กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 390 ตบหน้า
บทที่ 390 ตบหน้า
บทที่ 390 ตบหน้า
เผ่ยเยว่กลัวสีหน้าที่เย็นชาของอีกฝ่ายมาก และรู้สึกว่าชายผู้นี้ดุร้ายจริง ๆ
เธอรู้ว่าตัวเองเข้ามาในห้องของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตและทำผิด จึงพูดว่า “ฉันขอโทษ ฉันแค่เห็นว่าประตูเปิดอยู่ จึงอยากเข้ามาดูน่ะ”
จากนั้นเธอชี้ไปที่กล่องไม้ในมือของฉีจิ่นจือ “แต่ฉันไม่ได้จงใจเอากล่องนี้ออกมาดูนะ ฉันแค่ชนตู้ข้างเตียงของนายโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วมันก็หล่นออกมา”
ขณะที่พูด เธอก็ลูบขาที่เจ็บปวด ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงซึ่งไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะความคับข้องใจหรือความเจ็บปวดกันแน่
ฉีจิ่นจือมองไปยังตู้ที่ถูกชนจนเคลื่อนจากที่เดิมและบานตู้ที่เปิดอยู่ สายตาที่พินิจพิจารณาของเขาก็จ้องมองไปยังเผ่ยเยว่ ราวกับว่ากำลังมองหาความน่าเชื่อถือของคำพูดของเธอ
ดวงตาของเผ่ยเยว่เป็นสีแดง ทั้งปลายจมูกเล็ก ๆ และริมฝีปากของเธอก็แดงเช่นกัน
ริมฝีปากสีแดงถูกฟันขาวกัดเม้มอย่างแน่นหนาจนทิ้งรอยฟันไว้ ซึ่งมันดูเป็นความงามที่ไม่สอดคล้องกัน
ฉีจิ่นจือรู้สึกหงุดหงิดกับผู้หญิงคนนี้
หญิงสาวที่ตระกูลเผ่ยส่งมากลายเป็นเด็กผู้หญิงที่บอบบางอย่างอธิบายไม่ได้
เขาเก็บกล่องลงในกระเป๋าเสื้อโค้ตแล้วพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าในอนาคตเธอต้องการดูห้องนี้อีกก็เชิญเข้ามาตามสบายเลย”
เขาพูดด้วยท่าทีไม่แยแส
วันนี้เขากลับมาเพื่อเก็บของบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น และเขาจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป
ตอนนี้เผ่ยเยว่มาถึงแล้ว เขาจะต้องไปซ่อนตัวให้ไกลที่สุด
เผ่ยเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา “นายคิดจะไปอยู่แต่ในหน่วยตลอดเวลาเลยเหรอ?”
ทำไมถึงไม่อยากเจอฉันขนาดนั้นกันล่ะ?
ฉีจิ่นจือไม่ตอบอะไรทั้งนั้น แต่เดินไปหยิบกระเป๋าออกจากตู้แล้วหยิบเสื้อผ้าฤดูหนาวมาใส่
เผ่ยเยว่เดินเข้าใกล้เขาอย่างกล้าหาญแล้วพูดว่า “คุณลุงจะเสียใจเอานะถ้านายทำแบบนี้”
ฉีจิ่นจือเหลือบมองเธออย่างเย็นชา “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเธอยังไง?”
ฉีจิ่นจือสวมเสื้อผ้าในไม่กี่วินาทีและมองเธออย่างหมางเมิน “ฉันไม่สนใจสิ่งที่ตระกูลเผ่ยบอกเธอหรอกนะ พูดง่าย ๆ ก็คือฉันไม่สนใจเธอ และฉันจะไม่มีวันสนใจเธอตลอดไป ดังนั้นอย่าคิดถึงเรื่องเพ้อฝันต่าง ๆ นั่นแล้วรีบไปจากที่นี่เร็ว ๆ ซะ”
พูดจบเขาก็พาดกระเป๋าบนไหล่อย่างสบาย ๆ แล้วเดินออกจากห้อง
แม้เผ่ยเยว่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจทุกอย่างตั้งแต่เด็ก แต่อย่างน้อยเธอก็ได้แต่งตัวดี ได้กินอาหารอย่างดี และเธอก็ไม่เคยได้รับความคับข้องใจใด ๆ เลย
แต่คำพูดของฉีจิ่นจือครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกทั้งอับอาย ละอายใจ และโกรธ
เธอสำลักและพูดว่า “ฉีจิ่นจือ หยุดนะ!”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ไล่ตามเขาออกจากห้องไป
เมื่อเธอไล่ตามฉีจิ่นจือทัน เขาก็ไปถึงบันไดแล้ว
เธอคว้าแขนของเขาแล้วขมวดคิ้ว “นายหมายถึงอะไร? ช่วยพูดให้ชัดเจนก่อนที่จะไปไหนด้วย!”
ฉีจิ่นจือดูเหมือนจะไม่ชอบให้คนอื่นสัมผัสเขามาก ชายหนุ่มถอยหลังหนึ่งก้าวและเว้นระยะห่างจากเผ่ยเยว่ก่อนจะสะบัดมือของเธอออก
เขามองเธออย่างเกียจคร้าน “ฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรดี ๆ ที่ต้องพูดระหว่างเรานะ”
เผ่ยเยว่ส่ายหัว “ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะมีอะไรพูดกับนายเหมือนกัน แต่ฉันอยากจะพูดให้นายเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า คุณลุงของฉันหรือก็คือพ่อของนายเป็นคนชวนฉันมาที่นี่ ไม่ใช่ฉันที่รีบปรี่เอาหน้าร้อน ๆ มาเจอกับหน้าที่เหมือนก้นเย็นชาของนาย!”
“ฉันรู้ว่าฉันผิดที่เข้าไปในห้องของนายโดยไม่ขออนุญาต แต่ฉันก็ขอโทษแล้ว ทำไมนายกลับต้องพูดคำแย่ ๆ แบบนั้นกับฉันอีก? ถึงแม้ว่านายจะไม่สนใจฉันจริง ๆ เราก็แค่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่ได้รึไง? ทำไมนายต้องใช้คำพูดแบบนั้นทำร้ายคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักกันด้วย?”
เผ่ยเยว่ก็โกรธเช่นกัน จนบางช่วงเธอตะคอกใส่ฉีจิ่นจือ
เมื่อพูดจบ เธอพบว่าฉีจิ่นจือไม่กะพริบตาเลย ราวกับว่าสิ่งที่เธอเพิ่งพูดนั้นไร้สาระที่สุด
เขาถามว่า “เสร็จรึยัง? หลังจากที่เธอพูดเสร็จแล้วฉันจะได้ไปสักที”
หลังจากพูดแล้วเขาก็ไม่สนใจปฏิกิริยาของเธอ หันหลังกลับและลงไปชั้นล่าง
เผ่ยเยว่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเพิ่งชกใส่หมอนนุ่น ความโกรธในใจของเธอไม่หายไปเลย
เธอตะโกนใส่หลังของฉีจิ่นจือ “หยุดนะ!”
เธอต้องการที่จะไล่ตามโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากวิ่งไปสองสามก้าว เธอก็ก้าวใส่อากาศแล้วทั้งตัวก็พลาดหล่นลงจากบันได “ว้าย!”
ฉีจิ่นจือคล้ายกับมีดวงตาที่แผ่นหลังของเขา เขาเบี่ยงตัวครึ่งหนึ่งก่อนจะหันกลับมารับเธอได้ทันท่วงที
ด้วยความตื่นตระหนก เผ่ยเยว่พยายามคว้าจับอะไรก็ตามที่ยึดเกาะได้ เธอคิดว่าจะกลิ้งลงบันไดแล้วจึงหลับตาลงอย่างยอมจำนน
แต่ความเจ็บปวดที่เธอจินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น และตระหนักว่าตัวเองได้ตกอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของชายคนนั้น
หญิงสาวลืมตาขึ้นอย่างสั่นเทา และพบว่าใบหน้าหล่อเหลาของฉีจิ่นจืออยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น
การหายใจของเธอหยุดนิ่งอย่างอธิบายไม่ได้ และจากนั้นเธอก็รู้สึกร้อนตั้งแต่แก้มจนถึงปลายหู
“ฉีจิ่นจือ! แกกำลังทำอะไรกับเยว่เยว่ของฉัน!”
ก่อนที่ฉีจิ่นจือจะช่วยให้เผ่ยเยว่ได้ยืนอย่างมั่นคง เสียงคำรามอันแหลมแสบแก้วหูของเผ่ยอิ่งก็ดังขึ้น
ฉีจิ่นจือไม่ได้มองเผ่ยอิ่งด้วยซ้ำ เขาวางเผ่ยเยว่ลงและเริ่มเดินลงไปชั้นล่างอย่างเฉยเมย
เมื่อเห็นฉีจิ่นจือเป็นเช่นนี้ เผ่ยอิ่งก็โกรธมากยิ่งขึ้น เธอเดินเข้าหาเขาแล้วตบหน้าอย่างแรง!