กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 391 เหงายิ่งกว่าดอกไม้ไฟ
บทที่ 391 เหงายิ่งกว่าดอกไม้ไฟ
บทที่ 391 เหงายิ่งกว่าดอกไม้ไฟ
ใบหน้าของฉีจิ่นจือถูกตบจนหันข้าง เขามองดูพื้นด้วยสีหน้าหม่นหมอง มือกำหมัดแน่นแต่ไม่พูดอะไร
“คุณป้า!” เผ่ยเยว่อุทาน
เธอรีบวิ่งลงมาชั้นล่างในไม่กี่ก้าว แล้วคว้าเผ่ยอิ่งที่โกรธเกรี้ยวไว้ “คุณป้ากำลังเข้าใจผิดแล้ว! เมื่อกี้หนูพลาดตกบันไดและลูกพี่ลูกน้องเขาก็ช่วยหนูเอาไว้ต่างหาก!”
ฉีหยวนซานก็ออกมาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “มีอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น?”
เผ่ยอิ่งเหลือบมองที่ฉีหยวนซานด้วยสีหน้าเหน็บแนม ก่อนจะชี้ไปที่ฉีจิ่นจือแล้วสาปแช่ง “เข้าใจผิดอะไรที่ไหน? มันก็แค่ไอ้คนที่มีแต่พ่อไม่มีแม่ และมันได้เรียนรู้สันดานไม่ดีจากสลัมมา มันก็แค่คนสารเลว!”
นับตั้งแต่เธอรู้ว่าฉีหยวนซานมีลูกชายนอกสมรส ซึ่งอาศัยอยู่ข้างนอก และเมื่อฉีจิ่นจือกลับมาอยู่ด้วยในฐานะลูกชายคนเล็กของตน เธอก็ไม่เคยรู้สึกมีความสุขเลย
วันนี้ในที่สุด วันนี้เธอก็ได้พบโอกาสที่จะระบายความโกรธของเธอ!
“คุณป้า!” เผ่ยเยว่ตะโกนอย่างกังวล
ฉีหยวนซานก็โกรธเช่นกัน “เผ่ยอิ่ง! คุณกำลังพูดไร้สาระอะไรต่อหน้าลูกหลานของคุณน่ะหะ!”
ฉากหน้าที่สร้างมาก่อนหน้านี้พังทลายลงในที่สุด และเผ่ยอิ่งก็ไม่อยากทนมันอีกต่อไป
เธอดึงเผ่ยเยว่ออกมาและมองตรงไปที่ฉีหยวนซาน “ฉีหยวนซาน สิ่งที่ฉันพูดมันเป็นความจริงทั้งหมด คุณก็รู้อยู่แก่ใจ คุณจะปฏิเสธไปทำบ้าอะไรอีก? ฉันบอกคุณไว้เลยนะ ถ้าจะให้ไอ้สารเลวนี่อยู่ในบ้านหลังนี้โดยใช้ชื่อว่าเป็นลูกชายของฉันก็ฝันไปเถอะ!”
“ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณจะไปคุยกับพ่อแม่ของฉันว่ายังไงฉันไม่สนใจ อย่าได้มาหวังให้ฉันเล่นละครตามคุณอีก!”
“เผ่ยอิ่ง!” ฉีหยวนซานตะโกนด้วยความโกรธ
เผ่ยอิ่งไม่เกรงกลัวอะไรเลย “ฉีหยวนซาน ให้ฉันบอกคุณอีก…”
ในเวลานี้ฉีจิ่นจือเริ่มเคลื่อนไหว
เขาหยิบกระเป๋าเดินทางที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา เดินผ่านเผ่ยอิ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วจากไป
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะออกไป ฉีหยวนซานก็อดไม่ได้ที่จะก้าวมาข้างหน้าและไล่ตามเขาไป “จิ่นจือ!”
ฉีจิ่นจือหยุดเพียงครู่หนึ่งแล้วก้าวเดินต่อไป
มีการทะเลาะกันอยู่ข้างหลังเขา ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉีหยวนซานและเผ่ยอิ่งทะเลาะกัน
ชายหนุ่มยิ้มเยาะเย้ย ปลายลิ้นของเขาดุนกระพุ้งแก้มที่มีรสคล้ายสนิมจาง ๆ ในปาก
สองคนนี้เป็นเพียงคู่รักที่สวมหน้ากากใส่กันมาเป็นเวลานานแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่ทุกอย่างต้องปะทุออกมา
เมื่อใกล้ปีใหม่ ผู้คนจำนวนมากที่ทำงานและเรียนหนังสือข้างนอกก็กลับบ้าน และทั่วทั้งเขตที่พักอาศัยก็คึกคักมาก
แต่ความตื่นเต้นหรือความรื่นเริงแบบนี้ไม่เคยเป็นของฉีจิ่นจือเลย
ขณะที่เขาเดินไปเรื่อย ๆ เขาก็พบว่าตัวเองหยุดอยู่ที่หน้าบ้านตระกูลเสิ่น
แสงไฟสว่างจ้าในบ้าน แสงสีเหลืองอันอบอุ่นในลานบ้าน รวมถึงเสียงหัวเราะของเสิ่นอี้หลินและเสียงของผู้ใหญ่เป็นครั้งคราว
ทันใดนั้นก็มีพลุดอกไม้ไฟบานบนท้องฟ้า หนึ่งลูก สองลูก และลูกที่สาม…
จู่ ๆ เสียงเชียร์ก็ดังขึ้นในบ้าน จากนั้นประตูก็เปิดออก และคนในบ้านก็ออกมาดูดอกไม้ไฟกัน
ฉีจิ่นจือรีบหลบทันทีและซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง
“พี่สะใภ้ ดอกไม้ไฟสวยจริง ๆ เลย!” เสียงของเสิ่นอี้หลินใสแจ๋ว พวกเขายืนอยู่ที่ลานหน้าบ้านเพื่อชมดอกไม้ไฟ
“ใช่มันสวยมาก!” เสียงของเซี่ยชิงหยวนดังตามมา
เสิ่นอี้โจวพูดเบา ๆ “พอถึงเวลาเราเฉลิมฉลองปีใหม่คราวหน้า ไว้เราซื้อดอกไม้ไฟมาจุดด้วยกันเถอะ”
เสิ่นอี้หลินกระโดดโลดเต้นทันที “ถ้าอย่างนั้นผมก็อยากเล่นเยอะ ๆ เลย”
ในจุดที่ไม่ห่างออกไปมากนักใต้ต้นไม้ใหญ่ ฉีจิ่นจือแอบอยู่อย่างเงียบที่สุดในเงามืด
บางทีบทสนทนาของกลุ่มคนที่เขาเฝ้ามองอาจล่อใจและเสียงหัวเราะก็ไพเราะเกินไป มันทำให้ฉีจิ่นจืออดไม่ได้ที่จะโผล่หัวออกมาอย่างเงียบ ๆ
ดวงตาของเขาสะท้อนถึงรูปลักษณ์อันสดใสของดอกไม้ไฟ แต่แววตาของเขาราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดอกไม้ไฟ โดดเดี่ยวยิ่งกว่าใคร ๆ
เขาไม่เคยคิดว่าดอกไม้ไฟเป็นสิ่งที่มีชีวิตชีวา
ถึงยังไงเขาก็เหงายิ่งกว่าดอกไม้ไฟอยู่แล้ว
ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ทุก ๆ วันปีใหม่เด็ก คนอื่น ๆ จะสวมเสื้อผ้าใหม่และเล่นด้วยกัน ส่วนคนที่มีฐานะทางครอบครัวที่ดีกว่าก็จะซื้อดอกไม้ไฟให้เด็ก ๆ เล่นด้วย
มีเด็ก ๆ บางคนหยิบประทัดเล็ก ๆ สองสามอันที่จุดแล้วแต่ยังไม่ถึงชนวนให้ระเบิด วิ่งเล่นพร้อมกับหัวเราะไปด้วย
ขณะนั้นเขาซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ เฝ้าดูไม่กล้าเข้าใกล้
เด็กที่โตกว่าคนหนึ่งเข้ามาหาเขาพร้อมประทัดแล้วพูดว่า “ถ้ากล้าจุดประทัดนี้เราจะเล่นกับนาย แล้วมาจุดพลุด้วยกันทีหลัง”
เขาเชื่อเด็กโตคนนั้นและดีใจมากจึงตอบทันที “ได้!”
พอหยิบประทัดมา เขาก็อยากจะหยิบธูปที่อยู่ในมือเด็กโตคนนั้น
แต่เด็กโตรีบชักมือกลับแล้วพูดว่า “อันนี้ใช้ไม่ได้”
จากนั้นเด็กโตก็หยิบประทัดเล็ก ๆ อันหนึ่งพร้อมกับไม้ขีดไฟจากในกระเป๋าแล้วส่งให้ด้วยรอยยิ้มสดใส “ใช้อันนี้”
ชนวนของประทัดอันเล็กที่ส่งให้ใหม่นี้มีขนาดเพียง 2 เซนติเมตร หากจุดด้วยไม้ขีดโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บมีสูงมาก
เมื่อเห็นความลังเลของฉีจิ่นจือ เด็กโตก็เร่งเร้าว่า “นายอยากเล่นกับเราไหม แต่ถ้านายไม่อยากเล่นก็ลืมมันไปซะ!”
หลังจากพูดอย่างนั้นเด็กโตก็หยิบประทัดและไม้ขีดคืนมา
“ฉันจะเล่น” ฉีจิ่นจือตัดสินใจแล้วหยิบประทัดชนวนสั้นและไม้ขีดกลับมา
เขาคิดว่าถ้าเขาเคลื่อนไหวเร็วพอ ทุกอย่างน่าจะไม่เป็นไร
เมื่อเขากำลังจะจุดไม้ขีดด้วยมือที่สั่นเทา เด็กโตก็พูดว่า “นายต้องระวังด้วยนะ ไม้ขีดมีราคาแพงมาก นายควรจุดชนวนประทัดแล้วปล่อยให้มันไหม้ก่อนสักแป๊บจนแน่ใจว่าติดไฟแล้วค่อยปล่อยประทัดนะ”
นี่หมายความว่าหลังจากที่เขาใช้ไม้ขีดจุดชนวนประทัดแล้ว เขาจะต้องรออีกสักหน่อยเพื่อให้แน่ใจว่าชนวนถูกจุดติดจริง ๆ ถึงจะสามารถวิ่งหนีไปได้
แต่การทำแบบนี้ด้วยชนวนประทัดที่สั้นมากมันจะไม่มีเวลาพอสำหรับเขาที่จะวิ่งหนีได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไป
ด้วยเสียง ‘ปัง!’ ประทัดระเบิดต่อหน้าเขาในชั่วพริบตา
ฉีจิ่นจือมีเวลาเพียงยกมือขึ้นปกป้องดวงตาของเขาเท่านั้น
จากนั้นความเจ็บปวดสาหัสก็ปะทุขึ้นที่มือของเขา
เขาลืมตาด้วยความตกใจ เห็นเลือดไหลออกมาและหยดลงพื้นตามมือเล็ก ๆ จากผิวหนังที่ดำเพราะไหม้ของเขา
บางทีพวกเด็ก ๆ ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้ พวกเขาจึงได้แต่พูดว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานะ นายเป็นคนเล่นมันเอง!”
จากนั้นเด็กคนอื่น ๆ ก็รีบแยกย้ายกันไป คำสัญญาที่พวกเขาทำเมื่อกี้ที่จะจุดประทัดแล้วจะเล่นด้วยกันนั้นเป็นเพียงเรื่องตลก
สิ่งที่น่าตลกที่สุดคือเขาให้ความสำคัญกับเรื่องตลกของเด็กพวกนั้นอย่างเป็นจริงเป็นจังเหลือเกิน
มือของเขาได้รับบาดเจ็บ แต่เขาไม่กล้าบอกให้โจวโม่รู้ ดังนั้นเขาจึงล้างเลือดและคราบไหม้บนหลังมือด้วยน้ำจากแอ่งน้ำ เขาพยายามรีดเลือดที่ไหลออกมาจากหลังมือของเขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเลือดหยุดไหล จนเขาดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัวและเวียนหัวก่อนจะหยุด
ขณะนี้ฉีจิ่นจือมองไปยังคนสามคนที่ดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวา ซึ่งอยู่ไม่ไกลและจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
การขอความอบอุ่นที่ไม่เคยเป็นของตัวเองมีแต่จะทำร้ายตัวเองในที่สุด
การเดินคนเดียวในความมืดเป็นวิธีที่เขาควรจะทำมันต่างหาก
…
ขณะที่เขากำลังจะเข้าใกล้ประตูใหญ่ของเขตที่พักอาศัย เขาก็ได้ยินเสียงของใครบางคน
เสียงแรกเป็นของเด็กหนุ่มที่มีเสียงแหลมเหมือนเป็ด ซึ่งกำลังอยู่ในวัยเสียงแตกหนุ่ม “นี่มันลำบากจริง ๆ ครั้งที่แล้วที่เราไปเมืองเตียนเฉิง เราก็สามารถผ่านประตูใหญ่ได้โดยตรงเลยไม่ใช่เหรอ?”
เด็กหนุ่มคนนั้นรู้สึกหนาวมากจนต้องกระทืบเท้า “โอ๊ยโคตรหนาวเลย”
ชายชราที่เดินข้าง ๆ ตบหัวเด็กหนุ่ม “นายจะบ่นอะไรมากมายนักหนา”
เขาชี้ไปที่ประตูใหญ่ “สถานที่นี้คือเมืองหลวงของมณฑล มันจะเทียบได้กับเมืองเล็กๆ อย่างเตียนเฉิงได้ยังไง?”
ชายหนุ่มกุมศีรษะแล้วร้องโหยหวนก่อนจะพูดว่า “ตาเฒ่า ถ้าขืนยังตีผมแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ระวังเถอะ ผมจะตายเข้าสักวันแล้วจะไม่มีใครดูแลคุณตอนนอนพะงาบก่อนตาย!”
ชายชราโกรธมาก “ไอ้เด็กสารเลวนี่ ฉันไม่ตายง่าย ๆ หรอกโว้ย!”
…
ทั้งร่างของฉีจิ่นจือแข็งค้าง เขายืนนิ่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าเขา
ดวงตาของเขาแดงและเริ่มมีน้ำตาคลอ
ริมฝีปากของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น และคำที่คุ้นเคยสองคำก็ไม่สามารถหลุดออกจากปากของเขาได้ชั่วขณะหนึ่ง