไม่ช้าอาเซียงก็มารับสาย
หลังจากที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำทักทายอย่างมีความสุขกัน เซี่ยชิงหยวนก็พูดเข้าประเด็น “อาเซียง ร้านที่นี่จะเปิดในอีกประมาณสองสัปดาห์ แต่พี่อยากไปเมืองกว่างโจวเพื่อไปซื้อสินค้าในสองสามวันหลังจากนี้ เธอไปกับพี่หน่อยได้ไหม?”
“ไม่มีปัญหาเลยค่ะ พี่เซี่ย” อาเซียงตอบอย่างร่าเริง
อาเซียงขายเสื้อผ้าที่เหลือหมดเมื่อสองวันก่อน และตอนนี้ก็ไปช่วยเจียงเพ่ยหลานทุกวัน เธอรอโทรศัพท์ของเซี่ยชิงหยวนมาหลายวันแล้ว
พอเห็นว่าอาเซียงไม่มีปัญหาอะไร เซี่ยชิงหยวนจึงนัดหมายกับเด็กสาวและโทรหาเหล่าไต้เพื่อบอกเขาเกี่ยวกับการไปเมืองกว่างโจวของเธอ
เซี่ยชิงหยวนเน้นย้ำว่า “ครั้งนี้ฉันไม่เพียงต้องการสินค้าที่ทันสมัยที่สุดเท่านั้น แต่ยังต้องการคุณภาพที่ดีที่สุดด้วยค่ะ”
แม้ภรรยาของพวกเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้จะไม่ได้แต่งกายด้วยผ้าไหมทองคำและด้ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย แต่เสื้อผ้าของพวกเธอก็ไม่ธรรมดาเลย
ลูกค้าในมณฑลอวิ๋นนี้สามารถรู้ได้ถึงคุณภาพของเสื้อผ้าเพียงแค่มองและสัมผัสเท่านั้น
เนื่องจากเธอตัดสินใจสร้างแบรนด์ระดับกลางถึงระดับสูง เธอจึงไม่มีความตั้งใจที่จะเอาสินค้าราคาถูกมาวางขาย
เหล่าไต้เห็นด้วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ขมวดคิ้วและนึกถึงหมู่บ้านซิ่งฮวา ซึ่งเธอจงใจละเลยในทุกวันนี้
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เซี่ยชิงหยวนก็หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งและกดโทรออกไป
ต่างจากเมื่อก่อนที่มีคนจากบ้านพ่อแม่ของเธอมารับสายอย่างรวดเร็ว เซี่ยชิงหยวนรออยู่หลายนาทีก่อนที่กงเหลียนซินจะรีบวิ่งมารับ
พร้อมกับเสียงหายใจหอบ ยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กจากปลายสายอีกด้วย
กงเหลียนซินอุ้มเซี่ยซือเหยียนในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างก็ถือหูโทรศัพท์ “นี่ชิงหยวนรึเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “พี่สะใภ้ ฉันเองค่ะ”
หญิงสาวถามต่อด้วยความกังวล “มีอะไรเกิดขึ้นกับซือเหยียนเหรอพี่สะใภ้?”
กงเหลียนซินเหงื่อออกพลางตอบว่า “พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเมื่อคืนเธอเป็นหวัดรึเปล่า แต่วันนี้พอเธอตื่นมาก็มีอาการคัดจมูกและไอสองสามรอบแล้วแหละ”
“พี่ว่าจะรอให้พี่ใหญ่เธอกลับจากที่ทำงานก่อน แล้วค่อยพาหลานไปตรวจสุขภาพที่ศูนย์สุขภาพน่ะ”
เมื่อเทียบกับตอนที่เซี่ยซือถงยังเด็ก ตอนนั้นเซี่ยชิงหยวนยังอยู่ที่บ้านพ่อแม่ และส่วนใหญ่เป็นเธอที่ดูแลเซี่ยซือถง ส่วนเซี่ยซือเหยียนส่วนใหญ่ได้รับการดูแลโดยจางอวี้เจียว
แต่จางอวี้เจียวเอาแต่สนใจบ้านพ่อแม่ของตัวเองตลอดทั้งวัน ความสัมพันธ์กับเซี่ยจิ่งเฉินในเวลานั้นก็แย่ลงเรื่อย ๆ และยิ่งละเลยที่จะดูแลเซี่ยซือเหยียน ส่งผลให้สภาพร่างกายของเซี่ยซือเหยียนแย่มาโดยตลอด
แย่กว่าเซี่ยซือถงมาก และเธอก็ป่วยเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย
ตอนนี้จู่ ๆ ทั้งแม่และพี่สาวก็จากไป แถมสุขภาพของหวังผิงยังไม่ค่อยดีตั้งแต่นั้นมา กงเหลียนซินจึงต้องรับมือเลี้ยงดูเด็กสามคนด้วยตัวเองเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าในคำพูดของกงเหลียนซิน แต่อีกฝ่ายไม่ได้บ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งมันทำให้เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพี่สะใภ้ของเธอ
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “พี่สะใภ้กับพี่ใหญ่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่และเด็ก ๆ ที่บ้าน ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของพี่มาก ๆ นะคะ”
กงเหลียนซินยิ้มรับ “เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องพูดเกรงใจกันแบบนี้หรอก”
ในขณะเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการหมู่บ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นว่ากงเหลียนซินไม่สะดวกที่จะอุ้มเด็กที่ร้องไห้ เขาจึงเดินมาช่วยอุ้มเด็กออกไปเพื่อที่เธอจะได้คุยโทรศัพท์อย่างสะดวกขึ้น
เซี่ยชิงหยวนถามคำถามเพิ่มเติมสองสามข้อเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว และกงเหลียนซินก็หยิบเรื่องสำคัญบอกให้หญิงสาวรู้
ท้ายที่สุดเธอก็จำเรื่องเลวร้ายของสองวันที่ผ่านมาได้และพูดว่า “จางอวี้เจียวกับพี่ใหญ่ของหล่อนพาถงถงมาที่บ้านเมื่อสองวันก่อนน่ะ”
“พวกเขาบอกว่าเด็กไม่ได้กินอาหารและใส่เสื้อผ้าดี ๆ มานานแล้ว และขอให้ครอบครัวเราให้เงินไปซื้ออาหารกับเสื้อผ้า”
เมื่อนึกถึงพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของตระกูลจาง กงเหลียนซินก็โกรธจัด “แม่ต้องการมอบนมผงสองกระป๋องในบ้านให้พวกเขา แต่โชคดีที่พ่อหยุดไว้”
“ไม่ใช่ว่าเขาลังเลที่จะให้นมผง แต่ต่อให้มอบไปมันก็ไม่เข้าไปอยู่ในท้องของเซี่ยซือถงอยู่ดี ให้กับตระกูลจางมันจะเป็นการเสียของไปเปล่า ๆ” เธอถอนหายใจ “เด็กก็น่าสงสารมาก เธอผอมกว่าครั้งที่แล้วมากและเสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูบางมากจริง ๆ ไม่รู้เลยว่ามันเคยเป็นเสื้อผ้าของใครมาก่อน แต่มันสกปรกและขาดรุ่งริ่งเชียวแหละ”
“ต่อมาพอพี่ใหญ่ของจางอวี้เจียวเห็นว่าครอบครัวเราปฏิเสธที่จะให้เงินและสิ่งของ เขาก็สาปแช่งและลากถงถงออกไปเลย”
เมื่อเห็นแบบนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงความอ่อนโยนของหวังผิงในฐานะคนเป็นย่า แม้แต่เธอที่มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ก็รู้สึกเศร้าใจเมื่อเห็นมันเช่นกัน
บางทีอาจเพราะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรง เธอจึงมองเห็นได้ชัดเจนกว่าหวังผิง และเธอก็ไม่แยแสเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปยามมองดูตระกูลจาง
ไม่อย่างนั้นถึงแม้จะหย่าร้างออกไปแล้ว ความรู้สึกก็ไม่ถึงขั้นตัดขาดกันขนาดนี้หรอก
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจความจริงข้อนี้เช่นกัน
ตระกูลจางต้องการเก็บเซี่ยซือถงไว้ไม่ใช่เพราะความผูกพันทางสายเลือด แต่เพียงเพื่อควบคุมครอบครัวของเธอ
ตอนนี้เธอมาอยู่ที่เมืองหลวงของมณฑลแล้ว ด้วยสถานะและความสัมพันธ์กับคนอื่นมากมาย เธอรู้สึกว่าเรื่องการทดสอบว่าเซี่ยซือถงเป็นลูกทางสายเลือดของเซี่ยจิ่งเฉินหรือไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าเธอพยายาม
แต่สุดท้ายเซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอปลอบกงเหลียนซินสักพักแล้วบอกว่าจะส่งเงินกลับบ้านพรุ่งนี้ และขอให้กงเหลียนซินพาหวังผิงกับเซี่ยซือเหยียนไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอดูแล จากนั้นจึงวางสายโทรศัพท์ไป
หลังจากโทรหากงเหลียนซิน เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย
เรื่องของเซี่ยจื่ออี้และเฉินหลี่ได้รับการแก้ไขชั่วคราวแล้ว แต่เรื่องของครอบครัวเธอกลับมารบกวนอีกครั้ง
ครอบครัวเดิมของเธอเป็นเหมือนปรสิตที่เติบโตบนร่างกาย ทำให้เธออึดอัดและไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้
ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะสามารถทำสิ่งที่โหดร้ายและตัดความสัมพันธ์แม่ลูกกับหวังผิงได้ แต่เซี่ยโยว่หมิงล่ะ? พี่ชาย พี่สะใภ้ หลานชายและหลานสาวล่ะ?
ด้วยกระดูกและเส้นเอ็นที่ยังคงเชื่อมติดกันอยู่ ไม่มีทางที่เธอจะแยกจากพ่อและพี่ของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง
แม้หญิงสาวจะรู้ว่าครอบครัวนี้มีปัญหามาเป็นเวลานาน และมันไม่ง่ายเลยที่จะแก้ไข แต่เธอก็ไม่สามารถเมินเฉยได้
ความมีน้ำใจและคำสอนของคุณปู่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเธอเสมอ
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าถ้าเหนื่อย เธอก็จะพักก่อนแล้วค่อยเดินหน้าต่อไป
รอจนกว่าเซี่ยจิ่งเฉินจะลุกขึ้น แล้วค่อยให้เขามาดูแลครอบครัวนี้ต่อ