กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 37 จากลา
บทที่ 37 จากลา
บทที่ 37 จากลา
หลินตงซิ่วไม่เคยคาดหวังว่าเซี่ยชิงหยวนจะพูดขอบคุณเธอแบบนี้
ลูกสะใภ้กับเสิ่นอี้โจวแต่งงานกันมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว แม้เธอกับอีกฝ่ายจะไม่ได้มีปัญหาระหว่างกัน แต่ก็ไม่นับว่าสนิทสนมนัก
เธอผงะไปครู่โดยไม่รู้ว่าควรขยับหรือทำยังไงดี แต่ดวงตาของเธอในตอนนี้กลับดวงก่ำ
เธอคว้ามือของเซี่ยชิงหยวนและกล่าวอย่างร้อนรนว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย”
ฝ่ามือของหลินตงซิ่วเต็มไปด้วยรอยแตก จนมือของหญิงสาวเจ็บ แต่เธอก็ยังกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้
เซี่ยชิงหยวนมองแม่สามีด้วยความจริงจัง “แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ อี้โจวกับหนูจะมีชีวิตที่ดี คุณแม่เองก็ต้องเข้มแข็งและอย่าให้คนอื่นรังแกอีก เมื่อฤดูเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงมาถึง พวกเราจะกลับมาเกี่ยวข้าวให้แม่แล้วจากนั้นเราจะไปเตียนเฉิงด้วยกัน”
เพียงแค่มีลูกชายที่พึ่งพาได้กับลูกสะใภ้แสนกตัญญูคู่นี้ หลินตงซิ่วยังจะต้องรู้สึกลำบากอะไรอีกหรือ?
เธอพูดซ้ำ ๆ ว่า “ดี ดี!”
ขณะที่พูด เธอก็หลั่งน้ำตาออกมา
“แม่กำลังทำอะไรน่ะครับ?” เสิ่นอี้หลินขยี้ตาอันง่วงงุนของเขา ขณะปรากฏตัวขึ้นที่ประตูโดยสวมแค่กางเกงในตัวเดียว
หลินตงซิ่วรีบเช็ดน้ำตาของเธอและพูดกับลูกชายคนเล็กว่า “แม่กำลังคุยกับพี่สะใภ้ของลูก”
เธอตบบั้นท้ายของเขาและดุเขาด้วยรอยยิ้ม “เดินออกมาทั้งสภาพแบบนี้ไม่อายบ้างรึไง ไปล้างหน้าแต่งตัวได้แล้ว!”
จากนั้นเสิ่นอี้หลินก็นึกขึ้นได้ว่า เขาเดินออกมาจากห้องโดยไม่ได้สวมเสื้อและกางเกง เด็กชายร้องเสียงหลงว่า “อ้า!” ก่อนจะปิดบั้นท้ายเล็ก ๆ ของเขาแล้วรีบวิ่งหนีไป
หลังจากพวกเขารับประทานอาหารเช้าและทำความสะอาดร่างกายแล้วมันก็เป็นเวลาตีห้าครึ่ง แต่ข้างนอกยังคงมืดอยู่
ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าพวกเขาจะไปถึงตัวเมือง เมื่อคืนก่อนเสิ่นอี้โจวได้ติดต่อลุงหมางจื่อซึ่งมีรถแทรกเตอร์และขอให้เขาช่วยไปส่งในเมือง
หลินตงซิ่วพาเสิ่นอี้หลินออกไปส่งพวกเขา เธอก็บอกลาและบอกให้พวกเขารักษาตัวเองดี ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวโบกมือให้พวกเขา ทันทีที่ขึ้นรถเสียงตะโกนอันคุ้นเคยก็ดังมาจากไม่ไกล
เมื่อหญิงสาวตั้งใจฟังก็พบว่า มันเป็นเสียงของพี่ชายเธอ เซี่ยจิ่งเยว่!
หญิงสาวมองตามทิศทางเสียงนั้น และเส้นถนนในหมู่บ้านที่มุ่งตรงสู่หมู่บ้านซิ่งฮวาในเวลานั้น ก็มีแสงจากไฟฉายกำลังเข้ามาใกล้พวกเขา
เซี่ยชิงหยวนกระโดดออกจากรถอย่างรวดเร็วและตะโกนไปว่า “พี่คะ!”
แสงไฟเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว และปรากฏร่างของเซี่ยจิ่วเยว่ผู้ขี่จักรยานเข้ามานั่นเอง
เมื่อเขาหยุดรถด้วยขาข้างหนึ่ง ชายคนที่ซ้อนท้ายมาก็กระโดดลงมาจากเบาะหลัง เซี่ยชิงหยวนอุทานออกมาทันที “พ่อ!”
หญิงสาวคิดจะไปลาครอบครัวที่บ้านของแม่ แต่เมื่อนึกถึงครั้งล่าสุดที่เธอเอ่ยตัดสัมพันธ์กับหวังผิง หญิงสาวจึงหยุดการกระทำทั้งหมดของตนเอง แต่กลับไม่คาดคิดว่าเซี่ยโยว่หมิงกับเซี่ยจิ่งเยว่จะมาหาเธอด้วยกันเช่นนี้
เธอทั้งประหลาดใจและประทับใจจนเกือบจะร้องไห้ “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คะ”
เสิ่นอี้โจวทักทายด้วยรอยยิ้ม “พ่อครับ พี่ครับ”
เซี่ยโยว่หมิงก้าวลงจากจักรยาน เขายิ้มให้กับเซี่ยชิงหยวนก่อนจะกล่าวว่า “ทำไมล่ะ พวกลูกกำลังจะไปเมืองเตียนเฉิงทั้งที พ่อกับพี่จะมาลาบ้างไม่ได้หรือ”
เซี่ยจิ่งเยว่จอดรถและเข้าไปทักทายพวกเขาด้วย
แน่นอนว่า เสิ่นอี้โจวเป็นคนบอกพวกเขาเอง
หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่นพร้อมกับส่ายหัว “หนูมีความสุขมาก”
ขณะที่กล่าว เธอก็เอื้อมจับมือของพ่อและพี่ชาย มองแล้วมองเล่าจนกระทั่งทนไม่ไหว น้ำตาพลันไหลรินลงมา
เซี่ยโยว่หมิงมอบความรักให้เธออย่างล้นเหลือ เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดหายไปของหวังผิงมาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเขาไม่อยู่บ้าน เซี่ยจิ่งเยว่ก็จะทำหน้าที่ปกป้องเธอแทน ดังนั้นความสัมพันธ์ของสองพี่น้องจึงแน่นแฟ้นมาตั้งแต่เล็ก
ผู้เป็นพ่ออมยิ้มและเช็ดน้ำตาของลูกสาวด้วยปลายนิ้ว “ลูกอายุเท่าไหร่แล้วฮึ ทำไมยังร้องไห้แบบนี้อยู่อีก?”
แม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่หยุดร้องไห้
เมืองเตียนเฉิงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก แต่มันกลับแตกต่างจากหมู่บ้านซีสุ่ยอย่างสิ้นเชิง การจะพบหน้ากันจึงทำได้ไม่ง่ายนัก
ยิ่งกว่านั้น เขาไม่รู้ว่าลูกสาวของตัวเองจะเข้ากับเสิ่นอี้โจวได้ดีหรือไม่เมื่อไปถึงที่นั่น…
เมื่อคิดถึงปัญหาเหล่านี้ เซี่ยโยว่หมิงก็นอนไม่หลับมาทั้งคืน
ดังนั้นคู่พ่อลูกจึงพูดคุยกับเซี่ยชิงหยวนเป็นการส่วนตัวอยู่พักหนึ่ง โดยให้เสิ่นอี้โจวไปรอห่าง ๆ ก่อน
ในที่สุด เซี่ยโยว่หมิงก็กล่าวว่า “เมื่อไปถึงเมืองเตียนเฉิง จงควบคุมอารมณ์ของลูกให้ดี อี้โจวเขาเป็นคนดี เราควรจะอยู่ร่วมกับเขาอย่างสันติ หากเขารังแกลูก ก็กลับมาบ้านของเรา ลูกยังมีพี่ชายอยู่สองคน แล้วพ่อก็ไม่ได้ชราขนาดนั้น”
เขาหยุดแล้วพูดต่ออีกว่า “พ่อได้ตักเตือนแม่สำหรับเรื่องในวันนั้นไปแล้ว อันที่จริงแม่เขาเพียงพวกปากร้ายใจดี ฉะนั้นลูกอย่าถือสาเลยนะ”
สะใภ้คนโตเป็นคนเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้เขาฟังอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ได้ยังไง
ทันทีที่พวกเสิ่นอี้โจวจากไป เขาก็กลับไปถามภรรยาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และก็ทะเลาะกันเหมือนเคย
ส่วนเรื่องของตู้อวิ๋นเซิง พวกเขาเคยได้ยินมาบ้าง แต่โชคดีที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่เขาจะไม่พูดเรื่องนี้กับเซี่ยชิงหยวนแน่นอน
แสงสีน้ำเงินเข้มเริ่มเปลี่ยนเป็นซีดลงทางทิศตะวันออกเพราะดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้น หญิงสาวมองหน้าพ่อแล้วพยักหน้าให้เขา
เธอเอ่ยสัญญาว่า “พ่อคะ ไม่ต้องห่วงนะ หนูเข้าใจค่ะ พ่อกับแม่ก็ดูแลสุขภาพด้วยนะ ทำนาเท่าที่ทำได้ก็พออย่าหักโหม หลังจากนี้สามหรือสองเดือนพวกเราจะกลับมาหานะคะ”
อาจเพราะอดกลั้นกับการจากลามาหลายคราในชาติที่แล้ว เมื่อเผชิญกับมันอีกครั้งในเวลานี้ เธอจึงรู้สึกเศร้าสร้อยเล็กน้อย
ไม่ว่าจะมีเรื่องราวหรือปมในความสัมพันธ์เธอกับหวังผิงมากมายเพียงใด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกก็ไม่อาจตัดขาดจากกันได้
ในชาตินี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่เธอต้องหาวิธีการรับมือที่แตกต่างไปจากเดิมเท่านั้น
เซี่ยโยว่หมิงตบบ่าของหญิงสาวอย่างไม่เต็มใจนัก “อืม พ่อเข้าใจแล้ว ลูกไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับครอบครัวเราหรอก มีพ่ออยู่ทั้งคน ไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่า”
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนพูดคุยกับเซี่ยโยว่หมิงเสร็จ เซี่ยจิ่งเยว่ก็เพิ่ง ‘คุย’ กับน้องเขยของเขาเสร็จเช่นกัน
เสียงของเซี่ยจิ่งเยว่ดังเสียจนลอยมาเข้าหูของเธอ
เช่นว่า ‘ต้องปฏิบัติกับน้องฉันดี ๆ นะ’ ‘ให้เธอทำสิ่งที่เธออยากทำซะ’ ‘เธอเป็นลูกคนเล็ก เพราะงั้นตามใจยัยนั่นหน่อยนะ’
เสิ่นอี้โจวเอียงศีรษะฟังอย่างตั้งใจ เขาพยักหน้ารับเป็นระยะ ๆ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่ายสักนิด
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พี่ชายของเธอกลายเป็นคนจู้จี้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แต่หลังจากคิดทบทวน เธอก็รู้สึกประทับใจอีกครั้ง โชคดีจริง ๆ ที่เธอมีครอบครัวแบบนี้
เมื่อเห็นว่าเริ่มเช้าแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็อำลาพ่อกับพี่ชายของเธอ และกำลังจะออกเดินทาง
ทว่าเซี่ยโยว่หมิงหยุดเธอเอาไว้ ก่อนจะหยิบสิ่งที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าและยัดมันไว้ในมือเธอ “นี่สำหรับลูก เอาไปสิ”
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่ามันคืออะไรเมื่อได้สัมผัสมัน
เธอผลักมันกลับไปอย่างรวดเร็ว “พ่อ หนูรับไว้ไม่ได้ ที่บ้านมีคนมากมายที่ต้องเลี้ยงดู พ่อเก็บมันไว้เพื่อซื้อของจำเป็นให้คนในบ้านเถอะค่ะ”
แม้จะบอกว่าเป็นสิ่งที่ครอบครัวให้มา แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าพ่อชรากับพี่ชายของตนจะต้องเก็บเงินมากมายเพียงใดเพื่อเอามาให้เธอ
เซี่ยโยว่หมิงกุมมือเธอเอาไว้ เป็นสัญญาณไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธ “มันเป็นเพียงความปรารถนาอันน้อยนิดของพ่อ พี่ชายและพี่สะใภ้ของลูก ไม่นับว่ามากนักหรอก เมื่อเดินทางไปที่นั่น ลูกก็ต้องใช้เงินซื้อของเครื่องใช้ หรือทำธุรกิจของตัวเอง ฉะนั้นฟังพ่อแล้วรับไปซะ”
หรือหากกล่าวตามตรงก็คือ เกิดทะเลาะกับลูกเขยขึ้นมา ลูกก็ควรมีเงินติดตัวไว้บ้างจริงไหม?
เซี่ยจิ่งเยว่ยังกล่าวอีกว่า “พี่สะใภ้ก็รู้เรื่องเงินนี้เหมือนกัน ดังนั้นอย่ากังวลเลย ถ้าเธอไม่รับไป มันจะเป็นการดูถูกเงินของพี่ชายคนโตคนนี้นะ”
เสิ่นอี้โจวที่อยู่ข้าง ๆ ช่วยเกลี้ยกล่อมเธออีกแรงว่า “คุณรับมันไว้เถอะ ถ้าไม่ยอมรับมา เดี๋ยวพ่อกับพี่ชายของคุณก็จะไม่สบายใจเอานะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็หยุดปฏิเสธและรับเงินมา
เงินที่อยู่ในมือของเธอหนักอึ้ง ในขณะที่ไข่แผงหนึ่งซึ่งอยู่ในกระเป๋าเดินทางยังคงอุ่นอยู่ ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกชื้นใจขึ้นมา
เธอโบกมือให้เซี่ยโยว่หมิงกับเซี่ยจิ่งเยว่เป็นครั้งสุดท้าย “พ่อคะ พี่คะ ฉันจะตอบแทนอย่างแน่นอน!”