กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 36 ทองคำแท่ง
บทที่ 36 ทองคำแท่ง
บทที่ 36 ทองคำแท่ง
เมื่อมองไปยังทองคำแท่งที่มีความหนากว่านิ้วของตน ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนพลันเบิกกว้าง
เธอปิดปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นมองไปที่ประตูด้านหลังเสิ่นอี้โจว หลังจากแน่ใจว่าลงกลอนแล้ว เธอก็พูดว่า “คุณปู่ทิ้งมันไว้เหรอ”
เธอเห็นกล่องเรียบง่ายที่มีสนิมเขรอะใบนี้เป็นครั้งแรก มันต้องถูกฝังไว้หลายปีแล้วอย่างแน่นอน
นอกจากนี้เธอยังเคยได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของเสิ่นอี้โจวดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
เมื่อคิดแบบนี้ใคร ๆ ก็คงเดาได้เองว่าพ่อเฒ่าเสิ่นเป็นคนทิ้งสิ่งนี้ไว้
ชายหนุ่มไม่ได้คาดหวังว่าการคาดเดาของอีกฝ่ายจะถูกต้อง แต่เขาก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่”
จากนั้นเขาก็พูดต่อ “บรรพบุรุษของเราเคยเป็นครอบครัวที่ร่ำรวย ต่อมาบรรพบุรุษได้แบ่งทรัพย์สมบัติของครอบครัวทั้งหมดเพื่อสนับสนุนสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ในภายหลังจึงเหลือกล่องใบนี้ให้กับปู่”
“แต่เพราะครอบครัวของคุณลุงทำตัวไร้ยางอายเกินไป คุณปู่จึงรู้สึกไม่ดีต่อพวกเขา ดังนั้นก่อนที่ท่านจะเสีย จึงได้บอกความลับนี้กับผม คุณปู่พูดว่าครอบครัวของคุณลุงนั้นใจคดและเกียจคร้าน อีกทั้งยังไม่มีใครเปลี่ยนพวกเขาได้ ถ้าเราบอกพวกเขาเกี่ยวกับการมีอยู่ของทองคำแท่งนี้ มันจะยิ่งทำให้พวกเขานิสัยแย่ยิ่งกว่าเดิมและจะเป็นอันตรายต่อพวกเขาเช่นกัน”
“ดังนั้นคุณปู่จึงบอกว่าถ้าเรายอมรับทองคำนี้ไป เราจะต้องช่วยเหลือครอบครัวของลุงเมื่อพวกเขามีปัญหาในอนาคต”
หลังจากได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจว่าความสามารถในการทำนายอนาคตของเสิ่นหมิงเซียวนั้นแข็งแกร่งจริง ๆ
ขั้นแรกเก็บสมุดบัญชีและใบเสร็จการรับเงินไว้ และตอนนี้ยังใช้ทองคำแท่งเป็นทางรอดของลูกหลาน
หลังจากหย่าร้างในชาติที่แล้ว เธอเคยได้ยินหวังผิงพูดถึงครอบครัวของเสิ่นสิงว่า เสิ่นอี้เทาขับรถชนคนตายและพ่อแม่ก็ปกป้องเขา โดยช่วยให้หลบหนีตำรวจไปได้ ถัดมาก็เป็นเสิ่นอี้โจวที่ได้ช่วยชีวิตของเสิ่นอี้เทา
ที่แท้ จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดอยู่ที่เสิ่นหมิงเซียว
บางทีอาจจะเป็นเพราะท่าน ถึงทำให้เสิ่นอี้โจวยอมอดทนต่อครอบครัวใหญ่เสิ่น
เธอนับทองคำแท่งและพบว่ามันมีทั้งหมดสิบสองแท่ง
แต่ไม่แน่ใจว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่เมื่อแปลงเป็นตั๋วเงินแล้ว
เซี่ยชิงหยวนจึงถามว่า “แล้วทำไมคุณถึงขุดมันขึ้นมาตอนนี้ล่ะ”
เสิ่นอี้โจวหยิบทองคำแท่งออกมาจากกล่อง ห่อด้วยผ้าคลุมสะอาดและใส่ไว้ในมือของเธอ “นี่สำหรับคุณ”
“สำหรับฉัน?” เซี่ยชิงหยวนตกตะลึง
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ครั้งล่าสุดที่ไปหมู่บ้านซิ่งฮวา คุณไม่ได้บอกว่าต้องการทำธุรกิจหรอกเหรอ? ผมคิดถึงมันอยู่ตลอดและผมจะให้ทุนแก่คุณ”
เซี่ยชิงหยวนไม่คิดเลยว่า อีกฝ่ายจะจำสิ่งเธอพูดที่โต๊ะอาหารในตอนนั้นได้
หญิงสาวถือทองคำแท่งไว้ รู้สึกเพียงว่ามันหนักอึ้งเมื่ออยู่ในมือของเธอ
แต่สิ่งที่หนักกว่าทองคำในมือคือจิตใจของเธอในขณะนี้
เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณไม่กลัวหรือว่าฉันจะหนีไปกับทองคำนี่?”
ขณะเปิดปาก เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เธอต้องการอธิบาย แต่ชายหนุ่มกลับทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ และมองมาด้วยสายตาที่จริงจัง “ชิงหยวน ทุกสิ่งที่ผมมีคือของของคุณ”
เซี่ยชิงหยวนเพียงจ้องเข้าไปในดวงตาลึกล้ำของเขาด้วยความงุนงง มันราวกับเธอถูกห้อมล้อมด้วยดาวดวงเล็ก ๆ แต่ละดวงส่องแสงเจิดจ้า
เธอรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นผิดปกติเล็กน้อย ผิดปกติเสียจนร่างแทบจะลอยได้
เธอรวบรวมความคิดของตัวเองขณะลอบสาปแช่งคนตรงหน้า ‘คนบ้านี่กำลังแกล้งเธออยู่ใช่ไหม?’
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร เสิ่นอี้โจวก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ไม่ใช่แค่สิ่งเหล่านี้ แต่จะมีอีกมากมายในอนาคต ตราบใดที่คุณต้องการ ผมก็จะให้คุณ เพื่อให้คุณมีทุกอย่างในอนาคต”
“หยุด อย่าพูดถึงมัน” เซี่ยชิงหยวนยื่นมือออกไปปิดปากเขาเอาไว้
เสิ่นอี้โจวตัวสูงมาก เมื่อเซี่ยชิงหยวนยื่นมือออกไป ร่างกายส่วนบนของเธอก็เอนไปข้างหน้า ตัวเธอก็หมดเรี่ยวแรงในทันทีที่ปลายนิ้วของเธอปิดริมฝีปากเขาไว้
ชายหนุ่มไม่ได้คาดหวังว่า อีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวกะทันหันแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองกลัวหรืออะไร เขาจึงหยุดพูดไป แล้วให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายอย่างดี
ริมฝีปากของเขาเหมือนกับความรู้สึกเย็นที่เขามีให้ผู้คนเสมอ เมื่อสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวก็รู้สึกจักจี้
เธอปล่อยมือราวกับถูกไฟฟ้าช็อต สายตาจ้องมองริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของเขาแล้วพูดอย่างชั่วร้าย “ถ้าคุณพูดเรื่องไร้สาระอีก คราวหน้าฉันจะจูบคุณ!”
หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่ได้สนใจเขาอีก แล้วเก็บทองใส่กล่องให้เรียบร้อยแล้วออกไป
จนกระทั่งประตูปิดลงอีกครั้ง เสิ่นอี้โจวก็กลับมามีสติอีกครั้ง
นิ้วเรียวของเขาลูบไล้ริมฝีปากที่เธอสัมผัสเมื่อครู่ ดวงตาของเขาดูอ่อนโยนและซับซ้อน
…
พวกเขาต้องขับรถไปในวันรุ่งขึ้น เมื่อไม่มีอะไรทำแล้ว เซี่ยชิงหยวนจึงนอนหลับตั้งแต่หัวค่ำ
ก่อนรุ่งสางของวันรุ่งขึ้น มีเสียงมาจากสนามหญ้า
เซี่ยชิงหยวนหยิบนาฬิกาออกมาดู ซึ่งหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลา 4.45 น.
พวกเขายังต้องเดินทางเข้าเมืองด้วยรถยนต์ ดังนั้นจึงจวนจะถึงเวลาตื่นแล้ว
หญิงสาวไม่นอนอีกต่อไป และลุกขึ้นอย่างงัวเงีย
การตื่นเช้าเกินไปทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวจริง ๆ
ในตอนนั้น เสิ่นอี้โจวเพิ่งจะซักผ้าเสร็จ เมื่อเห็นผู้เป็นภรรยาเดินออกมา เขาจึงถามว่า “ทำไมตื่นเช้าจัง คุณจะเมารถเอานะ ไม่นอนต่ออีกหน่อยเหรอ”
จากนั้นเธอก็จำได้ว่าตอนที่ไปยังเมืองเตียนเฉิงกับชายหนุ่มครั้งแรก เธอเวียนหัวมากเสียจนอาเจียนออกมา และเมื่อไปถึงสถาบันวิจัย เธอก็นอนอยู่บนเตียงหนึ่งวันเต็ม ๆ กว่าจะฟื้นตัว
เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเขายังคงจำได้
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและส่ายหัว “ในเมื่อตื่นแล้ว ฉันก็ไม่อยากนอนต่ออีกหรอก”
หลินตงซิ่วออกมาจากครัวเมื่อเห็นลูกสะใภ้ตื่นแล้ว เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ต้มไข่ให้แล้ว พวกลูกจะได้มีอะไรกินระหว่างทาง”
ที่บ้านไม่มีไข่ไก่ให้กินแล้ว และเธอก็ไม่ได้อยากจะกินมันเท่าไหร่นัก ถึงอย่างนั้น หลินตงซิ่วก็ขอร้องให้เพื่อนบ้านช่วยซื้อมาให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ตั้งแต่เมื่อคืน
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายถือไข่ต้มหลายฟองอยู่ในมือ
เนื่องจากมันเพิ่งออกจากหม้อและยังร้อนมาก หลินตงซิ่วจึงสะบัดมือไปมาเพื่อคลายความร้อน
เสิ่นอี้โจวรีบหยิบไข่ออกจากมือของผู้เป็นแม่ “แม่ มีอาหารเช้าขายที่สถานีใกล้ ๆ แม่ไม่จำเป็นต้องเอาไข่ต้มให้เราหรอกครับ แม่กับอี้หลินเก็บไว้กินเองเถอะนะ”
หลินตงซิ่วโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย “ของที่ขายข้างนอกจะสะอาดเท่าของที่บ้านได้ยังไง อีกอย่างชิงหยวนมีอาการเมารถ เธอจึงต้องกินเมื่อท้องว่าง ไม่อย่างนั้นท้องของเธอจะไม่สบายเอาได้”
เซี่ยชิงหยวน “…”
ดูเหมือนทั้งครอบครัวรู้เรื่องอาการเมารถของเธอกันทุกคนเลยสินะ
หลินตงซิ่วพาเซี่ยชิงหยวนไปที่ห้องหลักอีกครั้ง ตะเกียงน้ำมันก๊าดถูกจุดบนโต๊ะ และมีชามสองใบวางอยู่ ภายในชามมีข้าวต้มและเครื่องเคียงวางกองอยู่
หลินตงซิ่วกล่าวว่า “อี้โจวตื่นเช้ามาก เขาบอกว่าคนที่มีอาการเมารถควรกินข้าวต้มร้อน ๆ เพื่อให้ท้องอุ่นและจะรู้สึกดีขึ้น แม่ไปขอเครื่องเคียงจากป้าข้างบ้านมา เธอบอกว่าลูกชายคนโตของเธอก็มีอาการเมารถเช่นกัน เพราะงั้นลองกินดูนะลูก”
ท่ามกลางแสงสลัวของตะเกียงน้ำมัน ใบหน้าชราของหลินตงซิ่วประทับอยู่ในดวงตาของหญิงสาวจนทำให้ขอบตาของเธอร้อนผ่าว
หลินตงซิ่วอายุเพียงสี่สิบปีเศษเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนหญิงชราในวัยหกสิบปีเข้าไปแล้ว
ด้วยใบหน้าเหี่ยวย่น ผมหงอกและมือที่หยาบกร้าน ทว่าเธอกลับยิ้มให้กับทุกคนเสมอ
แม้เธอจะขี้ขลาด แต่ก็ไม่เคยอวดบารมีของความเป็นแม่สามี กระทั่งยังเป็นห่วงเป็นใยเธอถึงขนาดนี้
แม้กระทั่งตอนที่มีเรื่องมีราวกับตู้อวิ๋นเซิงในชาติก่อน หลินตงซิ่วก็ยังใช้ร่างอันอ่อนแอเป็นที่กำบังให้กับลูกสะใภ้ที่ทำผิด และปกป้องเธออย่างสุดความสามารถ
เซี่ยชิงหยวนสูดจมูกเพื่อทำให้เสียงของเธอฟังดูปกติมากขึ้น “แม่คะ หนูขอบคุณแม่มากนะคะ”
เธอพูดคำเหล่านั้นออกมาจากใจ